“จง! จง! ผู้การเรียกพบ” ผมละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุคที่อยู่ตรงหน้าหันมองไปตามเสียงเรียกของ “รองน้ำ”ซึ่งกำลังเปิดประตูเดินเข้ามาในห้อง “รองน้ำ” เป็นรองผู้กำกับการของหน่วยที่ผมสังกัดอยู่ เป็นผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไปจากผม 1 ลำดับชั้น "ครับ พี่น้ำ" ผมขานรับแล้วลุกจากเก้าอี้เดินตามรองน้ำไปพบ “ผู้การ” ตามคำสั่ง
ข้อมูลที่ผมได้รับจาก “ผู้การหรือผู้บังคับการ” ก็คือวันนี้ (8 ก.พ. 2552) ยังไม่ทราบเวลาที่แน่นอน ฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบที่เคลื่อนไหวก่อเหตุรุนแรงอยู่ในพื้นที่่เขตงาน อ.เมือง จ.ยะลา จะลักลอบขนอาวุธสงคราม จำนวน 14 กระบอก (หะ หา! 14 เลยเหรอ แค่ 3 - 4 กระบอกก็เยอะแล้วนะ ผมนึกในใจ) จากนอกพื้ันที่ขนลำเลียงเข้ามาส่งให้ชุดอาร์เคเค (หน่วยจรยุทธ์ขนาดเล็กของผู้ก่อความไม่สงบ) ในพื้นที่ ต.พร่อน อ.เมือง จ.ยะลา โดยใช้รถยนต์กระบะตอนครึ่งวีโก้ สีเทา คันทะเบียน “xxx” ซึ่งดัดแปลงเป็นรถบรรทุกผลไม้ เพื่อนำไปก่อเหตุซุ่มโจมตีหน่วยทหารหรือหน่วยตำรวจที่ออกลาดตระเวนตามเส้นทาง สายลับอ้างว่า ตนจะเป็นคนรับช่วงขับรถยนต์กระบะขนอาวุธสงครามด้วยตนเอง (เอ..! ชักแหม่ง ๆ แล้วสิ) จากจุดนัดหมายในตัวเมืองยะลา ส่วนเส้นทางในการขนลำเลียงอาวุธสงคราม ยังไม่ทราบเนื่องจากจะมีสมาชิกกลุ่มก่อความไม่สงบคนอื่นนั่งควบคุมมาในรถด้วย จุดหมายสุดท้ายคือจุดใดจุดหนึ่งบนถนนสายท่าสาป -ลำใหม่ ในพื้นที่ ต.พร่อน
สายลับเป็นคนมุสลิมในพื้นที่ ติดต่อให้ข้อมูล “ดาบเพียร” ตชด.ลูกน้องเก่าของผู้การ ดาบเพียรพาสายลับมาพบผู้การ และกลับออกไปแล้ว เหลือแต่ผมกับรองน้ำดำเนินการต่อ ร่วมกันวางแผนนำกำลังชุดปฏิบัติการเข้าตรวจค้นจับกุมการขนส่งอาวุธสงครามล็อตนี้ให้ได้ งานดูเหมือนจะง่ายแต่ก็หินเอาการ เพราะผมไม่ได้เป็นคนควบคุมสายลับเอง
ผมกับรองน้ำ แบ่งกำลังชุดปฏิบัติการ (ชป.) ออกเป็น 6 ชป. แต่ละ ชป.ประมาณ 3 – 5 นาย วางกำลังพล็อตจุดในแผนที่ตามเส้นทางที่คาดว่าจะเป็นเส้นทางการขนส่งอาวุธสงครามล็อตนี้ ทุก ชป.ใช้รถยนต์กระบะของทางราชการซึ่งอำพรางสีรถ ติดฟิล์มกรองแสงสีเข้มซักซ้อมการปฏิบัติจนแต่ละ ชป.เข้าใจตรงกันแล้ว เวลาบ่าย 3 โมงครึ่งทุก ชป.เข้าประจำจุดเรียบร้อย ผมนำ ชป.ในส่วนที่กำกับดูแลอยู่เข้าไปประสานงานกับทหาร ฉก.ร้อย ร.5034 ในพื้นที่ พักคอยอยู่ในหน่วย ไม่สามารถไปจอดซุ่มตามเส้นทางได้ เนื่องจากอาจผิดสังเกต เพราะพื้นที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้มีการจัดตั้งมวลชนเป็นหูเป็นตาของฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เวลาเดินไปเรื่อย ๆ จากนาทีเป็นชั่วโมง หลายชั่วโมงผ่านไปกระทั่ง 1 ทุ่มเศษ จนหมดกาแฟไปหลายถ้วย ก็ยังไม่มีวี่แววการติดต่อกลับจากสายลับ จนในที่สุดก็ได้รับคำสั่งยกเลิกภารกิจจากผู้การ เนื่องจากสายลับแจ้งว่า “เป้าหมายรู้ตัวและไหวตัวก่อน” (อืมมม นะ ให้ตูมานั่งรออยู่ 4 – 5 ชั่วโมงเนี่ยนะ) ผมไม่แปลกใจกับคำสั่งยกเลิกภารกิจของผู้การ เพราะเอะใจตั้งแต่ได้รับข่าวสารและคำสั่งให้ปฏิบัติการต้ังแต่แรกแล้ว มีความรู้สึกว่า “สายลับ ไม่ชอบมาพากล” แต่วินัย 2 ประการที่สำคัญยิ่งของตำรวจคือ ข้อ 1 “คำสั่งของผู้บังคับบัญชาคือพรจากสวรรค์” ต้องปฏิบัติตามคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายอย่างเคร่งครัด และ ข้อ 2 คือ หากสงสัยก็ให้ดูข้อ 1
สิ่งที่ผมสันนัษฐานเอาไว้ ก็คือ “สายลับ” ต้องการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์จากทหารตำรวจที่ต้องการข้อมูลลับ ผลประโยชน์อาจเป็นเงินสด หรือยาเสพติดที่เจ้าหน้าที่เก็บรักษาไว้ (กรณีสายลับติดยา) หรือผลประโยชน์ด้านอื่น ๆ การให้ข้อมูลของสายลับโดยธรรมเนียมปฏิบัติ แม้ข้อมูลที่ให้บางคร้งอาจจะไม่ได้มีค่าทางการข่าวมากมายนัก แต่ด้วยสปิริตของผู้นำหน่วยทหารตำรวจ ก็มักจะให้ “ทิป” แก่ “สายลับ” ไปพอสมควรตามแต่กรณี สำหรับในเรื่องนี้ผมไม่ทราบหรอกครับ ว่า สายลับได้อะไรเป็นรางวัลบ้าง เพราะไม่กล้าถามผู้การ คงจะคุ้มค่ากับตัวสายลับเองที่ยอมเสี่ยงเอาตัวเข้าแลกตามหลักเศรษฐศาสตร์ง่าย ๆ นั่นเอง (ถ้ามาหลอกผมอีก รับรอง เจอตื้บแน่ ๆ ครับ..)
อุปสรรคที่สำคัญที่สุดในการปฏิบัติการครั้งนี้คือ ผมไม่มีโอกาสได้พบปะพูดคุยกับสายลับรายนี้เลยตั้งแต่เริ่มต้นรับข่าวสารและในขณะปฏฺบัติการ ทำให้เสียโอกาสในการวิเคราะห์คน ประเมินสถานการณ์ คงจะพูดได้ว่า “ไม่รู้หน้า ไม่รู้ใจ” นั่นเอง
อย่างนี้พี่ว่า ถ้าเจอ"สายลับ "คนนี้อีกครั้ง คงต้องแจก"ของลับ" กันบ้าง มันจะได้สมน้ำสมเนื้อกัน ว่าแมะจง
ReplyDelete