Leh in my memory...

As we are entering the new era, where nations are becoming one community, I, as well as my PTI 27th session’s member friends have the mutual vision that we, and other friends of the Asia-Pacific nations, will become closer than ever.
ยินดีต้อนรับสู่โลกใบเล็กของผม โลกของคนทำงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ชีวิตในวัยเด็กผมเคยใฝ่ฝันอยากจะเป็นสถาปนิก แต่เมื่อยามต้องเลือกทางเดินของชีวิต ผมกลับเลือกที่จะสวมเครื่องแบบสีกากี โดยสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารเหล่าตำรวจ หลังสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ผมเลือกลงบรรจุรับราชการในตำแหน่งพนักงานสอบสวนที่อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี ชีวิตราชการวนเวียนโยกย้ายอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตลอดมา ถึงแม้จะอยู่ห่างไกลจากศูนย์อำนาจรัฐ และการทำงานในหลายโอกาสอาจพบพานกับอุปสรรคภยันตรายต่าง ๆ บ้าง แต่ที่นี่คือ “บ้าน” ผมจึงยังทำงานอยู่ที่นี่ ทุกวันนี้ผมมีความสุขกับงานที่ทำอยู่เสมอ...

Friday, September 23, 2011

เสียงจากชาวบ้าน-อดีตแนวร่วม-ผู้นำศาสนา...ไม่ปักใจ "แก๊งค้ายา" เบื้องหลังบึมโก-ลก

clip_image001
ที่มา: สำนักข่าวอิศรา
สำนักข่าวอิศรา รายงานว่า หลังเหตุระเบิดครั้งรุนแรงที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ดูเหมือนฝ่ายทางการจะให้ข้อมูลตรงกันทั้งทหารและตำรวจว่า เป็นฝีมือของขบวนการค้ายาเสพติดที่ปฏิบัติการตอบโต้รัฐ ทั้งยังโหมกระแสว่าขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่เคลือนไหวอยู่ในพื้นที่และเชื่อว่าอยู่เบื้องหลังเหตุรุนแรงตลอดกว่า 7 ปีที่ผ่านมานั้น แท้ที่จริงแล้วมีส่วนเกี่ยวพันกับกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดอย่างแยกไม่ออก
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ว่าที่เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) พูดชัดว่ามีหลักฐานยืนยันว่ากลุ่มแบ่งแยกดินแดนกับกลุ่มค้ายาใช้คนชุดเดียวกันในการก่อเหตุรุนแรง
ขณะที่ พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 ก็ให้ข้อมูลสอดรับกันว่า สถานการณ์ความไม่สงบในขณะนี้มีสาเหตุจาก “ภัยแทรกซ้อน” คือกลุ่มอิทธิพลมืด ค้ายาเสพติด น้ำมันเถื่อน และสินค้าเถื่อนมากถึง 80% ส่วนสาเหตุจากการแบ่งแยกดินแดนจริงๆ มีเพียง 20% เท่านั้น
แต่ทั้งหมดนั้น โดยเฉพาะการโหมกระแสช่วงหลังเหตุการณ์ “บอมบ์โก-ลก” เป็นข้อมูลจากฝ่ายรัฐเพียงด้านเดียว ฉะนั้นน่าจะลองฟังความเห็นของประชาชนในพื้นที่จริงๆ บ้างว่าพวกเขาคิดเหมือนกับเจ้าหน้าที่รัฐหรือเปล่า
หลายประเด็นที่ "คนพื้นที่" หยิบขึ้นมาพูดหรือตั้งข้อสังเกตนับว่าน่าสนใจ แม้จะมองเป็นเรื่องความรู้สึก ไม่ได้มีข้อมูลหลักฐานเอกสารประกอบเหมือนเจ้าหน้าที่รัฐก็ตาม แต่ความรู้สึกเหล่านี้สำคัญอย่างยิ่งในสงครามแย่งชิงมวลชน
น่าสังเกตว่าภายใต้สถานการณ์ร้ายที่กลายเป็นฝุ่นตลบอบอวลอยู่ที่ชายแดนใต้นั้น มีข้อมูลจากบางฝ่ายยืนยันชัดว่าไม่ใช่เรื่องแบ่งแยกดินแดนอย่างเดียว แต่หลายเหตุการณ์เป็นเรื่องส่วนตัว อีกหลายเหตุการณ์เป็นประเด็นขัดแย้งและขัดผลประโยชน์กันของการเมืองท้องถิ่น และแน่นอนหลายกรณีเป็นเรื่องยาเสพติด
แต่คำถามก็คือเหตุใดเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงจำนวนกว่าครึ่งแสนที่อยู่ในพื้นที่จึงไม่สามารถสกัดกั้นได้ นั่นหมายถึงรัฐคุมพื้นที่ไม่ได้จริงใช่หรือไม่ และช่องโหว่ช่องว่างเหล่านั้นทำให้เกิดการใช้ความรุนแรงกันได้อย่างเสรีไม่ต่างอะไรกับดินแดน “มิคสัญญี” ใช่หรือเปล่า
นี่ต่างหากคือโจทย์ข้อใหญ่ที่รัฐต้องเร่งตอบให้ชาวบ้านหายคาใจ!
ผู้นำศาสนา : ยาเสพติดไม่ใช่ปัจจัยหลักหนุนขบวนการ
โต๊ะอิหม่ามรายหนึ่งจาก จ.ยะลา กล่าวว่า จุดแข็งของขบวนการแบ่งแยกดินแดนคือบอกว่าทำเพื่อศาสนา ซึ่งศาสนาอิสลามไม่ถูกกับคนที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดอยู่แล้ว ฉะนั้นจึงไม่น่าเป็นไปได้ที่กลุ่มแบ่งแยกดินแดนจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติดโดยตรง แต่ถ้าเป็นการสนับสนุนทางการเงินบางส่วนก็อาจเป็นไปได้
       “อย่างที่หลายฝ่ายรู้ว่ากลุ่มแนวร่วมในพื้นที่ถูกหลอกลวง มีการบิดเบือนศาสนาและปลุกระดม เพราะฉะนั้นการที่กลุ่มแบ่งแยกดินแดนอาจรับเงินสนับสนุนจากกลุ่มค้ายาเสพติดก็มีความเป็นไปได้ เพราะขนาดการปลุกระดมเพื่อดึงแนวร่วมเข้าขบวนการยังบิดเบือนศาสนาได้ เรื่องเอาเงินจากที่ไหนมาคงง่ายที่จะทำ"
อย่างไรก็ตาม อิหม่ามรายนี้ไม่เชื่อว่าเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นทั้งหมดหรือส่วนใหญ่ในพื้นที่เกิดจากกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่จับมือกับกลุ่มผู้ค้ายาเสพติด
       “การก่อเหตุแต่ละครั้งไม่ใช่ง่ายๆ เจ้าหน้าที่รัฐอยู่ในพื้นที่เยอะแยะ ผมเชื่อว่ามันมีอะไรซับซ้อนมากกว่าที่กลุ่มแบ่งแยกดินแดนกับกลุ่มยาเสพติดทำ ยิ่งช่วงนี้กำลังอยู่ระหว่างโยกย้ายข้าราชการ โดยเฉพาะข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ด้วย”
อิหม่ามจาก จ.ยะลา บอกด้วยว่า ปัญหาการแบ่งแยกดินแดนไม่ได้ขยายตัวเพราะยาเสพติด เพราะในพื้นที่นี้มีปัญหาชาวบ้านถูกละเมิดสิทธิ์ ไม่ได้รับความเป็นธรรม และรู้สึกไม่ดีกับรัฐ ตรงนั้นต่างหากที่เป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้คนไหลเข้าขบวนการ และรัฐยังไม่ได้แก้ไขเลย ฉะนั้นรัฐไม่ควรพุ่งเป้าหรือโหมกระแสไปที่ยาเสพติดเรื่องเดียว
ภรรยาผู้ต้องขัง : ต่างฝ่ายต่างก่อเหตุ
ภรรยาผู้ต้องขังคดีความมั่นคง บอกว่า ไม่อยากเชื่อสิ่งที่รัฐพยายามโหมกระแสอยู่ในขณะนี้ว่าเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เกี่ยวโยงกับเรื่องยาเสพติด และขบวนการค้ายาเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินให้กับกลุ่มก่อความไม่สงบที่มีอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดน
       “แม้เหตุการณ์จะเกิดขึ้นเยอะฉันก็ยังไม่อยากเชื่อ เพราะในพื้นที่มีทหารอยู่เต็มไปหมด แต่ยังมีเหตุเกิดขึ้นได้ ถ้าเป็นฝีมือกลุ่มค้ายาจริงๆ ก็ต้องมีเจ้าหน้าที่มาช่วย เพราะการเคลื่อนย้ายระเบิดหรืออาวุธเข้าไปก่อเหตุต้องผ่านด่านตรวจของเจ้าหน้าที่ก่อน”
       “ส่วนตัวคิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นลักษณะแต่ละกลุ่มต่างก็ก่อเหตุกันเอง กลุ่มยาเสพติดก็ก่อเหตุไป เมื่อมีคนขวางก็ทำ ส่วนกลุ่มแบ่งแยกดินแดนก็ก่อเหตุไปเช่นกัน กลุ่มผลประโยชน์ในพื้นที่ก็ก่อเหตุไป นี่ยังไม่นับที่ว่าเจ้าหน้าที่ก่อเองอีกนะ มันจึงทำให้เหตุรุนแรงในบ้านเราเยอะ ชาวบ้านเชื่อกันอย่างนั้น แต่เจ้าหน้าที่มักพูดทุกครั้งว่าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเพราะกลุ่มแบ่งแยกดินแดนทำ โดยมีกลุ่มยาเสพติดสนับสนุน มันเป็นไปไม่ได้”
ภรรยาผู้ต้องขังคดีความมั่นคง ให้ข้อมูลด้วยว่า ในพื้นที่ยังมีปัญหาความไม่เป็นธรรมมากมาย ชาวบ้านเดือดร้อนแต่ไม่มีใครช่วย อย่างเวลาเกิดเหตุรุนแรงและเจ้าหน้าที่ต้องการตัวคนร้าย ก็มากวาดจับเอาไปโดยใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ (อาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548) แล้วค่อยเลือกว่าคนไหนใช่ คนไหนไม่ใช่
       “แม้สุดท้ายคนที่ไม่ใช่จะได้รับการปล่อยตัว แต่ก็ต้องเสียเวลา ถูกจับขังเป็นเดือนๆ บางคนมีหนี้นอกระบบ พอสามีถูกจับก็ไม่มีเงินจ่าย เจ้าหนี้ก็มายึดโน่นยึดนี่ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจริงและไม่มีใครรู้ น่าสงสารมาก รัฐเองเหมือนยิ่งซ้ำเติม”
อดีตแนวร่วม : ไม่เชื่อขบวนการรับเงินแก๊งค้ายา
ด้านอดีตแนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดนซึ่งเคยเคลื่อนไหวในพื้นที่ จ.ยะลา ให้ความเห็นว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่กลุ่มขบวนการจะรับเงินสนับสนุนจากผู้ค้ายาเสพติด เพราะไม่มีเหตุผลที่กลุ่มขบวนการจะต้องรับเงิน เนื่องจากเป็นการต่อสู้เชิงอุดมการณ์ เพื่อศาสนา ต้องสะอาดบริสุทธิ์เท่านั้น ไม่ใช่เอาบาปหรือสิ่งไม่ดีมาปะปนให้สิ่งดีๆ สกปรกไปด้วย
       “จริงๆ ทุกวันนี้กลุ่มแยกดินแดนแทบไม่ต้องก่อเหตุเอง แค่นั่งมองเฉยๆ ก็มีชื่อติดเป็นผู้ก่อเหตุแล้ว เพราะรัฐให้น้ำหนักมาที่กลุ่มเดียว ทั้งๆ ที่ในพื้นที่นี้ยังมีอะไรอีกมากมาย แค่พวกกำนันผู้ใหญ่บ้านที่มีอิทธิพลขัดผลประโยชน์กันแล้วก่อเหตุรุนแรงเพื่อจัดการอีกฝ่ายก็กลายเป็นเรื่องของการก่อความไม่สงบ กลายเป็นว่ากลุ่มแบ่งแยกดินแดนเก่ง แม้ทหารอยู่เต็มพื้นที่ก็ก่อเหตุได้ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรเท่าไหร่เลย”
ฝ่ายปกครอง : กอ.รมน.ภาค 4 อย่าด่วนสรุป
ขณะที่ข้าราชการฝ่ายปกครองระดับสูงรายหนึ่งซึ่งปฏิบัติงานอยู่ใน จ.ยะลา กล่าวว่า เหตุรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้อาจมีบางเหตุการณ์ที่เกิดจากเรื่องยาเสพติด แต่ไม่ใช่ทั้งหมดหรือส่วนใหญ่อย่างที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) กำลังพยายามให้ข่าวอยู่ในขณะนี้
       “ผมคิดว่าเราไปฟันธงขนาดนั้นไม่ได้ เพราะปัญหาภาคใต้ต้องดูหลายองค์ประกอบ ไม่ใช่แค่ห่วงเก้าอี้แล้วรีบพูดออกไป ฉะนั้นคนอื่นมองอย่างไรผมไม่ทราบ แต่ไม่ใช่เรื่องยาเสพติดทั้งหมดแน่นอน”
คนมาเลย์ : รัฐไทยต้องแก้ความไม่เป็นธรรม
ด้านความเห็นของชาวมาเลเซีย นายอับดุลรอมาน อิบราเฮม กล่าวว่า เหตุรุนแรงครั้งล่าสุดที่ อ.สุไหงโก-ลก น่ากลัวมาก และมีชาวมาเลย์เสียชีวิตด้วย ทำให้คิดว่าเขาและครอบครัวคงไม่กล้ามาเที่ยวประเทศไทยอีกแล้ว
       “ความรุนแรงที่ยืดเยื้อทำให้อะไรๆ เปลี่ยนไปมาก เมื่อก่อนคนทางบ้านผมจะส่งลูกหลานมาเรียนปอเนาะที่สามจังหวัดกันเยอะ แต่พอเกิดเหตุการณ์รุนแรงบ่อยครั้งเข้าก็ไม่มีใครส่งมาอีกเลย ยิ่งคราวนี้ระเบิดที่สุไหงโก-ลกมีชาวมาเลเซียเสียชีวิตด้วย ย่อมกระทบความรู้สึกของคนมาเลย์มากยิ่งขึ้นไปอีก”
นายอับดุลรอมาน กล่าวด้วยว่า เท่าที่รับฟังจากญาติซึ่งอาศัยอยู่ในสามจังหวัด ทราบว่าพื้นที่ชายแดนใต้มีปัญหาหลายอย่าง ไม่ใช่แค่แบ่งแยกดินแดนเท่านั้น แต่ยังมีปัญหาเจ้าหน้าที่ไม่ให้ความเป็นธรรม เอารัดเอาเปรียบประชาชนด้วย ซึ่งเป็นจุดที่ผมเห็นว่ารัฐบาลไทยต้องเร่งแก้ ไม่อย่างนั้นปัญหาจะบานปลายต่อไป

Thursday, September 22, 2011

เครือข่ายยาเสพติด-ผู้มีอิทธิพล เอี่ยวเหตุรุนแรง 3 จังหวัดชายแดนใต้

หน่วยงานความมั่นคงในภาคใต้ ขยายผลตรวจค้นยาเสพติด และปราบปรามการค้าน้ำมันเถื่อน หลังพบว่าเป็นเครือข่าย ที่มีความเชื่อมโยง สนับสนุนการก่อเหตุไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

พล.ต.จตุพร กลัมพสุต ผู้อำนวยการกองข่าว กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เปิดเผยว่า การตรวจสอบของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า พบว่า กลุ่มค้ายาเสพติด, กลุ่มค้าน้ำมันเถื่อน เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยทำหน้าที่สนับสนุนการก่อเหตุ และมีกลุ่มผู้มีอิทธิพล และนักการเมืองในพื้นที่บางคนร่วมด้วย ทำให้ต้องใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดในการปราบปราม

ส่วนการปราบปรามยาเสพติดตามชายแดนไทย-มาเลเซีย ขณะนี้ตำรวจน้ำ ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่รัฐเคดาห์ ประเทศมาเลเซีย ตรวจสอบน่านน้ำลังกาวี เพื่อกวาดล้างยาเสพติด และสิ่งผิดกฎหมาย หลังพบว่า เครือข่ายยาเสพติดตามแนวชายแดนภาคใต้ มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้กระทำผิดหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มค้ามนุษย์ , กลุ่มค้าอาวุธเถื่อน และกลุ่มค้าสินค้าหนีภาษี โดยเฉพาะให้ความสนับสนุนกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบของพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ซึ่งได้รับความร่วมมือจากทางการมาเลเซียในการลาดตระเวนร่วมกับตำรวจไทยมากขึ้น

ที่มา: เครือข่ายยาเสพติด-ผู้มีอิทธิพล เอี่ยวเหตุรุนแรง3 จังหวัดชายแดนใต้

Tuesday, September 13, 2011

สปต.เตรียมขอพบ นรม. หารือนโยบายแก้ปัญหา จชต".

dscf3311

เมื่อ 14 ส.ค.2554 นายอาซีส เบ็ญหาวัน ประธานสภาที่ปรึกษาการบริหาร และการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (สปต.) กล่าวถึงมติที่ประชุม สปต.จะส่งตัวแทนเข้าพบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อปรึกษาถึงนโยบายการแก้ปัญหา จชต. และสอบถามถึงความชัดเจนที่จะมีการปรับเปลี่ยน ศอ.บต.หรือไม่ รวมทั้งเขตปกครองพิเศษ ใน จชต. ที่พรรคเพื่อไทยได้หาเสียงเอาไว้ก่อนหน้านี้ด้วย

(http://www.matichon.co.th)

Wednesday, September 7, 2011

MILF เสนอจัดตั้งรัฐในภาคใต้ของฟิลิปปินส์

เมื่อ 4 ก.ย.2554 สนข. Xinhua รายงานว่ากลุ่มแนวร่วมปลดปล่อยอิสลามโมโร (MILF) ระบุจะผลักดันการจัดตั้งรัฐบังซาโมโรในภาคใต้ของฟิลิปปินส์ ในการเจรจากับรัฐบาลฟิลิปปินส์ โดยนายอัล ฮัจ มูราด อิบราฮิม ประธาน MILF แถลงว่า เป็นความตกลงทางการเมือง ของชาวบังซาโมโร เพื่อปกครองตนเองและตัดสินใจด้วยตนเอง โดยยังคงเป็นส่วนหนึ่งของฟิลิปปินส์ พร้อมกับระบุว่า ตนเห็นความจริงใจของประธานาธิบดีเบนิโญ  อากิโน หลังมีการตกลงในหลักการในการเจรจาสันติภาพที่ญี่ปุ่น สำหรับรูปแบบการปกครองตนเองยังไม่แน่ชัด โดยกลุ่ม MILFการศึกษาหลายรูปแบบ เช่น การปกครอง แบบสก๊อตแลนด์ และไอร์แลนด์เหนือ ที่อยู่ภายใต้สหราชอาณาจักร หรือแบบโปโตริโก ซึ่งอยู่ภายใต้สหรัฐฯ (สขช.)

งานการข่าว ศปก.ตร.สน.

มุขมนตรี รัฐกลันตัน มซ. มีอิทธิพลต่อชาวไทยมุสลิมใน จชต.


เมื่อ ๓ ก.ย.๕๔ นสพ.   New Straits Times ได้เสนอข่าวเกี่ยวกับทางการไทย รวมทั้งทางกองทัพได้มีการเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของ ชาวไทยมุสลิมใน จชต. ที่ยอมรับบทบาทของ Datuk Nik Aziz Nik Mat มุขมนตรีรัฐกลันตัน มาเลเซีย หรือ “Tok Guru” ในฐานะที่เป็นบุคคลต้นแบบ “Role Model” ทางการไทยเกรงว่า “Tok Guru” จะมีอิทธิพล ต่อชาวไทยมุสลิมใน จชต. ขณะเดียวกันนาย Abdul Aziz Che Mamat รองประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาส เห็นว่าการ ที่คนไทยมุสลิมใน จชต. รับเอาบทบาทของ Nik Aziz เพราะเชื่อว่าผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรค PAS เป็นบุคคล ที่มีความรู้ทางศาสนาอิสลาม นอกจากนี้ Datuk Mustapa Mohamed หน. สนง. พรรค UMNO สาขากลันตัน มีความเห็นว่าเรื่องนี้ไม่มีผลกระทบต่อพรรค UMNO เพราะคนไทยมุสลิมไม่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งใน มซ.

งานการข่าว ศปก.ตร.สน.

Tuesday, September 6, 2011

ประกาศ ลวงโลก จาก บันทึก เอ็มโอยู 2544 ถึง ′มรดกโลก′

ที่มา: ประกาศ ลวงโลก จาก บันทึก เอ็มโอยู 2544 ถึง ′มรดกโลก′
col01050954p1เรื่องของบันทึกความตกลงร่วมกันไทย-กัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ ทับซ้อนทางทะเล หรือเอ็มโอยู 2544 ก็อีหรอบเดียวกันกับคำประกาศถอนตัวจากภาคีอนุสัญญาว่าด้วยมรดกโลกนั่นแหละ
คือ เสมอเป็นเพียงการประกาศ
เอ็มโอยู 2544 เป็นการประกาศเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2552 เรื่องภาคีอนุสัญญาว่าด้วยมรดกโลก เป็นการประกาศเมื่อเดือนมิถุนายน 2554
แต่แล้วก็เสมือนกับเป็นเรื่องลวงโลก ลวงประชาชน
คำประกาศถอนตัวจากการเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยมรดกโลกอันมาจาก นายสุวิทย์ คุณกิตติ และได้รับความเห็นชอบโดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อเดือนมิถุนายน 2554 ได้รับการพิพากษาไปแล้วโดยประชาชน
นั่นก็คือ พรรคกิจสังคมไม่ได้รับเลือกแม้แต่คนเดียว กระทั่ง นายสุวิทย์ คุณกิตติ ต้องสอบตก
นั่นก็คือ พรรคประชาธิปัตย์ ต้องพ่ายแพ้ให้แก่พรรคเพื่อไทยอย่างยับเยิน
ความ ว่าด้วยคำประกาศถอนตัวจากภาคีอนุสัญญาว่าด้วยมรดกโลกยังไม่จบ กรณีของเอ็มโอยู 2544 ก็ปรากฏขึ้นว่ากำลังกลายเป็นคำประกาศในลักษณะลวงโลกอีกเรื่องหนึ่ง
เป็นการลวงโลกจากรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ถามว่ารายละเอียดอย่างไรหรืออันถือได้ว่า การประกาศยกเลิกเอ็มโอยู 2544 การประกาศถอนตัวจากภาคีมรดกโลกเป็นเรื่องลวงโลก
คำตอบ 1 ก็คือ เสมือนเป็นเพียงการประกาศแต่มิได้มีการปฏิบัติอย่างเป็นจริง
คำ ประกาศยกเลิกเอ็มโอยู 2544 เกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2552 แต่ต่อมากลับปรากฏว่าได้มีการเจรจาระหว่าง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับ นายซก อาน ในเรื่องอันเกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2553
แสดงว่า บทบาทและความหมายของเอ็มโอยู 2544 ยังดำรงอยู่
ที่ ยังดำรงอยู่เพราะว่าบันทึกความเข้าใจร่วมกันหรือเอ็มโอยูนั้นในทางกฎหมาย เมื่อมีมติออกมาแล้วต้องเสนอผ่านความเห็นชอบผ่านรัฐสภา จึงจะครบถ้วนสมบูรณ์
เช่น เดียวกับการเป็นภาคีสมาชิกอนุสัญญาว่าด้วยมรดกโลก เมื่อแสดงท่าทีในที่ประชุมอย่างเป็นที่แจ้งชัดแล้ว ภาคีสมาชิกจักต้องทำหนังสือยืนยันไปทางองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติอย่างเป็นทางการ คำประกาศลาออกนั้นจึงจะมีผลอย่างครบถ้วนและสมบูรณ์
จากเดือนพฤศจิกายน 2552 หลังการประกาศ รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่เคยมีปฏิบัติการอะไรเลยต่อเอ็มโอยู 2544
นี่ก็เช่นเดียวกับการทำหนังสือแจ้งต่อภาคีอนุสัญญาว่าด้วยมรดกโลก
เมื่อ ทั้งเรื่องเอ็มโอยู 2544 และทั้งเรื่องภาคีอนุสัญญามรดกโลกมิได้มีผลเหมือนเช่นกับคำประกาศ แล้วรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทำไปทำไม
คำตอบที่เด่นชัดยิ่ง คือ ต้องการผลทางการเมือง
นั่นก็คือ อาศัยเอ็มโอยู 2544 มาเป็นเครื่องมือในการโจมตี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้เสียหายในทางสังคม ในทางการเมือง
เลเพลาดพาดจากเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนเลอะเทอะจนถึงทำให้เสียดินแดน
นี่ก็ทำนองเดียวกับการออกข่าวว่าด้วยหมายจับแดง เรด โนติซ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในองค์การตำรวจสากล อินเตอร์โพล
ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยในทางเป็นจริง
นั่น ก็คือ อาศัยคำประกาศถอนตัวจากภาคีอนุสัญญาว่าด้วยมรดกโลกเพื่อประท้วงต่อคณะ กรรมการมรดกโลก ต่อองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชน เพื่อหวังจะได้คะแนนจากพวกหลงชาติจำนวนหนึ่ง
เป็นการเล่นเกมทางการเมือง เป็นการหลอกลวงทางการเมืองเพื่อประโยชน์เฉพาะหน้า
เป็น การอาศัยเกมทางการเมืองจากความขัดแย้งภายในประเทศขยายไปสู่การเมืองระหว่าง ประเทศ คิดแต่เพียงประโยชน์เฉพาะหน้าโดยไม่คำนึงถึงผลสะเทือนที่จะติดตามมา
เป็นการเล่นเกมสไตล์พรรคประชาธิปัตย์
ท่านอาจโกหกประชาชนได้ครั้งหนึ่ง แต่มิอาจโกหกได้ตลอด อับราฮัม ลินคอล์น สรุปได้ถูกต้อง
กระนั้น นักการเมืองบางคนก็โกหกซ้ำซาก จากหมายจับแดง ไปยังเอ็มโอยู 2544 ไปยังการถอนตัวจากภาคีอนุสัญญาว่าด้วยมรดกโลก
น่าสงสัยว่า ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่ที่ รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ โกหกประชาชน

Monday, September 5, 2011

“พูโล” เขียนถึงเหตุการณ์ที่มีคนร้ายกราดยิงร้านน้ำชาบ้านกาโสด อ.บันนังสตา จ.ยะลา เมื่อ 3 พ.ค. 2554

คดีกาโสด มอบตัว
'มั่นคง'ไทยอาละวาดยิงชาวบ้านอีกแล้ว - 04/05/2011
ที่มา: 'มั่นคง'ไทยอาละวาดยิงชาวบ้านอีกแล้ว - 04/05/2011
การที่ “ฝ่ายรักษาความมั่นคง” ไทยอาละวาดกราดยิงชาวบ้านตามร้านน้ำชาที่ อ.บันนังดังสตา เมื่อวันที่ ๓ พ.ค. บ่งบอกถึงดีกรีความเลวทรามอันไร้จารยาบรรณและมนุษยธรรมของฝ่ายจักรวรรดิ์นิยมไทยยิ่งทวีขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งผู้ล้มตายและบาดเจ็บมีทั้งเด็กและผู้หญิง ข้อกล่าวอ้างที่พวกเขาเอ่ยปากอยู่เนือง ๆ ว่าจะนำความเป็นธรรมและสงบสุขแก่ชนชาวมลายูปาตานียิ่งไกลความจริงมากขึ้นทุกขณะ
แทนที่จะทำตัวอย่างกำชับการบังคับใช้ข้อกฏหมายในฐานะผู้รักษากฏหมายและต้องไม่เลือกปฎิบัติหากลูกน้องเองกระทำผิดใด ๆ โดยเฉพาะคดีร้ายแรงสะเทือนขวัญครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนกับกรณีการกราดยิงชาวบ้านเมื่อวานนี้ ผู้บังคับบัญชาเองกลับปกป้องลูกน้องทุกวิธีทาง อย่างเช่นให้การกับสื่อต่อกรณีครั้งล่าสุดว่าคนร้ายแต่งกายคล้ายเจ้าหน้าทหาร ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือทหารจริง ๆ นั่นเอง!
เหตุผลก็คือ การมีส่วนรู้ร่วมคิดหรือสั่งการลูกน้องโดยตรงครั้งนี้น่าจะมีผลพ่วงมาจากการที่พวกเขาไม่สามารถหาแพะรับบาปกรณีวางระเบิดทหารพรานเมื่อวันเสาร์ที่ ๓๐ เมษาฯ จะเล่นงานประชาชนผู้บริสุทธิ์ไม่ได้ถึงแม้ว่าใช้กฏหมายของตนเองเป็นเครื่องมือเพื่อความดีความชอบในตำแหน่งหน้าที่และรายงานต่อเบื่องบนต่อไป ในเมื่อต้องปล่อยตัวผู้ต้องหาไป จึงคิดการอื่นที่สกปรก ถึงแม้จะผิดหลักเกณท์สงครามก็ตาม เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียกำลังใจของลูกน้องที่เพื่อน ๆ ต้องตายและบาดเจ็บ เสมือนเรียกร้องความเป็นธรรม (ทีไม่เป็นธรรมและถูกต้อง) อะไรสักอย่างในทางอ้อม สติและมันสมองของบรรดาผู้ที่ขึ้นชื่อว่าผู้พิทักษ์สันติราษฏร์ของจักรวรรดิ์นิยมไทยมีเพียงแค่นี้เอง
เหตุการณ์ทำนองเมื่อวานนี้ สอดคล้องตามทัศนะของผู้สังเกตุการณ์ท้องที่ที่เชื่อถือได้รายหนึงว่าเป็นการตอบโต้เหตุการณ์เมือวันเสาร์ที่แล้วจริง

RevolverMap