Leh in my memory...

As we are entering the new era, where nations are becoming one community, I, as well as my PTI 27th session’s member friends have the mutual vision that we, and other friends of the Asia-Pacific nations, will become closer than ever.
ยินดีต้อนรับสู่โลกใบเล็กของผม โลกของคนทำงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ชีวิตในวัยเด็กผมเคยใฝ่ฝันอยากจะเป็นสถาปนิก แต่เมื่อยามต้องเลือกทางเดินของชีวิต ผมกลับเลือกที่จะสวมเครื่องแบบสีกากี โดยสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารเหล่าตำรวจ หลังสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ผมเลือกลงบรรจุรับราชการในตำแหน่งพนักงานสอบสวนที่อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี ชีวิตราชการวนเวียนโยกย้ายอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตลอดมา ถึงแม้จะอยู่ห่างไกลจากศูนย์อำนาจรัฐ และการทำงานในหลายโอกาสอาจพบพานกับอุปสรรคภยันตรายต่าง ๆ บ้าง แต่ที่นี่คือ “บ้าน” ผมจึงยังทำงานอยู่ที่นี่ ทุกวันนี้ผมมีความสุขกับงานที่ทำอยู่เสมอ...

Thursday, February 25, 2016

“Rishikesh” เมืองฤาษีเกศ


ผมไม่เคยได้ยินชื่อเมือง ““Rishikesh”” นี้มาก่อน ความคิดทริป “Rishikesh” เกิดขึ้นเพียง 2 วันก่อนเดินทางในวันศุกร์เท่านั้น เมื่อบังเอิญเหลือบไปเห็น Kate เพื่อนสาวชาวรัสเซีย นังดูภาพถ่ายทริป Rishikesh ของตัวเองในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ภาพที่เห็นเป็นภาพแม่น้ำสายหนึ่งที่ใสสะอาดมากเสียจนมองเห็นเป็นสีฟ้าใสกระจ่างตา ผมไม่เคยเห็นแม่น้ำใหญ่ที่ใสสะอาดแบบนี้มาก่อนในเมืองไทย จึงถาม Kate ว่าเป็นแม่น้ำอะไรอยู่ที่ไหน ได้คำตอบว่า “แม่น้ำคงคา” ที่เมือง “Rishikesh”



เท่านั้นแหละ  ผมรีบค้นหาข้อมูลเมือง Rishikesh ทันที จนได้ข้อมูลว่าเมือง Rishikesh อยู่ในรัฐ Uttarakhand เกือบเหนือสุดของอินเดีย เมื่อดูจากแผนที่ Google Map พบว่าพื้นที่ของรัฐนี้ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในบริเวณเทือกเขาหิมาลัยสลับซับซ้อนเป็นพื้นที่บริเวณต้นน้ำแม่น้ำคงคาติดพรมแดนอินเดีย-จีน น้ำในแม่น้ำคงคาที่ไหลผ่านเมืองฤษีเกศนี้เป็นสีเขียวมรกตแปลกตาเนื่องจากเป็นน้ำที่เกิดจากการละลายของหิมะและธารน้ำแข็งที่ละลายไหลจากเทือกเขาลงมารวมกันที่นี่ก่อนที่จะขยายเป็นแม่น้ำใหญ่ไหลลงไปหล่อเลี้ยงแผ่นดินชมพูทวีป “Rishikesh” เป็นเมืองแห่งโยคีและโยคะ  ชื่อของเมืองมีความหมายตรงตัวว่า “ศีรษะฤาษี” ดังนั้นจึงอาจเขียนชื่อเมืองนี้ในภาษาไทยว่า “ฤาษีเกศ” 



เมืองฤาษีเกศเป็นเมืองศักดิสิทธิ์สำหรับชาวฮินดู ตั้งอยู่ในหุบเขาศักดิ์สิทธิ์บริเวณเชิงเขาหิมาลัย มีวัดฮินดูและอาศรมมากมายเรียงรายริมฝั่งแม่น้ำคงคา ในอดีตเป็นเมืองที่มีฤาษีมากมายอาศัยอยู่และนั่งสมาธิบนโขดหินริมฝั่งแม่น้ำคงคา เราจึงอาจพบเห็นเหล่าโยคีมากมายในเมืองนี้ ชาวอินเดียรู้จักฤาษีเกศในฐานะหนึ่งในเมืองศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาฮินดู แต่ชาวโลกรู้จักที่นี่ในฐานะเมืองหลวงของเหล่าโยคีและโยคะ ที่นี่เป็นที่ตั้งของสถาบันโยคะของสวามีศิวะนันทะที่โด่งดังอีกด้วย



เมื่อปี 1968 วงดนตรีเดอะบีเทิลส์ได้เดินทางมาที่นี่ ได้มาสัมผัสจิตวิญญาณแห่งตะวันออกของชมพูทวีปใช้ความสงบสันโดษเขียนเพลงขึ้นมาหลายเพลงในอาศรมฤาษีบริเวณนี้ เช่น Beatles, Dear Prudence, Rishikesh ‘68 ลองฟังดูครับ “http://youtu.be/ylEckICwU2w”



วันพุธผมชวน Sanzhar เพื่อนสนิทชาวคีร์กีซสถานให้ไปด้วยกัน Sanzhar ตกลงทันโดยไม่คิดมาก ผมจึงเช็ครายละเอียดการเดินทาง พบว่าหากเหมารถแท็กซี่เพื่อเดินทางไป Rishikesh ผ่านเว็บไซต์ http://www.gozocabs.com/booking/cabrate เฉพาะขาไปเทียวเดียวไม่รวมขากลับอยู่ที่ 3,299 รูปี ผมเช็คราคารถโดยสารประจำทาง (บ.ข.ส.) อินเดียพบว่า ค่าโดยสารไปกลับเพียง 700 รูปี จึงตกลงใจที่จะเดินทางไป “Rishikesh” ด้วยรถโดยสารประจำทาง ผมกับ Sanzhar ไปดำเนินการจองตั๋วรถโดยสารประจำทาง (บ.ข.ส.) อินเดียเรียบร้อย และจองโรงแรมที่พักผ่านแอพ “Booking.com” (ไม่มีค่าใช้จ่าย ไม่ต้องจ่ายผ่านบัตรเครดิต สามารถทำรายการยกเลิกเมื่อไหร่ก็ได้ ไปจ่ายเงินสดที่โรงแรมขณะ walk in) ต่อมาในเช้าวันศุกร์ 2 สาวชาวมองโกเลีย Tuul กับ Suvd  ทราบข่าวว่าผมกับ Sanzhar จะไป Rishikesh กัน จึงขอร่วมเดินทางไปด้วย ผมจึงต้องทำรายการยกเลิกโรงแรมที่จองไว้ เนื่องจากโรงแรมที่ผมจองไว้เต็มแล้ว ผมบอก 2 สาวว่า สำหรับตั๋วรถโดยสารเราต้องเดิน walk in เข้าไปซื้อก่อนขึ้นรถไม่แน่ใจว่าจะได้ตั๋วมั้ย 2 สาวบอกยินดีพร้อมจะเสี่ยง ซึ่งในที่สุดก็ได้ตั๋วจริงๆ ตามที่คาดไว้ หลังจากได้ตั๋วแล้วก่อนขึ้นรถผมจึงจองห้องพักโรงแรมผ่านแอพ “Booking.com” อีกครั้งหนึ่ง จึงเป็นที่มาของทริปนี้ครับ

พวกเราออกเดินทางจากเดลีเมื่อเวลาประมาณ 16.30 น. และเดินทางถึงเมือง “Rishikesh” เมื่อเวลาประมาณ 23.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่นที่อินเดีย) โดยสวัสดิภาพ คนขับใช้ความเร็วสูงสุดประมาณ 60-70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระยะทางเพียง 230 กม.เศษๆ จากเดลีจึงใช้เวลาเดินทางถึงประมาณ 5-6 ชม. หลังจากถึงที่พักแล้วก็แยกย้ายกันพักผ่อน ผมพักห้องเดียวกับ Sanzhar ส่วน Tuul พักกับ Suvd เรานัดกันไปดูพระอาทิตย์ขึ้นตอน 6 โมงเช้า 

6 โมงเช้าวันเสาร์พวกเราออกเดินสำรวจตามริมฝั่งแม่น้ำ ใช้มือวักน้ำขึ้นมาสัมผัส รู้สึกดีใจที่ได้เดินทางดั้นด้นมาจนถึงต้นน้ำแม่น้ำคงคาซึ่งหล่อเลี้ยงอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของโลกมาอย่างยาวนานหลายพันปีแล้ว 

เนื่องจากในเช้าวันเสาร์มีฝนตก กว่าจะหยุดก็เกือบเที่ยงแล้ว วันนี้เรามองเราไม่เห็นดวงอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้า มิหนำซ้ำแผนการเดิมที่จะเช่ารถสกู๊ตเตอร์ออกสำรวจในตัวเมืองเป็นอันล้มเลิกไป ต้องรอถึงตอนบ่ายจึงจะเริ่มกิจกรรมตามแผนที่เปลี่ยนไป กิจกรรมที่พวกเราได้มีโอกาสสัมผัสตลอดระยะเวลา 2 คืนกับ 2 วันเต็มมีดังนี้



1. ล่องแก่งแม่น้ำคงคา วันเสาร์หลังมื้อเที่ยง พวกเราออกเดินสำรวจและสอบถามราคาการล่องแก่งตามร้านต่างๆ หลายร้านเพื่อเปรียบเทียบราคากัน พบว่าราคาล่องแก่งโดยทั่วไปใกล้เคียงกันดังนี้ ล่องแก่งระยะทาง 18 กิโลเมตรคิดราคาคนละ 400 รูปี ส่วนระยะทาง 26 กิโลเมตรคิดราคาคนละ 650 รูปี แต่มีข้อสังเกตคือ บางร้านราคาอาจจะแพงกว่านี้อีกเท่าตัวจนถึง 1,500 รูปีต่อคน เพราะมีอุปกรณ์ชุด swim suit และอุปกรณ์อื่นๆ ทันสมัยครบชุด พวกเราเลือกราคาที่ไม่แพงครับ และเลือกระยะทาง 24 กิโลเมตรซึ่งไกลสุดที่มีให้บริการล่องแก่งซึ่งจะใช้เวลาในการล่องแก่งประมาณ 6 ชั่วโมง  นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่นๆ ที่น่าสนใจดังนี้

- Trecking 4 days 1 person 12,000 Rs. 
- Trecking 1 Person 1 day 1,250 Rs. (ใช้เวลาประมาณ 6 hrs.)
- Bungi jump 3,500 Rs :1 person ระยะทาง 18 km from Rishikesh 
- Wildlife Safari ระยะทาง 25 km . 1,800 (รอ 2.5 ชม.ไป-กลับ) + 700 (ต่อคนที่ park)
- Kayaking 2,000 Rs. : Kayak  หากไม่รู้ทาง หรือมาคนเดียวต้องการเพื่อนร่วมทาง ต้องเช่าอีก 1 kayak พร้อม instructor เป็น 4,000 Rs.
อัตราแลกเปลี่ยน 1 Rs:0.51 บาท (คิดเป็นเงินไทยเอา 2 หารโดยประมาณ)



วิวทิวทัศน์ขณะล่องแก่งงดงามตระการตามาก น้ำเชี่ยวไหลแรง และเย็นเหมือนน้ำแข็งละลาย ผู้ควบคุมแพของพวกเรา ชื่อ Laxman กับ เมเนยาร  โดยเฉพาะ Laxman อัธยาศัยดีมากมีจิตใจ service mind อธิบายขั้นตอนการควบคุมแพ การพาย ตลอดจนบรรยายลักษณะภูมิประเทศจุดต่างๆ ของแม่น้ำคงคาที่พวกเราล่องผ่านอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย Laxman สอนพวกเราให้นำใบพายแตะรวมกันกลางแพลักษณะคล้ายการบูม แล้วกล่าวคำว่า “กังกามายาคี” พร้อมกัน แล้วเอาใบพายมาตีน้ำข้างแพให้น้ำกระเด็น บางช่วงที่เห็นว่าปลอดภัย Laxman อนุญาตให้พวกเราโดดลงไปในแม่น้ำได้ ที่นี่เป็นต้นน้ำแม่น้ำคงคาไม่มีการนำศพทิ้งลงไปในแม่น้ำเหมือนที่เมืองพาราณสีนะครับ ไม่ต้องกังวลว่าดำน้ำลงไปจะเอ๋กับศพไม่มีญาติ ผมกับ Sanzhar ได้ทีโดดลงไปดำผุดดำว่ายในแม่น้ำคนละ 2 ถึง 3 รอบ น้ำในแม่น้ำเย็นยะเยือกเหมือนน้ำแข็งแต่ก็ยังพอทนได้ มาถึงต้นน้ำแม่น้ำคงคาแล้วต้องลองครับ ผมสำลักน้ำไปหลายอึก  พวกเราล่องแก่งเสร็จก็เย็นมากแล้วและเหนื่อยกับการล่องแก่งพอสมควร เมื่อกลับถึงที่พักแล้ววันนี้จึงไม่ได้ออกไปไหนต่อ (สาวๆ มองโกเลียคงบ่นในใจกันอุบ)


2.การท่องเที่ยวในเมือง Rishikesh นั้น จุดหมายที่ห้ามพลาดคือ การเดิน Trecking เล็กๆ จากสะพาน “Laxman Chula” ถึงสะพาน “Ram Chula” โดยใช้เส้นทางเลียบริมแม่น้ำคงคาซึ่งอยู่ฝั่งหนึ่งตรงข้ามกับถนนสายหลัก  ระยะทางประมาณ 3-4 กิโลเมตร ในเช้าวันอาทิตย์พวกเราใช้เวลาประมาณเกือบ 2 ชั่วโมงในการชมความงามของแม่น้ำคงคาที่ไหลผ่านตัวเมือง จากนั้นไปเดินสำรวจตลาด Rishikesh ซึ่งตั้งอยู่บริเวณสะพาน Ram Chula  ถึง สะพาน Laxman Chula ทั้งสองฝั่ง บริเวณเชิงสะพาน Laxman Chula มีร้านอาหารตะวันตกอยู่ 2 ร้าน คือร้าน Italian Restaurant กับ German Bakery and Restaurant ราคาไม่แพงร้านอาหารทั้งหมดใน Rishikesh เป็นมังสวิรัติ




3.น้ำตก Neer Garh Waterfall ระยะทาง 10 กิโลเมตรเศษจากตัวเมือง Rishikesh  บ่ายวันอาทิตย์พวกเราใช้วิธีเช่ารถสกู๊ตเตอร์ 2 คันเพื่อจะมาน้ำตกนี้ ราคาค่าเช่ารถคันละ 400 รูปี ส่วนรถประเภทอื่นราคาก็แตกต่างกันออกไป  ใช้รถได้ตั้งแต่เช้าจนถึงประมาณ 3 ทุ่ม ซึ่งมีทั้งร้านที่เข้มงวดเรื่องใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศกับร้านที่ให้เช่ารถโดยไม่สนใจใบอนุญาตขับรถ ผมไม่มีใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศใช้แต่เพียงหนังสือเดินทางเท่านั้นเองครับ เกิดปัญหาขึ้นนิดหน่อยเนื่องจาก Sanzhar ขับรถสกูตเตอร์ไม่คล่อง  ระหว่างที่กำลังลองรถสกูตเตอร์กันอยู่นั่นเอง Sandeep หนุ่มอินเดีย ซึ่งทำงานอยู่ในร้านที่พวกเราไปติดต่อเช่ารถจึงถือโอกาสเสนอตัวเป็นคนขับรถให้ ผมไม่มีทางเลือกจึงยอมรับให้ Sandeep มาช่วยขับรถสกู๊ตเตอร์อีกคันให้ ผมถามราคาว่าจะต้องจ่ายเท่าไหร่ Sandeep  บอกแล้วแต่ผมจะให้ละกัน (เอาอีกแระ) ในที่สุดเรามีคนเพิ่มเข้ามาในทริปอีกคนหนึ่งให้การเดินทางใน Rishikesh มีสีสันมากขึ้น Sandeep พาพวกเราขึ้นไปชมน้ำตกโดยจะต้องเสียค่าธรรมเนียมคนละ 30 รูปี (แค่ประมาณ 15 บาทเองครับ) เส้นทางที่ขึ้นไปบนน้ำตกตัดเลียบภูเขา กำลังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จดูน่าหวาดเสียวดี เมื่อจอดรถสกู๊ตเตอร์แล้ว ก็เห็นน้ำตกชั้นล่าง น้ำใสแจ๋ว เราต้องเดินขึ้นเขาไปอีกเป็นระยะทางประมาณ 500 ถึง 600 เมตรก็ถึงจุดที่ Sandeep บอกว่าพอแล้ว น้ำตกที่นี่ใสมากและเย็นมากด้วย เราใช้เวลาอยู่ที่นี่ประมาณเกือบ 1 ชั่วโมง Sandeep บอกว่าเดี๋ยวจะพาขึ้นไปบนเขาต่อ 



Sandeep พาพวกเราไปแวะเยี่ยมบ้านของญาติตัวเองและบ้านแฟน พาแฟนมาแนะนำให้รู้จัก ชื่อน้อง Rajni negi   ส่วนน้องสาว Payal negi สมาชิกในครอบครัวให้การต้อนรับขับสู้พวกเราอย่างดีมากตามอัตภาพ ครั้งหนึ่งในขีวิตครับที่ได้มีโอกาสเยี่ยมชมวิถีชีวิตของชาวอินเดียในหมู่บ้านชนบทบนเทือกเขาสูง ได้พบปะพูดคุยกับชาวบ้านอย่างใกล้ชิด ดื่มน้ำเย็นๆ จากน้ำประปาภูเขา ดื่มจายนมร้อนๆ จากนมวัวและมิลลิก (ควายอินเดีย) สดๆ  ขนมหวานง่ายๆ ทำจากข้าวบาสมาติกวนกับน้ำตาล  ได้เห็นภูมิปัญญาพื้นบ้านการลาดปูพื้นบ้านชั้นล่างด้วยมูลวัวและมิลลิกสืบเนื่องมาแต่โบราณ วัวกับมิลลิกที่เลี้ยงไว้เพื่อรีดนมอย่างเดียว อัธยาศัยไมตรี รอยยิ้ม การต้อนรับขับสู้แขกผู้มาเยือนจากแดนไกลของชาวบ้านไม่ต่างจากคนไทยในชนบทเลย



ความสูงขณะนั้นประมาณ  1,170 เมตร จากระดับน้ำทะเล  Sandeep ถ่วงเวลาพวกเราอยู่บนเขาจนพลบค่ำจึงพากันกลับลงมา โดยพาพวกเราลัดเลาะไปตามไหล่เขาลงมาตามทางลัดที่รถยนต์ไปไม่ได้ ถึงถนนบางช่วงต้องให้คนซ้อนท้ายเดินลงไปเพราะทางสูงชันมาก แคบและอันตรายมาก ผมนึกแช่งตำหนิ Sandeep ในใจว่าหาเรื่องให้พวกเรามาลำบากจริงๆ แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกคุ้มค่าที่ได้มาที่นี่ ในที่สุดพวกเราก็เดินทางกลับมาถึงในเมืองเอาตอนประมาณ 1 ทุ่มเศษ หลังจากไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่โรงแรมแล้ว Sandeep กับลูกน้องไปส่งผมกับเพื่อนๆ ที่สถานีขนส่ง (ผมจองรถเที่ยวกลับไว้ที่ 21.30 น.)  ผมรู้สึกพอใจกับการให้บริการของ Sandeep มากจึงให้ทิป Sandeep เป็นเงินสดไปจำนวนหนึ่ง พวกเราเดินทางถึงเดลีเวลาประมาณ 04:00 น. ของวันใหม่และถึงโรงแรมประมาณ 05:00 น. เป็นทริปที่สุดขีดจริงๆ ครับ



มีอีกหลายจุดที่ไม่ได้พูดถึงแสดงว่าพลาดไปเนื่องจากมีเวลาจำกัด แต่แค่ได้เพียงล่องแก่งแม่น้ำคงคา ท่ามกลางเทือกเขาหิมาลัย และการได้ขึ้นไปเยี่ยมเยียนชาวบ้านบนภูเขาสูงในชนบทของอินเดีย ได้เห็นวิถีชีวิตอย่างเรียบง่ายอย่างใกล้ชิด ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้วสำหรับการมาเยือนที่นี่ Incredible India จริงๆ ครับ



รายละเอียดเบอร์โทรติดต่อของ Laxman กับ Sandeep ดังนี้ครับ
Laxman Nige: mobile +91 94-58-146341
Sandeep Pundir: mobile +91 8126-88352, email: sandypundir15@gmail.com

No comments:

Post a Comment

RevolverMap