Leh in my memory...

As we are entering the new era, where nations are becoming one community, I, as well as my PTI 27th session’s member friends have the mutual vision that we, and other friends of the Asia-Pacific nations, will become closer than ever.
ยินดีต้อนรับสู่โลกใบเล็กของผม โลกของคนทำงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ชีวิตในวัยเด็กผมเคยใฝ่ฝันอยากจะเป็นสถาปนิก แต่เมื่อยามต้องเลือกทางเดินของชีวิต ผมกลับเลือกที่จะสวมเครื่องแบบสีกากี โดยสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารเหล่าตำรวจ หลังสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ผมเลือกลงบรรจุรับราชการในตำแหน่งพนักงานสอบสวนที่อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี ชีวิตราชการวนเวียนโยกย้ายอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตลอดมา ถึงแม้จะอยู่ห่างไกลจากศูนย์อำนาจรัฐ และการทำงานในหลายโอกาสอาจพบพานกับอุปสรรคภยันตรายต่าง ๆ บ้าง แต่ที่นี่คือ “บ้าน” ผมจึงยังทำงานอยู่ที่นี่ ทุกวันนี้ผมมีความสุขกับงานที่ทำอยู่เสมอ...

Tuesday, February 9, 2010

เมื่อตำรวจถูกสาย (ลับ) หลอก

spy_vs_spy_counterserveilla-2
“จง! จง!  ผู้การเรียกพบ”  ผมละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุคที่อยู่ตรงหน้าหันมองไปตามเสียงเรียกของ “รองน้ำ”ซึ่งกำลังเปิดประตูเดินเข้ามาในห้อง “รองน้ำ” เป็นรองผู้กำกับการของหน่วยที่ผมสังกัดอยู่ เป็นผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไปจากผม 1 ลำดับชั้น  "ครับ พี่น้ำ" ผมขานรับแล้วลุกจากเก้าอี้เดินตามรองน้ำไปพบ “ผู้การ” ตามคำสั่ง


ข้อมูลที่ผมได้รับจาก “ผู้การหรือผู้บังคับการ” ก็คือวันนี้ (8 ก.พ. 2552) ยังไม่ทราบเวลาที่แน่นอน ฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบที่เคลื่อนไหวก่อเหตุรุนแรงอยู่ในพื้นที่่เขตงาน อ.เมือง จ.ยะลา จะลักลอบขนอาวุธสงคราม จำนวน 14 กระบอก (หะ หา! 14 เลยเหรอ แค่ 3 - 4 กระบอกก็เยอะแล้วนะ ผมนึกในใจ) จากนอกพื้ันที่ขนลำเลียงเข้ามาส่งให้ชุดอาร์เคเค (หน่วยจรยุทธ์ขนาดเล็กของผู้ก่อความไม่สงบ) ในพื้นที่ ต.พร่อน อ.เมือง จ.ยะลา  โดยใช้รถยนต์กระบะตอนครึ่งวีโก้ สีเทา คันทะเบียน “xxx” ซึ่งดัดแปลงเป็นรถบรรทุกผลไม้ เพื่อนำไปก่อเหตุซุ่มโจมตีหน่วยทหารหรือหน่วยตำรวจที่ออกลาดตระเวนตามเส้นทาง  สายลับอ้างว่า ตนจะเป็นคนรับช่วงขับรถยนต์กระบะขนอาวุธสงครามด้วยตนเอง (เอ..! ชักแหม่ง ๆ แล้วสิ) จากจุดนัดหมายในตัวเมืองยะลา ส่วนเส้นทางในการขนลำเลียงอาวุธสงคราม ยังไม่ทราบเนื่องจากจะมีสมาชิกกลุ่มก่อความไม่สงบคนอื่นนั่งควบคุมมาในรถด้วย จุดหมายสุดท้ายคือจุดใดจุดหนึ่งบนถนนสายท่าสาป -ลำใหม่ ในพื้นที่ ต.พร่อน

สายลับเป็นคนมุสลิมในพื้นที่ ติดต่อให้ข้อมูล “ดาบเพียร” ตชด.ลูกน้องเก่าของผู้การ ดาบเพียรพาสายลับมาพบผู้การ และกลับออกไปแล้ว เหลือแต่ผมกับรองน้ำดำเนินการต่อ ร่วมกันวางแผนนำกำลังชุดปฏิบัติการเข้าตรวจค้นจับกุมการขนส่งอาวุธสงครามล็อตนี้ให้ได้ งานดูเหมือนจะง่ายแต่ก็หินเอาการ เพราะผมไม่ได้เป็นคนควบคุมสายลับเอง
ผมกับรองน้ำ แบ่งกำลังชุดปฏิบัติการ (ชป.) ออกเป็น 6 ชป. แต่ละ ชป.ประมาณ 3 – 5 นาย  วางกำลังพล็อตจุดในแผนที่ตามเส้นทางที่คาดว่าจะเป็นเส้นทางการขนส่งอาวุธสงครามล็อตนี้ ทุก ชป.ใช้รถยนต์กระบะของทางราชการซึ่งอำพรางสีรถ ติดฟิล์มกรองแสงสีเข้มซักซ้อมการปฏิบัติจนแต่ละ ชป.เข้าใจตรงกันแล้ว  เวลาบ่าย 3 โมงครึ่งทุก ชป.เข้าประจำจุดเรียบร้อย  ผมนำ ชป.ในส่วนที่กำกับดูแลอยู่เข้าไปประสานงานกับทหาร ฉก.ร้อย ร.5034 ในพื้นที่ พักคอยอยู่ในหน่วย ไม่สามารถไปจอดซุ่มตามเส้นทางได้ เนื่องจากอาจผิดสังเกต เพราะพื้นที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้มีการจัดตั้งมวลชนเป็นหูเป็นตาของฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เวลาเดินไปเรื่อย ๆ จากนาทีเป็นชั่วโมง หลายชั่วโมงผ่านไปกระทั่ง 1 ทุ่มเศษ จนหมดกาแฟไปหลายถ้วย ก็ยังไม่มีวี่แววการติดต่อกลับจากสายลับ จนในที่สุดก็ได้รับคำสั่งยกเลิกภารกิจจากผู้การ เนื่องจากสายลับแจ้งว่า “เป้าหมายรู้ตัวและไหวตัวก่อน” (อืมมม นะ ให้ตูมานั่งรออยู่ 4 – 5 ชั่วโมงเนี่ยนะ) ผมไม่แปลกใจกับคำสั่งยกเลิกภารกิจของผู้การ เพราะเอะใจตั้งแต่ได้รับข่าวสารและคำสั่งให้ปฏิบัติการต้ังแต่แรกแล้ว มีความรู้สึกว่า “สายลับ ไม่ชอบมาพากล” แต่วินัย 2 ประการที่สำคัญยิ่งของตำรวจคือ ข้อ 1 “คำสั่งของผู้บังคับบัญชาคือพรจากสวรรค์” ต้องปฏิบัติตามคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายอย่างเคร่งครัด และ ข้อ 2 คือ หากสงสัยก็ให้ดูข้อ 1
สิ่งที่ผมสันนัษฐานเอาไว้ ก็คือ “สายลับ” ต้องการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์จากทหารตำรวจที่ต้องการข้อมูลลับ ผลประโยชน์อาจเป็นเงินสด หรือยาเสพติดที่เจ้าหน้าที่เก็บรักษาไว้ (กรณีสายลับติดยา) หรือผลประโยชน์ด้านอื่น ๆ การให้ข้อมูลของสายลับโดยธรรมเนียมปฏิบัติ แม้ข้อมูลที่ให้บางคร้งอาจจะไม่ได้มีค่าทางการข่าวมากมายนัก แต่ด้วยสปิริตของผู้นำหน่วยทหารตำรวจ ก็มักจะให้ “ทิป” แก่ “สายลับ” ไปพอสมควรตามแต่กรณี  สำหรับในเรื่องนี้ผมไม่ทราบหรอกครับ ว่า สายลับได้อะไรเป็นรางวัลบ้าง เพราะไม่กล้าถามผู้การ คงจะคุ้มค่ากับตัวสายลับเองที่ยอมเสี่ยงเอาตัวเข้าแลกตามหลักเศรษฐศาสตร์ง่าย ๆ นั่นเอง (ถ้ามาหลอกผมอีก รับรอง เจอตื้บแน่ ๆ ครับ..)
อุปสรรคที่สำคัญที่สุดในการปฏิบัติการครั้งนี้คือ ผมไม่มีโอกาสได้พบปะพูดคุยกับสายลับรายนี้เลยตั้งแต่เริ่มต้นรับข่าวสารและในขณะปฏฺบัติการ  ทำให้เสียโอกาสในการวิเคราะห์คน ประเมินสถานการณ์ คงจะพูดได้ว่า “ไม่รู้หน้า ไม่รู้ใจ” นั่นเอง

1 comment:

  1. อย่างนี้พี่ว่า ถ้าเจอ"สายลับ "คนนี้อีกครั้ง คงต้องแจก"ของลับ" กันบ้าง มันจะได้สมน้ำสมเนื้อกัน ว่าแมะจง

    ReplyDelete

RevolverMap