Leh in my memory...

As we are entering the new era, where nations are becoming one community, I, as well as my PTI 27th session’s member friends have the mutual vision that we, and other friends of the Asia-Pacific nations, will become closer than ever.
ยินดีต้อนรับสู่โลกใบเล็กของผม โลกของคนทำงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ชีวิตในวัยเด็กผมเคยใฝ่ฝันอยากจะเป็นสถาปนิก แต่เมื่อยามต้องเลือกทางเดินของชีวิต ผมกลับเลือกที่จะสวมเครื่องแบบสีกากี โดยสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารเหล่าตำรวจ หลังสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ผมเลือกลงบรรจุรับราชการในตำแหน่งพนักงานสอบสวนที่อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี ชีวิตราชการวนเวียนโยกย้ายอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตลอดมา ถึงแม้จะอยู่ห่างไกลจากศูนย์อำนาจรัฐ และการทำงานในหลายโอกาสอาจพบพานกับอุปสรรคภยันตรายต่าง ๆ บ้าง แต่ที่นี่คือ “บ้าน” ผมจึงยังทำงานอยู่ที่นี่ ทุกวันนี้ผมมีความสุขกับงานที่ทำอยู่เสมอ...

Saturday, February 6, 2010

แนวทางการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้

ปัญหา

บทเรียนจากสงครามการใช้กำลังแบบเก่าที่กองทัพไทยได้ต่อสู้กับ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ที่ขยายตัวกลายเป็นสงครามกลางเมืองในอดีตได้เจือจางและเลือนลางหายไปจากความทรงจำของผู้คนในสังคม หรือแม้แต่นักการทหารในกองทัพ

ผู้คนในยุคใหม่มองเห็นภาพการทำสงครามของชาติมหาอำนาจตะวันตกที่มีอำนาจกำลังรบ อาวุธยุทโธปกรณ์และเทคโนโลยีล้ำสมัยกระทำต่อชาติเล็ก ๆ เช่น ในสงครามอ่าวเปอร์เซียระหว่างสหรัฐอเมริกา กับอัฟกานิสถาน หรือแม้แต่ในอิรัก ผ่านทางสื่อประเภทต่าง ๆ ที่ล้ำหน้าด้วยเทคโนโลยี  จนผู้คนต่างจินตนาการไปว่า หากเกิดความขัดแย้งภายใน "รัฐ" ขึ้นมา “รัฐ” ก็อาจแก้ปัญหาโดยการใช้งานยุทธการทางทหารหรือการใช้กำลังที่เหนือกว่า
99-huntington_thumb

Samuel Huntington

เข้าแก้ไขปัญหาได้อย่างไม่ยากเย็น แต่เมื่อพิจารณาธรรมชาติและความเป็นไปของปัญหาแล้ว พบว่ายุคปัจจุบันมีความซับซ้อนและความละเอียดอ่อนเป็นอย่างยิ่ง และปัญหาที่ยังคงดำรงอยู่ในทุกมิติคือเศรษฐกิจ การเมือง การทหารและสังคมจิตวิทยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งมิติด้านสังคมจิตวิทยาเป็นเรื่องที่มีความละเอียอดอ่อนเป็นอย่างมาก

ดัง ที่ “Samuel Huntington” นักวิชาการชาวอเมริกันเคยกล่าวเตือนไว้ในบทความเรื่อง “The Clash of Civilization” (1993) มาแล้วว่า “ปัญหาในอนาคต จะเป็นเรื่องของ “สงครามอารยธรรม”

ข้อพิจารณา
การที่รัฐจะต้องเตรียมยุทธศาสตร์และองค์ความรู้เพื่อเตรียม รองรับสถานการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตัดวงจรทางยุทธวิธีในการคัดสรรบุคคลเข้าสู่ขบวนการก่อ ความไม่สงบนั้น จะต้องทำความเข้าใจกับสภาพธรรมชาติของสถานการณ์เสียก่อน ซึ่งในเรื่องนี้ สุรชาติ บำรุงสุข (2547, 120-121) ได้ให้ข้อคิดทางยุทธศาสตร์ไว้ว่า

Image ดร.สุรชาติ บำรุงสุข

1. การก่อความไม่สงบ (insurgency) เป็นลักษณะของ “สงครามการเมือง” (political warfare) ไม่ใช่ “สงครามการทหาร” (military warfare) ดังนั้นรัฐที่ต่อสู้จะต้องตระหนักถึงมิติทางการเมืองที่ดำรงอยู่ในสงครามนี้มิใช่การใช้มาตรการทางทหารในรูปของการค้นหาและทำลาย (search and destroy) หรือจับกุมและปราบปรามด้วยการใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างสุดขั้ว

2. ชัยชนะในสงครามนี้เป็น “ชัยชนะทางการเมือง” (political victory) กล่าวคือ การเมืองเป็นปัจจัยชี้ขาด การทหารเป็นปัจจัยสนับสนุน

3. การเอาชนะจิตใจประชาชน (to win over heart and mind) เป็นส่วนสำคัญของชัยชนะในสงคราม

4. รัฐจะต้องดำเนินการในมิติอื่น ๆ ทั้งในรูปของโครงการทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อก่อให้เกิดการ “ดึงมวลชน” มาเป็นพวก

นอกจากนี้ “หวอ เหงียนย้าป” นักการทหารเวียดนามชื่อก้องโลก ผู้ซึ่งมีส่วนสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการเอาชนะสงครามปลดแอกจากระบบอาณานิคมของ ฝรั่งเศส ได้กล่าวเอาไว้ในวาระเฉลิมฉลองชัยชนะต่อเมืองเดียนเบียนฟู ประจำปี ค.ศ.1984 ว่า

“ประชาชนเป็นปัจจัยชี้ขาดที่สำคัญที่สุดในสงครามประชาชน”

จากข้อคิดทางยุทธศาสตร์ข้างต้น พิจารณาถึงแง่คิดในการแก้ไขปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่จะเอาชนะความคิดและจิตใจของประชาชน รวมถึงแม้กระทั่งเอาชนะความคิดของสมาชิกกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ เพื่อที่จะตัดวงจรในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกขบวนการ ดังนี้

1. การแก้ปัญหาด้วยกำลังบังคับ หรือการใช้ความรุนแรงไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหา จะต้องใช้หลักสันติวิธีเป็นธงนำ แต่ไม่ใช่่ โดย "ลัทธิสันติวิธียอมจำนน"

2. การเอาชนะที่สำคัญที่สุด คือ “การเอาชนะที่ความคิดและจิตใจของประชาชน” (heart and mind)

3. บทเรียนจากประวัติศาสตร์สงคราม ไม่ว่าจะเป็นสงครามระหว่างฝรั่งเศษ -อัลจีเรีย สงครามเวียดนาม สงครามในอัฟกานิสถาน หรือแม้แต่กระทั่งในอิรัก ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งแล้วว่า รัฐที่ใช้อำนาจกำลังรบเป็นหลักไม่เคยเอาชนะสงครามได้เลย

4. การบังคับใช้กฎหมาย จะต้องบังคับใช้อย่างทั่วถึง เท่าเทียม และเป็นธรรม สร้างหลักนิติรัฐให้เข้มแข็ง

ข้อเสนอแนะ

ในฐานะที่เป็นฟันเฟืองตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่งที่ทำงานอยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มาตลอดระยะเวลานับสิบปี ผมมีข้อเสนอแนะไว้กว้าง ๆ ดังนี้

1. ต้องเร่งสร้างทัศนคติใหม่ให้แก่บุคลากร ข้าราชการ พนักงานของรัฐ หรือแม้แต่กระทั่งประชาชนในพื้นที่ให้ยอมรับและตระหนักถึงแนวคิดเรื่อง “เอกภาพบนความต่าง” (unity among diversity) ทลายกำแพงทางสังคมและสร้างสัมพันธภาพเชื่อมต่อระหว่างชุมชนมุสลิมและที่ไม่ใช่มุสลิมในพื้นที่ โดยผลักดันให้เป็นนโยบายที่นำไปสู่การปฏิบัติอย่างจริงจัง เพื่อนำไปสู่รัฐประชาชาติที่ชนในชาติมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์อยู่ร่วมกันภายใต้ร่มธงเดียวกัน

2. เน้นการบริหารแบบบูรณาการทุกมิติ ทั้งในเรื่องเศรษฐกิจ สังคม การเมือง จิตวิทยา และความมั่นคง การแก้ไขปัญหาทุกกระทรวงทบวงกรม จะต้องดำเนินการไปพร้อม ๆ กันทุกมิติ มิใช่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทหารตำรวจ หรือฝ่ายความมั่นคงแก้ปัญหาที่ปลายเหตุด้วยการสืบสวนจับกุม ปราบปราม หลังเกิดเหตุ โดยละเลยปัญหาทางการศึกษา สภาพสังคม และปัญหาปากท้องของประชาชนที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข

3. จัดกระบวนการสร้างมวลชนใหม่ ให้ความสำคัญกับงานมวลชนและการรุกทางการเมือง ด้วยการเอาชนะความคิดและจิตใจ “heart and mind” หรือ “เพื่อแยกน้ำออกจากปลา” ทำอย่างไรที่จะทำให้ปลาอยู่ในน้ำไม่้ได้ ให้ความสำคัญกับงานทางการเมืองงานชุมชนมวลชนสัมพันธ์ดึงผู้รู้ ผู้นำ ศาสนา หรือผู้นำท้องถิ่นมาเป็นพวก เผยแพร่ความรู้หรือหลักการศาสนาที่ถูกต้อง ใช้การปฏิบัติการข่าวสาร (Information Operation : IO) หักล้างการปลูกฝังแนวความคิดของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบที่บิดเบือนหลักการศาสนาอิสลามอันบริสุทธิ์เพื่อนำมารับใช้อุดมการณ์ทางการเมือง

4. สร้างองค์กรใหม่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนในเรื่องของ “การสั่งการและการควบคุม” (command and control) โดยยึดหลัก “การเมืองนำการทหาร” เพื่อจะก่อให้เกิดผลในรูปของแนวความคิดใหม่ ๆ เน้นการสร้างมวลชนใหม่ และสร้างการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ โดยเฉพาะในเรื่อง “Otop” หรือ “ภูมิปัญญาชาวบ้าน” และรวมถึงการดำเนินการของภาครัฐในกรอบบูรณาการ รวมทั้งสร้างเอกภาพและประสิทธิภาพของการบริหารภาครัฐในพื้นที่จังหวัดชายแดน ภาคใต้ องค์กรที่มีลักษณะการทำงานเป็นทีม (Team Work) มีเอกภาพ (unity) ไม่มีหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเป็นพระเอกฉายเดี่ยวเพียงคนเดียว (one man show)

5. สร้างประสิทธิภาพและระบบของการศึกษาใหม่ ที่สอดคล้องและเอื้อต่อสภาพชีวิตและ ความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ สร้างระบบการจัดการ ร.ร.เอกชนสอนศาสนาอิสลามให้มีมาตรฐาน เข้าสู่ระบบธรรมาภิบาล (good governance) การบริหารจัดการ หลักสูตรการเรียนการสอน สามารถตรวจสอบกำกับดูแลได้ รวมทั้งต้องกล้าที่จะจัดการกับปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม การสำแดงข้อมูลจำนวนนักเรียนอันเป็นเท็จของบางโรงเรียนอย่างเด็ดขาด  รวมทั้งจะต้องบริหารจัดการให้เยาวชนในพื้นที่สามารถเข้าถึงทรัพยากรทางการศึกษาของรัฐได้อย่างทั่วถึง

6. เพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย (Law Enforcement) ทั้งในแง่ของการพัฒนาศักยภาพการสืบสวนสอบสวน การข่าวกรอง การบริหารจัดการ การพัฒนาบุคลากร  เครื่องมือพิเศษ และนิติวิทยาศาสตร์ ตลอดจนคุณธรรมของเจ้าหน้าที่ โดยยึดถือหลักการทั่วถึง เท่าเทียม และเป็นธรรม ซึ่งจะนำไปสู่การสถาปนาอำนาจรัฐให้เข้มแข็ง และในขณะเดียวกันจะต้องคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนเป็นหัวใจในการดำเนินงาน

นี่เป็นเพียงแนวความคิดเล็ก ๆ ของฟันเฟืองเล็ก ๆ ตัวหนึ่งเท่านั้นเองครับ…..

4 comments:

  1. ทฤษฎีดอกไม้หลากสี
    พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะ ประธานพรรคเพื่อไทย นำข้อเสนอเก่าเก็บเรื่องวิธีการดับไฟใต้ด้วยแนวทาง “นครปัตตานี” ขึ้นมาปัดฝุ่น ทำให้ “บิ๊กจิ๋ว” กลับมายึดพื้นที่สื่อได้อย่างต่อเนื่อง ทั้ง ๆ ที่เรื่อง “กัมพูชา-สมเด็จฮุนเซน” ยังไม่สร่างซาลงไป

    “นครปัตตานี” ในความหมายของ พล.อ.ชวลิต ไม่เหมือนกับ “นครรัฐปัตตานี” ในอดีตหรือแนวทางที่ กลุ่มก่อการร้าย ต้องการให้เป็น แต่รูปแบบนครปัตตานีเป็นมิติของ การปกครองท้องถิ่น แนวคิดดังกล่าวเป็นบันไดขั้นที่ 3 ของ “ทฤษฎีดอกไม้หลากสี” ที่ พล.อ.ชวลิต เคยเสนอไว้ในช่วง รัฐบาลพรรคไทยรักไทย มีหัวใจสำคัญ คือ การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ โดยที่ประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วมในการกำหนดแนวทาง ภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

    บันไดขั้นที่ 1 เริ่มด้วยการประชุมชี้แจงและรับฟังข้อคิดเห็นของผู้นำศาสนา เพื่อสร้างบรรยากาศปรองดอง ซึ่งสถานการณ์ความสงบในพื้นที่จะเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของขั้นตอนนี้

    บันไดขั้นที่ 2 ให้ประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีส่วนร่วมเสนอแนวทางหรือวิธีการยุติความรุนแรงแบบยั่งยืน รวมถึงแนวทางการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ขั้นตอนนี้ใช้เวลาดำเนินการ 90 วัน และ

    บันไดขั้นที่ 3 รัฐดำเนินการตามข้อเสนอของประชาชน ทั้งนี้ยังวาดฝันว่า 20 ปีข้างหน้า ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส อาจใช้การปกครองแบบ “นคร” เช่นเดียวกับ เมืองพัทยา หรือ เทศบาลนครเชียงใหม่

    ReplyDelete
  2. ขอบคุณมากครับ สำหร้บข้อมูล ^^

    ReplyDelete
  3. อยากทราบว่ามาตรการในการให้ความร่วมมือของชุมชนในเมืองในเขตพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ควรทำอะไรบ้าง

    ReplyDelete
  4. hamkung Lt col.niponOctober 30, 2010 at 8:43 PM

    แนวทางหรือนโยบายในการแก้ปัญหา ได้รับการตอบสนองหรือปฏิบัติจากทุกภาคส่วนหรือไม่ อันนี้น่าคิดนะ จนท.รัฐเองมีความตั้งใจและจริงใจที่จะแก้ปัญหาหรือไม่ นอกเหนือจากสิทธิต่างๆที่ได้รับ ผลประโยชนืในเรื่องนี้มันมากมายเหลือเกิน เม็ดเงินที่หว่านลงมาใช้ในการแก้ปัญหามันแทบจะสูญเปล่า บางคนมาเเพื่อให้ได้ พสร.คนที่ไม่มาแต่มีชื่อมา อันนี้ยิ่งดูทุเรศในสายตาพี่ แม้แต่คนที่มาจริงก็เถอะ บางส่วน อยู่ไปวันๆ แค่รอเวลาที่จะถึงผลัดพัก ครบหกเดือนก็ได้ พสร.แล้ว พี่ว่า สงบยาก สงครามมวลชนมันเป็นเรื่องของจิตใจนะ จะเปลี่ยนแปลงกันได้หรือกับสิ่งที่ถือปฏิบัติกันมายาวนาน

    ReplyDelete

RevolverMap