“การก่อการร้าย”
ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Terrorism” ซึ่งเป็นคำที่มีรากฐานมาจากภาษาฝรั่งเศสที่กล่าวถึงเหตุการณ์ปฏิวัติฝรั่งเศษในช่วงปี พ.ศ. 2336 – 2337 ที่มีกลุ่มก่อความไม่สงบใช้วิธีการที่รุนแรงทำให้เกิดการเสียชีวิตของผู้บริสุทธิ์เป็นจำนวนมาก
เนื่องจากการก่อการร้ายเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการใช้ความรุนแรง และผิดกฏหมาย ทำให้การก่อการร้ายมีความใกล้เคียงต่ออาชญากรรม แต่ประเด็นที่ทำให้การก่อการร้ายมีความแตกต่างจากอาชญากรรมก็คือ “วัตถุประสงค์” ตรงที่การก่อการร้ายจะกระทำเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ทางการเมือง ศาสนา หรือความเชื่อในลัทธิอุดมการณ์ ส่วนอาชญากรรมจะกระทำเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่ผู้กระทำต้องการเช่น มุ่งประสงค์ต่อชีวิต หรือทรัพย์สินของผู้อื่น
สำหรับสาเหตุของการก่อการร้ายนั้นมีพื้นฐานมาจากเรื่องหลัก 2 ประการคือ
- การดำเนินการการทางการเมืองภายในรัฐชาติ หรือ รัฐต่อรัฐ เช่น การล่าอาณานิคมของประเทศมหาอำนาจทำให้เกิดกลุ่มต่อต้านเพื่อหาทางประกาศเอกราช หรือ ความขัดแย้งทางการเมืองที่นำไปสู่การกระทำที่รุนแรงมีผลต่อชีวิตและทรัพย์สิน เป็นต้น
- การดำเนินทางเศรษฐกิจ และสังคม จิตวิทยา เช่น ความเหลือมล้ำทางชนชั้นทางสังคมหรือเชื้อชาติที่บานปลายไปสู่การดำเนินการต่อสู้ด้วยความรุนแรง หรือ การใช้มาตรการกีดกันทางเศรษฐกิจจากประเทศมหาอำนาจจนขยายผลสู่การเรียกต้องที่ใช้ความรุนแรง เป็นต้น เมื่อการก่อการร้ายที่กระทำโดยผู้ก่อการร้ายหรือที่เรียกว่า “Terrorist” นั้นเป็นการกระทำที่มุ่งหวังในเรื่องทางการเมือง ความเชื่อ ฯลฯ การก่อการร้ายจึงกระทำเพื่อให้เกิดการยอมรับจากการกระทำที่รุนแรงเพื่อให้เกิดอำนาจในการต่อรอง กดดัน หรือ ข่มขู่ต่อกลุ่มเป้าหมายที่ผู้ก่อการร้ายต้องการ
ความหมายของการก่อการร้ายที่ใช้ใน “ประเทศสหราชอาณาจักร” เมื่อ ปี 2000 ได้แก่ “การใช้กำลัง หรือภัยคุกคามที่เกิดขึ้นจากการใช้กำลัง ซึ่งมุ่งเน้นสร้างอิทธิพลกดดันต่อรัฐบาล หรือขู่เข็ญต่อสาธารณะ หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของสาธารณะ ซึ่งการใช้กำลังหรือภัยคุกคามดังกล่าวถูกดำเนินการเพื่อวัตถุประสงค์ให้มีการแพร่หลาย หรือให้เป็นที่ยอมรับในเหตุปัจจัยทางการเมือง ศาสนา และลัทธิความคิด และการกระทำนั้นเกี่ยวข้องกับความรุนแรงอย่างยิ่งต่อบุคคล เกี่ยวข้องกับการทำลายล้างที่รุนแรงต่อทรัพย์สิน ทำให้ชีวิตของบุคคลตกอยู่ในอันตราย ยกเว้นชีวิตของบุคคลที่เป็นผู้ก่อการร้าย ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพ ชีวิต และความปลอดภัยของสาธารณะ แทรกแซงหรือขัดขวางระบบอิเล็คโทรนิคส์”
ความหมายของการก่อการร้ายใน “กลุ่มประเทศยุโรป (EU)” ซึ่งบังคับใช้เมื่อปี 2001 ระบุว่า “กิจกรรมการก่อการร้ายคือ การกระทำที่มีเจตนาที่จะทำลายและสร้างความไม่มั่นคงต่อโครงสร้างพื้นฐานทางการเมือง รัฐธรรมนูญ เศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ”
สำหรับความหมายของการก่อการร้ายที่ “หน่วยสืบสวนสอบสวนกลาง FBI” ของสหรัฐอเมริกาใช้ได้แก่ “การใช้กำลังและความรุนแรงที่ผิดกฎหมายต่อบุคคลหรือทรัพย์สิน เพื่อขู่เข็ญหรือบังคับรัฐบาลหรือพลเมือง หรือส่วนหนึ่งส่วนใดของรัฐบาลและพลเมือง เพื่อสนับสนุนวัตถุประสงค์ทางการเมืองและทางสังคม”
ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น คือ ความหมายของการก่อการร้ายของประเทศมหาอำนาจต่าง ๆ ส่วนความหมายของการก่อการร้ายในทางสากลนั้น ด้วยความที่การก่อการร้ายมีมิติทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงเป็นการยากที่องค์การสหประชาชาติเองจะหาคำนิยามที่เหมาะสมสำหรับคำนี้ในทางสากลได้
ทั้งนี้เนื่องจาก “การก่อการร้าย” นั้น สามารถมองได้สองมิติ ผู้ก่อการร้ายในมุมมองของฝ่ายหนึ่งอาจเป็นวีรบุรุษของอีกฝ่ายหนึ่ง ตัวอย่างเช่น นายยัสเซอร์ อาราฟัต อาจเป็นผู้ก่อการร้ายในสายตาของชาวอิสราเอล แต่เป็นวีรบุรุษผู้กล้า หรือผู้ปลดปล่อยปาเลสไตน์ในสายตาของชาวปาเลสไตน์ หรือแม้กระทั่งนายโอซามะ บินลาเดนก็ตาม ที่พยายามต่อสู้ทุกวิถีทางต่อชาติมหาอำนาจที่จะคิดทำลายล้างศาสนาอิสลาม ก็อาจจะเป็นวีรบุรุษในสายตาของชาวมุสลิมบางกลุ่ม ในขณะที่อดีตประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช แห่งสหรัฐอเมริกา อาจเป็นผู้ก่อการรร้ายในสายตาของชาวมุสลิมทั่วโลกก็เป็นได้ นอกจากนี้การยึดสนามบินของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อปลายปี 2552 กลับกลายเป็น “การก่อการดี” ไปเสี่ยนี่….
No comments:
Post a Comment