Leh in my memory...

As we are entering the new era, where nations are becoming one community, I, as well as my PTI 27th session’s member friends have the mutual vision that we, and other friends of the Asia-Pacific nations, will become closer than ever.
ยินดีต้อนรับสู่โลกใบเล็กของผม โลกของคนทำงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ชีวิตในวัยเด็กผมเคยใฝ่ฝันอยากจะเป็นสถาปนิก แต่เมื่อยามต้องเลือกทางเดินของชีวิต ผมกลับเลือกที่จะสวมเครื่องแบบสีกากี โดยสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารเหล่าตำรวจ หลังสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ผมเลือกลงบรรจุรับราชการในตำแหน่งพนักงานสอบสวนที่อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี ชีวิตราชการวนเวียนโยกย้ายอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตลอดมา ถึงแม้จะอยู่ห่างไกลจากศูนย์อำนาจรัฐ และการทำงานในหลายโอกาสอาจพบพานกับอุปสรรคภยันตรายต่าง ๆ บ้าง แต่ที่นี่คือ “บ้าน” ผมจึงยังทำงานอยู่ที่นี่ ทุกวันนี้ผมมีความสุขกับงานที่ทำอยู่เสมอ...

Tuesday, December 31, 2013

เตือนสติ “civil war”

 

s50 22 03 2011 rwanda

มีคนปรามาสว่า  ผมไม่เข้าใจ ไม่รู้จัก "civil war"

ผมคงจะไม่ค่อยเข้าใจคำว่า "civil war" เท่าไหร่ตามที่มีใครบางคนได้กล่าวเอาไว้จริง ๆ เพราะ ทำงานอยู่ใน 3 จชต. มาตั้งแต่ปี 2542 จนกระทั้งปัจจุบัน เคยผ่านการทำงานในพื้นที่ อ.บันนังสตา จ.ยะลา และอีกหลาย ๆ พื้นที่มาก่อน เคยเสี่ยงเป็นเสียงตายมาก็หลายครั้ง ตอนนี้เป็นหัวหน้าโรงพักอยู่ในพื้นที่ แต่ผมก็ไม่เข้าใจมันอยู่ดี ถ้าหากจะมีใครกรุณาชี้แนะผมก็จะยินดีมากครับ (จริง ๆ แล้ว ใน 3 จชต.ก็ยังไม่ถึงขั้น "civil war" อยู่ดี)

เรื่องการรัฐประหาร ที่หลายคนบอกว่า เป็นเรื่องจำเป็นในการแก้ไขความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบัน ผมก็ขอเรียนให้ทราบว่า "....ทหารที่ออกมาไม่ได้มีความเป็นกลาง แต่อยู่ฝ่ายเดียวกับคู่ขัดแย้งอีกฝ่าย เมื่อรัฐประหารแล้วก็แต่งตั้งคนของตัวเองออกมาไล่ล่าอีกฝ่ายด้วยหลักกฎหมายที่บูดเบี้ยว บิดเบือน อย่างเอาเป็นเอาตาย ถ้าแก้ปัญหาด้วยรัฐประหารที่ผ่านมานับสิบครั้้งในประวัติศาสตร์ของชนชั้นปกคครอง

ขอถามต่อว่า แล้วปัจจุบันแก้ปัญหาไดัหรือยัง....?

การรัฐประหารก็เป็นแค่สันดานที่แก้ไม่หายของชนชั้นปกครองที่ไม่ยอมให้ประชาชนได้โตเป็นผู้ใหญ่เสียที เพราะเมื่อประเทศมีประชาธิปไตย ความเป็นประชาธิปไตยก็จะแปรผกผันกับอำนาจครอบงำประเทศ ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ที่สูบเลือดสูบเนื้อประชาชนกันอยู่ตลอดมาก็เท่านั้นเอง......

หนทางเดียวที่จะหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง และป้องกัน "civil war" ได้ คือ กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย การบังคับใช้กฎหมายต้องทั่วถึง เท่าเทียม และเป็นธรรม ไม่สองมาตรฐาน (หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ไร้มาตรฐาน) ธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อกฎหมาย ข้อบังคับ กฎระเบียบของสังคมไม่สามารถบังคับใช้ได้ เขาจะหันกลับไปใช้กฎธรรมชาติ และสัญชาติญาณดิบ (ให้นึกถึงสภาวะที่ไม่มีกฎหมาย ผู้คนไม่เคารพกฎหมาย ไม่สนใจว่าใครเป็นใครอีกแล้ว เหมือนครอบครัวที่ล่มสลาย พ่อไปทาง แม่ไปทาง ลูกไปทาง ลูก ๆ ทะเลาะกัน ฆ่ากันตายเพราะแย่งชิงผลประโยชน์กันเองในครอบครัว)

องค์กรอิสระต่าง ๆ จึงต้องปฏิบัติหน้าที่วินิจฉัย บังคับใช้กฎหมายอย่างมืออาชีพ ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ผิดว่าไปตามผิด ถูกก็ว่าไปตามถูก ไม่ลำเอียง ไม่เลือกข้าง

ชนชั้นปกครองจะต้องไม่ปากว่าตาขยิบ ต้องรู้จักปล่อยวางให้ประชาชนของตัวได้เติบใหญ่ทางความคิด เร่งพัฒนาปลูกฝังแนวคิดประชาธิปไตย (จริง ๆ) ให้ประชาชนตระหนักรู้ในสิทธิและเสรีภาพของตัวเอง อำนาจเป็นสิ่งหอมหวาน แต่ดูโลกบ้าง อย่าเห็นประชาชนเป็นลูกแหง่ เป็นของตายที่เลี้ยงบอนไซเอาไว้ไม่ปล่อยให้โตได้ด้วยตัวเอง หากศึกษาประวัติศาสตร์ "civil war" ต่างประเทศก็คงจะรู้ว่า ต้นสายปลายเหตุของ "civil war" มีทีมาจาก "ความอธรรม" ของชนชั้นปกครองเป็นหลัก สูบเลือด สูบเนื้อของประเทศชาติ ประชาชนมานานจนเคยตัว หัดปล่อยวางเสียบ้าง....

ถ้าทำไม้ได้.......

จะเอา "civil war" ก็เอาครับ ผมพร้อมแล้ว พวกคุณ ๆ ทั้งหลายล่ะพร้อมมั้ย ????

(หมายถึง พร้อมที่จะรักษากฎหมายนะครับ) ^^

Wednesday, August 21, 2013

พูดถึงตำรวจรัฐสภา สักนิด

เมื่อ 20 ส.ค.2556 มีการประชุมรัฐสภาเพื่อแก้ไขกฎหมายสำคัญของประเทศ หลายคนคงมีโอกาสได้เห็นความวุ่นวายซึ่งเกิดจากท่าน ส.ส.ผู้ทรงเกียรติ ได้แสดงพฤติกรรมต่าง ๆ โดยมีตำรวจรัฐสภาเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ระงับเหตุความวุ่นวายระหว่างการประชุม
 
ความจริงแล้ว "ตำรวจรัฐสภา" เป็นตำรวจที่ไม่ใช่ข้าราชการตำรวจในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาตินะครับ...
 
"ตำรวจรัฐสภา" เป็นข้าราชการพลเรือน ในสังกัดรัฐสภา ตามพระราชบัญัติระเบียบบริหารราชการฝ่ายรัฐสภา พ.ศ.2554 มาตรา 16 ที่กำหนดให้ข้าราชการรัฐสภาสามัญ ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐสภา ทำหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยและรักษาความปลอดภัยบุคคลและทรัพย์สินภายในบริเวณรัฐสภา เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาภายในบริเวณรัฐสภา
 
พูดให้ง่ายเข้าก็คือ "ตำรวจรัฐสภา" คือ “ตำรวจ” อีกประเภทหนึ่ง ซึ่งมีหน้าที่ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยของรัฐสภา โดยแต่งเครื่องแบบเหมือนตำรวจ ประดับเครื่องหมายยศตำรวจ นั่นเอง
 
บางคนอาจจะสงสัยว่า...แล้วทำไมข้าราชการพลเรือนเหล่านั้นสามารถแต่งเครื่องแบบตำรวจ และใช้เครี่องหมายยศตำรวจได้ละ!!!???
 
"ตำรวจรัฐสภา" มีสิทธิแต่งเคร่ืองแบบตำรวจ ประดับเครื่องหมายยศตำรวจได้ตาม พระราชบัญญัติยศตำรวจรัฐสภา พ.ศ.2512
 
เครื่องแบบ ยศ เครื่องหมายต่าง ๆ รัฐสภาเป็นผู้กำหนดให้แต่งกายเหมือนข้าราชการตำรวจ เพื่อให้ดูน่าเกรงขามอย่างตำรวจ
 
ข้าราชการพลเรือนเหล่านี้เมื่อออกจากพื้นที่ทำการของรัฐสภา จะแต่งเครื่องแบบประดับเครื่องหมายยศตำรวจไม่ได้โดยเด็ดขาด
 
ตามพระราชบัญญัติยศตำรวจรัฐสภา พ.ศ.2512 มาตรา 4 กำหนดยศตำรวจชั้นสัญญาบัตรสำหรับข้าราชการพลเรือนสามัญในสำนักงานเลขาธิการรัฐสภาซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บังคับหมวดรัฐสภา ตั้งแต่ยศ พันตำรวจตรี  ลงไปถึงยศ ร้อยตำรวจตรี ส่วนมาตรา 5 กำหนดยศตำรวจชั้นประทวนฯ ตั้งแต่ยศ นายดาบตำรวจ ลงไปจนถึง สิบตำรวจตรี
 
มาตรา 7 การ แต่งตั้งให้มียศเป็นตำรวจชั้นสัญญาบัตรให้กระทำโดยประกาศพระบรมราชโองการ
 
มาตรา 8 การถอดหรือการออกจากยศตำรวจชั้นสัญญาบัตรให้กระทำโดยประกาศพระบรมราชโองการ
 
"ตำรวจรัฐสภา" จึงมีศักดิ์และสิทธิ์ในการแต่งเครื่องแบบและประดับเครื่องหมายยศตำรวจเฉพาะการปฏิบัติหน้าที่ในรัฐสภา ตามพระราชบัญญัติข้างต้นทุกประการ
 
เมื่อวานเห็นคนที่แต่งเครื่องแบบประดับยศยศพันตำรวจเอก คือน่าจะเป็นหัวหน้า รปภ. บางคนสวมหมวกช่อชัยพฤกษ์ตำแหน่งผู้กำกับการ ไม่แน่ใจว่ามีที่มาอย่างไร???

Saturday, August 17, 2013

อีกครั้งกับ 3 จชต.

เมื่อวานนี้ (16 ส.ค.2556) เราได้สูญเสียวีรบุรุษของชาติไปอีกแล้วถึง 4 นาย (ข้าราชการตำรวจ สภ.รือเสาะ จ.นราธิวาส) หลายคนเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายต่อความสูญเสียซ้ำแล้วซ้ำเล่า บางคนอาจท้อแท้สิ้นหวังกับชะตากรรมของประเทศ บ้างก็ตำหนิรัฐบาล กองทัพ หรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่า มัวแต่ทำอะไรกันอยู่ทำไมจึงยังปล่อยให้เกิดความสูญเสียเช่นนี้!!

ผมอยากจะเรียนให้ทราบว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ความจริงแล้วเป็นสภาวะปกติของสงครามการก่อความไม่สงบ (insurgencies warfare) ทั่วโลก ที่มีลักษณะเป็นสงครามยืดเยื้อ แย่งชิงและชี้ขาดกันด้วยมวลชน ผู้ก่อเหตุรุนแรงใช้วิธีการรบแบบกองโจร (guerrilla warfare)
ตามหลักการสงครามอสมมาตร (asymmetric warfare) สามัญดี ๆ นี่เองไม่มีอะไรสลับซับซ้อน

จุดมุ่งหมายของ "อสมมาตรวิธี" คือการใช้วิธีการรบแบบกองโจร ทำลายหลักการสงครามประการที่ 1 (ตามหลักนิยม 10 ประการของกองทัพบกไทย) คือ หลักดำรงความมุ่งหมาย ของฝ่ายตรงข้าม ในที่นี้คือ รัฐบาลไทย
 
ตัวอย่างที่คลาสสิคในเรื่องนี้ได้แก่ สงครามเวียดนาม ที่สหรัฐฯ มีอำนาจกำลังรบเหนือกว่าในทุกด้าน จึงใช้ความได้เปรียบด้านกำลังรบและอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เหนือกว่าในการทำสงคราม  ในสนามรบสงครามตามแบบ (conventional warfare) ทหารสหรัฐฯ รบเอาชนะทางยุทธวิธีฆ่าคนเวียดนามไปนับไม่ถ้วน แต่สิ่งที่กองทัพสหรัฐฯ ไม่มีคือความชำนาญในพื้นที่  กองโจรเวียดกงได้ใช้ความได้เปรียบในพื้นที่ภูมิประเทศของกองโจรทำสงครามอสมมาตรกับสหรัฐฯ กำหนดสนามรบที่ตนเองได้เปรียบ ดำเนินกลยุทธ "เอ็งมาข้ามุด เอ็งหยุดข้าแหย่ เอ็งแย่ข้าตี เอ็งหนีข้าตาม" เป็นสงครามยืดเยื้อที่ไม่มีวันจบสิ้น ไม่มีแพ้ ชนะ ผลของสงคราม สหรัฐฯ ต้องใช้งบประมาณทางการทหารอย่างมหาศาล ในขณะที่ทหารสหรัฐฯ บาดเจ็บล้มตายไปหลายหมื่นนาย สงครามยืดเยื้อมีผลทำให้จิตใจคนอเมริกันอ่อนไหว สะเทือนใจกับชีวิตลูกหลานชาวอเมริกันที่เอาชีวิตไปทิ้งเสียโดยเปล่าประโยชน์เพื่อแผ่นดินอื่น ผู้คนเกิดความรู้สึกเอือมระอาสงคราม มีการรณรงค์เดินขบวนประท้วงไม่เอาสงครามไปทั่วประเทศเพืิ่อกดดันรัฐบาล  จนนำไปสู่การถอนกำลังทหารในที่สุด
 
หลักดำรงความมุ่งหมายทางการทหารของสหรัฐฯ ในสงครามเวียดนาม ถูกทำลายโดยพลังมวลชนที่เดินขบวนประท้วงอยู่ในมาตุภูมิ ซึ่งอยู่กันคนละซีกโลกของสนามรบ ส่งผลสะเทือน ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเมือง  หลักดำรงความมุ่งหมายของกองทัพสหรัฐฯ พ่ายแพ้นโยบายทางการเมืองในประเทศ  ทำให้สหรัฐฯ แพ้สงครามพ่ายทางยุทธศาสตร์ในเวียดนาม
 
นายเฮนรี่ คิซซิงเจอร์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ในรัฐบาลริชาร์ด นิกสัน (ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ประจำปี 1973) ได้กล่าวไว้ว่า "สำหรับฝ่ายรัฐบาลนั้น ถ้าไม่สามารถเอาชนะข้าศึกได้ก็คือแพ้ แต่สำหรับฝ่ายกองโจรแล้ว เพียงแต่พวกเขาดำรงตนเองให้อยู่ได้ก็เท่ากับชนะ" จุดมุ่งหมายการก่อเหตุความไม่สงบก็เพื่อสภาวะดังกล่าว สภาวะใน 3 จชต.อยู่ในขั้น "ยัน" กันทางยุทธศาสตร์ ไม่มีแพ้ ชนะ แต่กองโจรยังดำรงอยู่ได้ อาจกล่าวได้ว่า กองโจร "ชนะ" ในทางยุทธศาสตร์ตามความหมายข้างต้นนั่นเอง
 
ข้อแตกต่างระหว่างสหรัฐฯ ในสงครามเวียดนาม กับกองทัพไทยใน 3 จชต. คือ สหรัฐฯ ไปรุกรานบ้านเมืองคนอื่น ในขณะที่ไทยเรารบเพื่อปกป้องบ้านเมืองของเราเอง (ในความหมายของเรา) เราจึงไม่สามารถถอนกำลังทหารแล้วยกแผ่นดินให้กับกองโจรเพื่อแยกเป็นรัฐอิสระได้
 
คาร์ลฟอนท์ เคลาซ์เซวิต นักการทหารชาวปรัซเซีย (เยอรมัน) ชื่อก้องโลกเคยกล่าวเอาไว้ว่า
 
"..การสงครามคือความต่อเนื่องของการเมืองที่หลั่งเลือด.."
 
การแก้ปัญหาการก่อความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ได้อย่างยั่งยืนนั้น ถึงแม้ว่ายังมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการใช้กำลังทหาร ตำรวจ เข้าต่อสู้ปราบปรามกองโจร แต่กระนั้นก็ตามจะต้องใช้มิติทางการเมืองมาเป็นตัวช่วยในการแก้ไขปัญหาในมิติอื่น ๆ ด้วย  แต่จะด้วยวิธีใด (งานมวลชน, การพัฒนา, การเจรจา, เขตปกครองพิเศษ หรือจะทำสงครามสู้รบกันต่อไป ฯลฯ) ก็แล้วแต่คงเป็นการบ้านให้ทุกฝ่ายช่วยกันขบคิดหาหนทางกันต่อไป....
 
 

Monday, July 29, 2013

ว่าด้วยเรื่องคลิปอัลกออิดะห์ขู่ฆ่าทักษิณ

  9377588707_4e9b370c8b

630

เมื่อสองสามวันมานี้  มีการเผยแพร่คลิปวิดีโอของกลุ่มชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งลักษณะคล้ายชาวตะวันออกกลาง พร้อมอาวุธปืนครบมือ  ผ่านทางโปรแกรม social media มีเนื้อหาข่มขู่ที่จะลอบฆ่า อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” หลายคนเชื่อว่าชายฉกรรจ์กลุ่มดังกล่าวเป็นสมาชิกในเครือข่ายขบวนการก่อการร้ายระดับโลก “อัลกออิดะห์” (Al-Qaeda)

สุดวิสัยที่สมองอันน้อยนิดของผมจะพิสูจน์ได้อย่างมั่นใจว่า  วิดีโอเป็นของจริงหรือไม่ และตัวบุคคลที่ปรากฎอยู่ในวิดีโอเป็นใครบ้าง 

ผู้ที่อ้างตัวเป็นสมาชิกกลุ่มก่อการร้ายออกมาประกาศขู่ฆ่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อล้างแค้นให้ชาวมุสลิม จากเหตุการณ์มัสยิดกรือเซะ เมื่อปี พ.ศ. 2547 ผมเห็นว่า  ความรู้สึกของคนกลุ่มนี้คงจะช้าไปนิด ไม่นานนักเกือบสิบปีทีเดียว และคิดว่าคงไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริงในการออกคลิป เป้าหมายคงมีอะไรมากกว่านั้น  การออกคลิปขู่ฆ่าทักษิณเป็นการอำพรางวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของผู้ที่อยู่เบื้องหลังมากกว่า

เมื่อมองย้อนกลับไป ถึงความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศไทยตลอดระยะเวลาเกือบสิบปีมานี้ ฝ่ายต่อต้านระบอบทักษิณ ได้ใช้ยุทธวิธีต่าง ๆ มานับครั้งไม่ถ้วน ทั้งการใช้กระบวนการตุลาการภิวัฒน์  การใช้มวลชนอีกฝ่ายกดดัน  การใช้สื่อทุกประเภททำปฏิบัติการข่าวสาร รวมทั้งการสร้างวาทกรรมและสัญลักษณ์ต่าง ๆ ในการทำลายระบอบทักษิณ  ล่าสุดเร็ว ๆ นี้มีการเดินหมากโดยการใช้มวลชนซึ่งอ้างว่าเป็นตัวแทนของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ออกมากดดันการทำงานของรัฐบาล  เรื่อยมาจนถึงการใช้มวลชนสวมหน้ากากขาวกายฟอล์ค อาจมองได้ว่าเป็นการช่วงชิงสัญลักษณ์และความชอบธรรมมาไว้กับฝ่ายตน  แต่สัญลักษณณ์ที่ว่าจะเข้ากันได้ดีกับอุดมการณ์ทางการเมืองของฝ่ายตนได้หรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งยังน่าเคลือบแคลงสงสัยอยู่

การออกมาของคลิปซึ่งอ้างว่ากระทำโดยขบวนการก่อการร้ายชาวตะวันออกกลาง  น่าจะมีสิ่งแอบแฝง โดยมีผู้อยู่เบื่องหลังเป็นผู้กระทำโดยมีปัจจัยทางการเมืองกลุ่มเดียวกัน  ออกมาได้จังหวะประสานสอดคล้อง (synchronization) กับการเคลื่อนไหวทางการเมืองก่อนหน้านี้ และที่กำลังจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้เหมาะเจาะกันพอดี

อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น???

Wednesday, April 24, 2013

ตะโกนเรียก-ยิงดับ หนุ่มชรบ.ยะลา ขณะอยู่บ้านเมีย

photo

ทีมา : ไทยรัฐ

คนร้ายจ่อยิงศีรษะและลำตัวเจ้าหน้าที่ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้านรามัน ขณะทำทีเรียกมาคุยธุระหน้าบ้าน ตำรวจคาดเป็นเรื่องส่วนตัวและการสร้างสถานการณ์ของกลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้...

เมื่อเวลา 22.45 น. วันที่ 23 เม.ย.56 ร.ต.ท.ปราโมทย์ ได้รูป พงส.(สบ.1) สภ.จะกว๊ะ อ.รามัน จ.ยะลา รับแจ้งเหตุมีผู้ถูกยิงบาดเจ็บสาหัสที่บ้านพะบูเงาะ หมู่ 4 ต.เกะรอ จึงพร้อมด้วย พ.ต.ท.ศุภชัช ยีหวังกอง สวญ.พ.ต.ต.ประเทือง สุวรรณชาตรี สวป.นายอวยชัย จุฬาศิริวงศ์ ปลัดป้องกันอำเภอรามัน สนธิกำลังทหารและฝ่ายปกครองรุดไปสอบสวน พบเลือดกองอยู่ที่พื้นหน้าบ้านเลขที่ 66/4 หมู่ 4 ต.เกะรอ ไม่พบหลักฐานอย่างอื่น ส่วนผู้ถูกยิงทราบชื่อนายดอเลาะ อูมา อายุ 37 ปี อยู่บ้านเลขที่ 74/6 หมู่ 4 ต.บาลอ ถูกยิงที่ศีรษะและลำตัวรวม 2 นัด ญาตินำส่งโรงพยาบาลรามันและเสียชีวิตระหว่างทาง

สอบสวนเบื้องต้นทราบว่า นายดอเลาะ อูมา ผู้ตายเป็นเจ้าหน้าที่ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ก่อนเกิดเหตุนายดอเลาะมาหาภรรยาและพักอยู่ที่บ้านหลังดังกล่าว มีคนร้ายไม่ทราบจำนวน แต่คาดว่ารู้จักกันมาตะโกนเรียกนายดอเลาะ ทำทีมีธุระจะคุยด้วย เมื่อนายดอเลาะออกไปชั่วครู่หนึ่งภรรยากับญาติๆ ได้ยินเสียงปืน ออกไปดูพบว่านายดอเลาะถูกยิงนอนแน่นิ่งแล้ว จึงได้รีบนำส่งโรงพยาบาล และเสียชีวิต ส่วนสาเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจคาดว่าเป็นเรื่องส่วนตัวและการสร้างสถานการณ์ของกลุ่มก่อความไม่สงบ

Saturday, March 30, 2013

ป่วนอีก!ยิงฐานทหารพรานยะลา

ป่วนอีก!ยิงฐานทหารพรานยะลา

ป่วนอีก!ยิงฐานทหารพรานยะลา ปะทะกัน 5 นาที ก่อนฝ่ายตรงข้ามล่าถอย ด้าน'เลขาสมช.'คุย BRN รับปากลดเหตุรุนแรงใต้ 29 เม.ย.นี้พูดคุยอีกครั้ง

9bjf5h8b6aa8ae69bk7i5ที่มา : คมชัดลึก

               เมื่อเวลา 08.30 น.วันที่ 29 มี.ค.  พ.ต.ท.ศุภชัช  ยีหวังกอง สารวัตรใหญ่ หัวหน้า สภ.จ๊ะกว๊ะ  จ.ยะลา   พร้อมด้วยตำรวจ ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด ภ.จว.ยะลา  เจ้าหน้าที่จากศูนย์พิสูจน์หลักฐานที่ 10 ยะลา  ได้เข้าตรวจสอบเหตุคนร้ายยิงใส่ฐานทหารพราน ร้อย ทพ. 4133 กรมทหารพรานที่ 41 ซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านตาเน๊าะปูโย๊ะ ต.เก๊ะรอ อ.รามัน จ.ยะลา  เหตุเกิด  21.10 น  วันที่  28  มี.ค.ที่ผ่านมา

                จากการสอบสวนทราบว่า ขณะที่ ร.ท.สมชาย เชิดฉาย ผบ.ร้อย ทพ.4113  ได้วางกำลังเจ้าหน้าที่ดูแลประจำฐานปฎิบัติการ บริเวณด้านหน้า และบริเวณรอบฐาน   จากนั้นได้มีคนร้ายไม่ทราบกลุ่มจำนวน ใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดและขนาดกราดยิงเข้าใส่ฐานปฎิบัติการ  จากบริเวณด้านหน้า ซึ่งห่างออกไปประมาณ 150 เมตร  เจ้าหน้าที่ซึ่งอยู่ภายในฐานได้ยิงตอบโต้คนร้าย นาน 5 นาที   ก่อนที่ฝ่ายตรงข้ามจะล่าถอยไป

                อย่างไรก็ตาม มีรายงานจากหน่วยงานด้านความมั่นคง ได้แจ้งเตือนไปยังหน่วยงานในสังกัดแจ้งว่า แกนนำระดับสั่งการของขบวนการเปอร์มูดอ จากประเทศมาเลเซียได้สั่งการให้สมาชิกระดับปฏิบัติการแต่ละเขตให้ทำการก่อเหตุซุ่มยิงและวางระเบิดในพื้นที่เขตเทศบาลและเขตรอบนอกในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ช่วงระหว่างวันที่ 28 มีนาคม - 4 เมษายน 2556 เพื่อตอบโต้และแสดงความไม่เห็นด้วยกับการเจรจาระหว่างฝ่ายไทยกับกลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็น ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ขอให้ทุกหน่วยเพิ่มความระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่

Sunday, February 24, 2013

เปิดใจแม่อดีต อาร์เคเค ที่เสียชีวิต

0

ที่มา : dailynews - เปิดใจแม่อดีต อาร์เคเค ที่เสียชีวิต

วันนี้ 24ก.พ. ที่บ้านเลขที่ 146/6 หมู่ที่ 2 บ้านตะโล๊ะหะลอ ต.ตะโล๊ะหะลอ อ.รามัน จ.ยะลา นางสือเมาะ  มะเกะ  วัย 52 ปี  มารดาของนายสะบือรี  โคตะเซะ อายุ 23 ปี หนึ่งในกลุ่มอาร์เคเค ที่เสียชีวิตจากการบุกฐานที่ตั้ง   ฐานปฏิบัติการหมวดปืนเล็กที่ 2 บ้านยือลอ ต.บาเระเหนือ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 13 กพ. ที่ผ่านมา  เปิดใจกับผู้สื่อข่าว ด้วยน้ำตาที่นองหน้า ว่า ตนเองมีลูก 4 คน เป็นลูกกับพ่อเก่า 2 คน และกับพ่อปัจจุบันอีก 2 คน ซึ่งนายสะบือรี  ที่เสียชีวิตเป็นลูกกับนายบาสรี พ่อคนปัจจุบันซึ่งเป็นชาวอินโดนีเซีย ลูกมีความตั้งเรียนหนังสือดีมาก มีความประพฤติเรียบร้อย บุหรี่ไม่สูบ ยาเสพติดไม่ยุ่งเกี่ยวเลย  ทุกครั้งที่กลับบ้านเมื่อพบแม่ จะเข้ามากอดจูบทุกครั้ง  ล่าสุด มาบอกแม่ว่า ลูกจะจบการศึกษาแล้ว จบแล้วเมื่อมีงานทำก็จะเลี้ยงดูพ่อแม่และน้องสาวที่กำลังเรียนอยู่ด้วย  เพราะเห็นว่าพ่อกับแม่ ทำงานเลี้ยงดูตัวเองหนักมาโดยตลอด  ไม่นึกเลยว่าลูกจะเป็นแนวร่วมกลุ่ม อาร์เคเค  เมื่อมีคนมาบอกว่า ลูกเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ บุกโจมตีฐานที่ตั้งทหารเรือนาวิกโยธิน ที่ อ.บาเจาะ ตนเองตกใจมาก แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าลูกที่ตนเองส่งเสียเรียนหนังสือจนเกือบจะจบในระดับปริญญาตรี และไม่เคยเห็นลางบอกเหตุว่าลูกเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ  ก่อนจะเสียชีวิต ได้บอกกับแม่ว่า ลูกจะไปเข้าค่าย 2 วัน ตนได้มอบเงินค่าเดินทางไป จำนวน 2,000  บาท อีกด้วย

นางสือเมาะ  กล่าวอีกว่า หลังจากเกิดเหตุ ตนรู้สึกเครียดมาก  เพราะไหนลูกต้องเสียชีวิต สามีก็มาถูก เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวไปในความผิดฐานหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายอีกด้วย  ตนนั้น ได้แต่งงานกับนายบาสรี  เมื่อ 20 ปี ก่อน ขณะที่ไปทำงานในประเทศมาเลเซีย และได้รู้จักกับนายบาสรี แต่งงานกันในที่สุด ครั้งแรกๆ  นายบาสรี มีหนังสือเดินทางถูกต้อง  เมื่อมาอยู่ที่ประเทศไทยนานๆ หนังสือเดินทางหมดอายุ แล้วไม่รู้ว่าจะดำเนินต่อไปอย่างไร จึงปล่อยหมดอายุไป และทำมาหากินด้วยการรับจ้างกรีดยางโดยตลอดสองสามีภรรยา เพื่อส่งนายสะบือรี เข้าศึกษาจนถึงปีสุดท้ายในมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ในวิชาคอมพิวเตอร์ ก่อนเสียชีวิต

ด้าน พ.ต.ท.ศุภชัช  ยีหวังกอง สารวัตรใหญ่ สภ.จะกว๊ะ อ.รามัน จ.ยะลา  เปิดเผยว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์บุกโจมตีฐานทหารนาวิกโยธิน ที่ อ.บาเจาะ และมีผู้เสียชีวิต 1 ใน 16 คน เป็นชาว ต.ตะโล๊ะหะลอ อ.รามัน ทางผู้บังคับบัญชา ได้สั่งการให้ไปตรวจค้นเพื่อหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม ในช่วงเช้าของวันเกิดเหตุ  เมื่อไปปิดล้อมบ้าน มีผู้ต้องสงสัย ได้กระโดดออกจากบ้านเพื่อหลบหนี  จนท.สามารถจับกุมตัวได้ ทราบชื่อที่หลังว่าเป็นนายบาสรี  ไม่มีนามสกุล  เพราะเป็นชาวอินโดนีเซีย และเป็นพ่อของนายสะบือรี ด้วย จึงได้ควบคุมตัวไปสอบสวน พบว่าไม่มีหลักการเข้ามาในประเทศไทย จึงนำส่งให้กับ ตำรวจตรวจคนข้าเมือง ที่ปัตตานี  เพื่อดำเนินการตามกฎหมายกันต่อไป  ในระหว่างควบคุมตัว ตนได้อนุญาตให้ ตำรวจพาไปร่วมในพิธีอาบน้ำศพที่บ้านก่อนที่จะนำไปประกอบพิธีฝังศพ ที่สุสานด้วย.

RevolverMap