Leh in my memory...

As we are entering the new era, where nations are becoming one community, I, as well as my PTI 27th session’s member friends have the mutual vision that we, and other friends of the Asia-Pacific nations, will become closer than ever.
ยินดีต้อนรับสู่โลกใบเล็กของผม โลกของคนทำงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ชีวิตในวัยเด็กผมเคยใฝ่ฝันอยากจะเป็นสถาปนิก แต่เมื่อยามต้องเลือกทางเดินของชีวิต ผมกลับเลือกที่จะสวมเครื่องแบบสีกากี โดยสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารเหล่าตำรวจ หลังสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ผมเลือกลงบรรจุรับราชการในตำแหน่งพนักงานสอบสวนที่อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี ชีวิตราชการวนเวียนโยกย้ายอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตลอดมา ถึงแม้จะอยู่ห่างไกลจากศูนย์อำนาจรัฐ และการทำงานในหลายโอกาสอาจพบพานกับอุปสรรคภยันตรายต่าง ๆ บ้าง แต่ที่นี่คือ “บ้าน” ผมจึงยังทำงานอยู่ที่นี่ ทุกวันนี้ผมมีความสุขกับงานที่ทำอยู่เสมอ...

Sunday, June 19, 2011

“รักระหว่างรบ” ทหารพุทธ-สาวมุสลิม แต่งงาน-หนีตาม-ทำแท้ง!


“รักระหว่างรบ” ทหารพุทธ-สาวมุสลิม
แต่งงาน-หนีตาม-ทำแท้ง! สังคมเฟะ “อย่างแรง” ที่ชายแดนใต้

ที่มา: MTODAY ฉบับที่ 11 ประจำวันที่ 16 เมษายน -15 พฤษภาคม 2554

ผลงานของฝ่ายความมั่นคงในภารกิจ “ดับไฟใต้” 5 นายกฯ 6 รัฐบาล นอกจากจะละลายงบประมาณไปกว่า 1.45 แสนล้าน โดยที่สถานการณ์ยังคงรุนแรงรายวันแล้ว ยังมีประเด็นที่ไม่ค่อยมีใครอยากพูดถึง แต่ก็ลือกันให้หึ่งทั่วชายแดนใต้ ก็คือปม “ชู้สาว” ระหว่างทหารพุทธกับหญิงสาวมุสลิม

คลิปวิดีโอที่ทหารวัยฉกรรจ์นั่งกอดจูบลูบคลำกับสาวสวมฮิญาบในลักษณะ “ถูกแอบถ่าย” บน ดาดฟ้าของอาคารเตี้ยๆ หลังหนึ่ง (บ้างก็ว่าเป็นสถานีวิทยุของส่วนนราชการแห่งหนึ่ง) ซึ่งถูกเผยแพร่และส่งต่อไปทั่วพื้นที่เมื่อปลายปีที่แล้ว คือตัวอย่างอัน (ไม่) ดีที่สะท้อนถึงสภาพอันเหลวแหลกเละเทะทางศีลธรรมในดินแดนปลายสุดด้ามขวานใน ยุคที่มีทหาร ตำรวจ ลงไปปฏิบัติการมากถึงกว่า 60,000 นาย นับเฉพาะทหารก็ปาเข้าไปกว่าครึ่ง

เรื่องราว “ลับเฉพาะ” นี้ได้กลายเป็นเงื่อนไขให้ฝ่ายขบวนการก่อความไม่สงบนำไปขยายผลให้คนในสาม จังหวัดเกลียดชังเจ้าหน้าที่มากขึ้นในสงครามแย่งชิงมวลชนที่ฝ่ายรัฐดูจะเสีย เปรียบมาตลอด 7 ปีเต็ม


 ภาพจากคลิปวีดิโอแอปถ่ายทหารกับหญิงมลายูที่เป็นที่ฮือฮาเมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมา

“นิยายรัก”กลางสมรภูมิรบ
พูดกันอย่างเป็นธรรม...การมีหนุ่มในเครื่องแบบรูปงามลงไปเดินกันให้ขวักไขว่ ขณะที่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็มีหญิงมุสลิมวัยสะพรั่งจำนวนไม่น้อย โอกาสที่ฝ่ายหญิงและฝ่ายชายจะ “ปิ๊งปั๊ง” กระทั่ง “สปาร์ค” เป็นสัมพันธ์ลึกซึ้งเกินกว่าเจ้าหน้าที่รัฐกับประชาชนย่อมมีมากและมิอาจหลีกเลี่ยง

แต่ประเด็นนี้เป็นประเด็นอ่อนไหวอย่างยิ่ง เพราะมีเรื่อง “ศาสนา” เข้ามาเกี่ยวข้อง เนื่องจากชายในเครื่องแบบเกือบ 100% เป็นพุทธศาสนิกชน ขณะที่สาวๆ ในพื้นที่กว่า 80-90% ก็เป็นมุสลิม

การมีสัมพันธ์หรือแต่งงานกันข้ามศาสนาเป็นเรื่องใหญ่ในดินแดนที่ศรัทธาแห่งอิส ลามแรงกล้าเช่นที่นี่ ประเพณีที่รู้ๆ กันก็คือ ไม่มีใครอยากให้ลูกสาว “แต่งออก” สิ่งเดียวที่พอจะยอมรับได้ก็คือให้ชายจากศาสนาอื่นยอม “รับอิสลาม”

แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ปัญหาจบ เพราะพื้นที่นี้มีขบวนการแบ่งแยกดินแดน หรือ กลุ่มก่อความไม่สงบ เป็นตัวละครหลักที่ทรงอิทธิพลอยู่ด้วย การขับเคลื่อนของขบวนการยืนอยู่บนฐานความเชื่อทางศาสนาอันเคร่งครัด (ไม่ว่าจะสร้างภาพหรือไม่ก็ตาม) ฉะนั้นพฤติกรรมข้ามเส้นประเพณีหรือหลักการทางศาสนาจึงเป็นเงื่อนไขที่ขบวน การหยิบมาใช้โจมตีเจ้าหน้าที่รัฐได้อย่างง่ายดาย

ฝ่ายความมั่นคงเองก็ตระหนักเรื่องนี้เป็นอย่างดี และพยายามหามาตรการป้องกันอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะ “กฎเหล็ก” ของแม่ทัพภาคที่ 4 ตั้งแต่ยุค พล.ท.พิเชษฐ์ วิสัยจร (ต.ค.2551 ถึง ก.ย.2553 ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ยศพลเอก) จนถึง พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ (ต.ค.2553 ถึงปัจจุบัน) ที่ห้ามทหารหาญในบังคับบัญชามีสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับ “หญิงมุสลิม” ในพื้นที่อย่างเด็ดขาด


พล.อ.พิเชษฐ์ สมัยดำรงตำแหน่งแม่ทัพ ถึงกับห้ามกำลังพลขอเบอร์โทรศัพท์สาวมุสลิมด้วยซ้ำ
แต่ดูเหมือน “กฎเหล็ก” และ “ม่านประเพณี” จะ มิอาจขวางกั้นความรู้สึกดีๆ ของคนสองคนได้ ตลอดมาจึงมีข่าวทหารไทยใจกล้ารักใคร่ชอบพอกระทั่งมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับหญิง มุสลิมเล็ดลอดออกมาเป็นระยะ แต่ด้วยความที่เป็นประเด็นละเอียดอ่อนทั้งในแง่ความมั่นคงและศาสนาดังกล่าว จึงทำให้ไม่ค่อยมีใครอยากจะพูดถึงกัน

แต่ในที่สุด “รักกลางสนามรบ” ก็ไม่อาจกลบให้เป็นเรื่อง “ลับเฉพาะ” ของคนสองคนได้อีกต่อไป เมื่อมีคลิปทหารกอดจูบดูดดื่มกับสาวสวมฮิญาบว่อนอยู่ในโลกไซเบอร์ ทำลาย “กฎเหล็ก” ของแม่ทัพอย่างชนิด “ตีแสกหน้า”

นายทหารที่ทำงานใกล้ชิดกับทั้งแม่ทัพพิเชษฐ์ และแม่ทัพอุดมชัย กล่าวถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างไม่ค่อยเต็มใจจะพูดถึงว่า เป็นเรื่องที่พูดยาก เพราะพูดไปก็จะมีแต่เสียกับเสีย แต่ประเด็นก็คือต้องเข้าใจว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยความยินยอม พร้อมใจของ “คนสองคน” เท่านั้น
“ตบ มือข้างเดียวคงไม่ดัง ยอมรับว่าที่ผ่านมาเรามีกฎเหล็กก็จริง แต่ก็มีทหารจำนวนหนึ่งที่แหกกฎ เราก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะจะว่าไปก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา หลายคู่ก็จริงจังถึงขั้นแต่งงานกัน ทหารเราเปลี่ยนศาสนาไปเป็นอิสลามก็มี ก็อยู่กันอย่างมีความสุข” นายทหารคนใกล้ชิดแม่ทัพ กล่าว

แต่งงาน-หนีตาม-ทำแท้ง
จากการลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่า เรื่องราวความสัมพันธ์เชิงชู้สาวระหว่างทหารกับหญิงสาวมุสลิมนั้น มีจำนวนไม่น้อยเลย บางพื้นที่แทบจะเป็นกระแสคล้ายๆ หญิงไทยในภาคอีสานนิยมแต่งงานกับฝรั่งเลยทีเดียว

หมู่บ้านแห่งหนึ่งในอำเภอพื้นที่สีแดงของ จ.ยะลา มีการแต่งงานระหว่างเด็กสาวในหมู่บ้านกับทหารหาญที่เข้าไปปฏิบัติงานใน พื้นที่แล้วถึง 5 คู่!


นายยะโก๊ป หร่ายมณี อิหม่ามมัสยิดกลางประจำจังหวัดปัตตานี ยืนยันข้อมูลเรื่องนี้ว่า ระยะหลังการแต่งงานระหว่างคู่บ่าวสาวที่เจ้าบ่าวเป็นเจ้าหน้าที่รัฐและเป็นคนนอกศาสนา (อิสลาม) ซึ่งมาปฏิบัติงานรับใช้ชาติอยู่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ กับเจ้าสาวที่เป็นผู้หญิงมุสลิมมีมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก

ขณะที่อิหม่ามประจำมัสยิดเล็กๆ แห่งหนึ่งใน จ.ยะลา บอกว่า มีเด็กสาวมุสลิมมาขอให้ทำพิธีแต่งงานกับทหารซึ่งเป็นคนนอกศาสนาหลายคู่แล้ว ซึ่งเขาไม่สามารถห้ามปรามอะไรได้ ก็ต้องทำให้ เพราะหากไม่ทำก็เกรงจะเกิดผลร้ายตามมา เช่น หนีตามกันไป ซึ่งจะกลายเป็นการอยู่กินกันอย่างผิดหลักศาสนา

อย่างไรก็ดี เรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างทหารหนุ่มกับมุสลิมสาวไม่ได้มีเฉพาะที่ถูกต้อง ตามทำนองคลองธรรม คือแต่งงาน เปลี่ยนศาสนา แล้วอยู่กันอย่างมีความสุขเท่านั้น เพราะว่ายังมีอีกหลายคู่ที่กระทำในลักษณะผิดศีลธรรม โดยเฉพาะการที่ฝ่ายชายไปมีสัมพันธ์กับหญิงมุสลิมที่มีสามีแล้ว กระทั่งต้องเลิกรากับสามีเก่า จากนั้นก็พากันหนี

นายเซ็ง (สงวนนามสกุล) ชาวบ้านในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เล่าว่า ลูกสาวของเขา 2 คนหนีตามทหารเข้าไปอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งใน อ.บันนังสตา จ.ยะลา โดยลูกสาวคนโตของเขามีสามีอยู่แล้ว แต่กลับไปมีความสัมพันธ์กับทหารจนต้องแยกทางกับสามีที่อยู่กินมานานถึง 5 ปี
“เมื่อก่อนลูกสาวเป็นเด็กดี อยู่ในกรอบประเพณีและศาสนา คนพี่มีสามีอยู่แล้ว สามีก็ทำมาหากินเลี้ยงครอบครัวเป็นอย่างดี แม้จะยังไม่มีลูก แต่พวกเขาก็วางแผนจะมีลูกด้วยกัน ต่อมามีทหารเข้ามาทำงานในหมู่บ้าน ลูกสาวก็ไปคบหาและไปไหนมาไหนด้วยกันจนต้องเลิกรากับสามี ส่วนคนน้องก็หนีไปกับทหารด้วย อกคนเป็นพ่อแทบแตก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ทนร้องไห้อยู่ในใจเพราะเจ็บใจที่ลูกสาวสองคนหนีตามทหารไป” เขาระบายความรู้สึก
นายเซ็ง บอกด้วยว่า เป็นห่วงลูกหลานคนอื่นๆ ในพื้นที่มาก กลัวจะต้องตกอยู่ในสภาพเดียวกับเขาที่ลูกสาวหนีตามทหารให้ได้อับอาย

นอกจากเหตุการณ์ “หนีตาม” หรือ “วิวาห์เหาะ” แล้ว ยังมีเรื่องบัดสีที่รู้กันวงในอีกหลายกรณี เช่น “คนมีสี” หน้าห้องผู้ใหญ่คนหนึ่งของฝ่ายความมั่นคง เคยพาเด็กสาวมุสลิมไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังใน จ.ยะลา เพื่อทำแท้ง!

เรื่องนี้ปรากฏเป็นข่าวลือแบบ “ปากต่อปาก” ชนิดเมาท์กันแซ่ดในพื้นที่ เพราะเผอิญในวันที่พากันไปโรงพยาบาลนั้น มีนักข่าวแอบเห็นและจำหน้า “คนมีสี” รายนี้ได้ ในจังหวะที่ฝ่ายชายกำลังพยายามพูดจาหว่านล้อมปลอบประโลมให้เด็กสาวยอม “ทำแท้ง” โดยอ้างว่าไม่พร้อมมีบุตร

คลิปข่มขืน-ข่าวลือชำเรา สะท้อนสังคมเน่าเฟะ
ไม่ใช่เพียงแค่ “หนีตาม-ทำแท้ง” เท่านั้นที่เป็นเรื่องราวเสียดแทงคนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่ชาวบ้านเชื่อว่ามีการ “ข่มขืน” หญิงมุสลิมเกิดขึ้นด้วย
อย่าง เช่นเหตุการณ์ที่ อ.กริงปินัง จ.ยะลา เมื่อปีก่อน ลือกันว่าทหารพรานใช้อาวุธปืนจี้บังคับเด็กสาวหน้าตาดีซึ่งมักทำหน้าที่ถือ ป้ายเดินพาเหรดในงานโรงเรียนหรืองานของหมู่บ้าน แล้วพาตัวไปข่มขืนกระทำชำเราในป่าละเมาะเขต อ.เมือง จ.ยะลา

เรื่องนี้จริงเท็จอย่างไรไม่มีใครรู้ แต่ญาติของเด็กซึ่งเป็นผู้ปกครองได้ไปแจ้งความเอาไว้ที่สถานีตำรวจ และมีการทำคดีกันจริง มีการเรียกภาพถ่ายทหารทั้งทหารหลักและทหารพรานจากทุกฐานปฏิบัติการรอบ ๆ พื้นที่เกิดเหตุมาให้ผู้เสียหายชี้ รวมทั้งตรวจดีเอ็นเอผู้ต้องสงสัยบางรายด้วย

แต่คดีนี้ทำไป ๆ ฝ่ายตำรวจค่อนข้างเชื่อว่าเป็นเรื่อง “โอละพ่อ” เพราะ 1.ผู้เสียหายไม่ยืนยันว่าคนร้ายเป็นทหารหรือไม่ แค่บอกเพียงว่ามีพระห้อยคอ 2.ระยะทางจากจุดที่อ้างว่ามีการใช้อาวุธปืนจี้พาตัวไป กับจุดที่อ้างว่ามีการข่มขืน ห่างกันนับสิบกิโลเมตร และต้องผ่านด่านตรวจหลายด่าน หากมีการกระทำในลักษณะลักพาตัวหรือไม่สมยอม เจ้าหน้าที่ตามด่านต้องสังเกตเห็น   3.เมื่อ สอบลึกลงไปพบข้อมูลน่าเชื่อว่าเด็กสาวกับผู้ถูกกล่าวหาอาจจะรู้จักกันมาก่อน หรืออาจเป็นคู่รักกัน เมื่อออกไปข้างนอกด้วยกันแล้วผู้ใหญ่ทางบ้านของฝ่ายหญิงรู้ เด็กหญิงก็เลยสร้างเรื่องว่าถูกข่มขืนข่มขู่ จะได้ไม่ถูกตำหนิ และ 4.หลังเกิดเหตุแม่ของเด็กสาวซึ่งอยู่ต่างอำเภอ ได้รับเด็กสาวไปอยู่ด้วย และให้ลาออกจากโรงเรียน ทำให้คดีปิดไม่ลง

เรื่องนี้ไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไร แต่หากไปถามชาวบ้านในละแวกที่เด็กสาวเคยอยู่ จะได้รับคำตอบว่าเป็นการ “ข่มขืน” ทั้งสิ้น แสดงว่าข่าวแบบนี้ชาวบ้านพร้อมเชื่อทันทีหากไม่รีบสร้างความกระจ่าง หรือมีข้อมูลหักล้างที่น่าเชื่อถือเพียงพอ


นางอังคณา นีละไพจิตร ประธานมูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพ ซึ่งทำงานด้านผู้หญิงและสิทธิมนุษยชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวว่า เรื่องการข่มขืนมีการร้องเรียนเข้ามาตลอด แต่แทบทั้งหมดไม่สามารถจับคนทำผิดมาลงโทษได้ ทั้งที่บางคดีก็มีหลักฐานไม่น้อย บางเหตุการณ์ผู้บังคับบัญชาของผู้ถูกกล่าวหายังยอมรับเสียด้วยซ้ำว่าเป็น กำลังพลของตนเอง แต่สุดท้ายเรื่องก็เงียบไป มีการเจรจาต่อรองให้ยอมความบ้าง ให้แต่งงานกันบ้าง ขณะที่ชาวบ้านไม่กล้าเรียกร้องสิทธิเพราะกลัว

นอกจากนั้น เรื่องต่ำทรามอย่างการ “ข่มขืน” ยังเกิดขึ้นในฟากของเจ้าหน้าที่รัฐเองด้วย เพราะเมื่อเดือน พ.ย.ปีที่แล้ว เพิ่งเกิดคดีตำรวจหญิงสังกัดโรงพักแห่งหนึ่งใน จ.ยะลา เข้าแจ้งความร้องทุกข์ว่าถูกเพื่อนสาวซึ่งเป็นตำรวจด้วยกันล่อลวงไปให้เพื่อนตำรวจผู้ชายข่มขืน แถมหนึ่งในตำรวจที่ถูกกล่าวหายังมีรางวัลแห่งเกียรติยศของวงการสีกากีพ่วง ท้ายด้วย
ที่หนักก็คืองานนี้เป็นปัญหาขัดแย้งส่วนตัวกันระหว่างตำรวจหญิงสองคน ฝ่ายหนึ่งจึงมอมเหล้าอีกฝ่ายไปให้เพื่อนชายที่เป็นตำรวจด้วยกันรุมโทรม!

เรื่องนี้ทำให้ฝ่ายความมั่นคงเสียหายถึง 2 เด้ง คือนอกจากพฤติกรรมตำบอนของ “คนในเครื่องแบบ” ที่เล่นงานกันเองแล้ว (ถ้าเป็นชาวบ้านจะขนาดไหน) ยังเจอกลุ่มผู้ไม่หวังดี “ปล่อยคลิป” ไล่หลัง โดยอ้างว่าเป็นคลิปของตำรวจหญิงถูกทหารพรานข่มขืนซ้ำ เนื่องจากมีข่าวลือบางกระแสระบุว่า หลังกลุ่มตำรวจรุมโทรมเสร็จแล้ว ยังนำร่างไร้สติของตำรวจหญิงผู้เสียหายไปโยนไว้ที่หน้าค่ายของทหารพรานแห่ง หนึ่ง ด้วยหวังให้โดนข่มขืนต่ออีกด้วย
นี่จึงเป็นที่มาของการ “ปล่อยคลิปทหารพราน” ทั้ง ๆ ที่เป็นคลิปเก่าที่เคยเผยแพร่มาแล้วเมื่อ 2 ปี ก่อน ซึ่งสมัยนั้นอ้างว่าเป็นคลิปทหารพรานข่มขืนสาวมุสลิม และได้มีการตรวจพิสูจน์กันเป็นการภายในแล้วว่าน่าจะเป็นภาพยนตร์ประเภทปลุก ใจเสือป่าของต่างประเทศมากกว่า แต่แล้วก็ยังมี “มือมืด” ปล่อยคลิปเก่าโดยอ้างว่าเป็นคลิปทหารพรานข่มขืนตำรวจสาว หวังสร้างความแตกแยกระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐต่างหน่วยด้วย

จัดเด็กสาวติดยาส่ง “ลูกค้า” ถึงโรงแรม
ความฟอนเฟะของสังคมชายแดนใต้ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เพราะจากการลงพื้นที่พูดคุยกับพนักงานโรงแรงชื่อดังแห่งหนึ่งใน จ.ปัตตานี ได้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการ “จัดเด็ก” ส่งให้ลูกค้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับต่าง ๆ ที่ลงมาปฏิบัติงานแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่นั่นเอง

พนักงานโรงแรมรายนี้ เล่าให้ฟังว่า ช่วงที่มีคณะเจ้าหน้าที่มาพัก มักจะเห็นหญิงวัยรุ่นทั้งไทยพุทธและมุสลิม อายุตั้งแต่ 16 ปีถึง 20 ต้น ๆ เดินเข้าออกโรงแรงเป็นจำนวนมาก โดยเด็กเหล่านั้นมี “กระเทย” คอยขี่รถจักรยานยนต์รับส่ง

ด้วยความสงสัยเขาจึงเข้าไปซักถามกระทั่งได้ข้อมูลจาก “กระเทย” รายนี้ว่า ทำหน้าที่เป็น “นกต่อ” จัดหาเด็กสาวให้กับคณะเจ้าหน้าที่ที่มาประชุมและเข้าพักที่โรงแรม ได้เงินครั้งละ 500 บาท ส่วนเด็กสาวได้เงินครั้งละ 1,500 บาทถึง 3,000 บาท โดยส่วนใหญ่จะเป็นเด็กตามหมู่บ้านที่ติดยาเสพติด

พนักงานโรงแรมยังให้ข้อมูลอีกว่า เจ้าหน้าที่ที่เรียกใช้บริการเด็กสาว ส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าหน้าที่ที่ลงมาตั้งฐานปฏิบัติการตามตัวอำเภอ และเข้ามาพักโรงแรมในเขตเมืองช่วงวันหยุดพักหรือวันที่มีประชุม ส่วนผู้หญิงที่ขายบริการจะเป็นเด็กติดยาเสพติด มีทั้งเด็กมัธยมและนักศึกษา
“เวลามีคณะเข้าพักที่โรงแรม จะมีการโทรศัพท์ไปยังกระเทยนกต่อให้หาเด็กให้ โดยบอกสเปคว่า ต้องการเด็กแบบไหน จากนั้นกระเทยรายนี้ก็จะจัดหามาส่ง และรับเงินค่าบริการไป” พนักงานโรงแรมกลางเมืองปัตตานี ระบุ

“ยาเสพติด” ตัวเร่งสังคมเสื่อม
ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหายาเสพติดที่ระบาดอย่างหนักเข้าไปถึงระดับหมู่บ้านและครัว เรือนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้กลายเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้สังคมที่เคยสงบ สันติสุข เคร่งศาสนา และประพฤติตนอยู่ในกรอบคำสอนของศาสดา แปรเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมืออย่างรวดเร็ว
นางลาตีปาร์ มะนาหิง มารดาที่ได้รับรางวัล “แม่ดีเด่น” เพราะทำหน้าที่เลี้ยงลูกสาวถึง 6 คนและลูกชายอีก 1 คน บอกว่า ทุกครั้งเมื่อได้ยินข่าวข่มขืน หรือเด็กสาวหนีตามทหารไป รู้สึกคิดหนักและเครียดมาก ต้องพยายามหาทางสร้างภูมิคุ้มกันไม่ให้ลูกของเราเป็นแบบนั้น

“จะว่าไปก็เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อมีอะไรเข้ามาล่อตา เด็กสาว ๆ ก็ต้องหลงระเริงไป ฉะนั้นก็สุดแล้วแต่อัลเลาะฮ์ว่าจะให้ลูก ๆ เดินทางไหน เราก็ได้แต่ขอพรให้ลูกๆ ของเราพ้นจากวงจรนี้ บอกตรงๆ ว่าตลอด 7 ปี ที่เกิดสถานการณ์ความไม่สงบ สภาพสังคมในพื้นที่ย่ำแย่อย่างมาก โดยเฉพาะยาเสพติดที่ระบาดอย่างหนัก ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นไปได้อย่างไร ทั้งๆ ที่มีเจ้าหน้าที่ลงมาปฏิบัติหน้าที่เป็นจำนวนมาก” ลาตีปาร์ กล่าว

เท่าที่ได้พูดคุยรับฟังความเห็นจากชาวบ้านตามร้านน้ำชาในหลายๆ พื้นที่ ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การระบาดของยาเสพติดเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้สังคมชายแดนใต้เหลวแหลกเละเทะ และฟอนเฟะดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

“รักระหว่างรบ” ระหว่างทหารพุทธกับหญิงมุสลิม จึงไม่ใช่นิยายรักของ “คู่ตุนาหงัน” แต่มันมีความจริงอันฟอนเฟะซ่อนอยู่ข้างในนั้น...รอวันที่ทุกฝ่ายจะยอมรับความจริงและเริ่มแก้ไขกันเสียที!

จาก MTODAY ฉบับที่ 11 ประจำวันที่ 16 เมษายน -15 พฤษภาคม 2554

RevolverMap