เหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่องและอย่างยาวนานนับร้อย ๆ ปี ความรุนแรงได้ปะทุขึ้นมาเป็นระลอก ๆ ขึ้นอยู่กับปัจจัยเสริมในแต่ละยุคสมัย ความรุนแรงระลอกใหม่ได้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 7 – 8 ปี ยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง สภาพความเป็นอยู่วิถีชีวิตของผู้คนในพื้นที่ มีสภาพเหมือนแดนสนธยาเข้าไปทุกที ยากที่คนนอกจะจินตนาการได้ว่า พวกเขาอยู่กันอย่างไร ยังมีความหวังเหลืออยู่หรือไม่ ในขณะที่รัฐบาลได้ทุ่มเททรัพยากรทั้งเงินและกำลังคนลงไปเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น รวมทั้งการทำงานของเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำหน้าที่สืบสวนติดตามคดีอาญาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ทำงานกันอย่างไร ?
การสืบสวนสอบสวนคดีอาญาหลังเกิดเหตุซึ่งเป็นหนึ่งในงานหลักของตำรวจนั้น โดยทั่วไปการทำงานก็มีลักษณะคล้าย ๆ กับงานของนักวิจัย คือ อาศัยธรรมชาติของเหตุและผลเพื่อตอบคำถามของเหตุการณ์หรือคดีที่เกิดขึ้น ในคดีอาญา มูลเหตุจูงใจในการก่อเหตุก็มักจะสัมพันธ์กับเหตุที่เกิด ตัวอย่าง ในคดีฆาตกรรม มักมีสาเหตุ หรือแรงจูงใจจากความโกรธแค้นที่มีต่อกัน (ยกเว้นบางกรณี เช่นฆาตกรโรคจิต หรือก่อเหตุจากความมึนเมา) เช่น นายแดง โกรธแค้นนายดำที่ถูกนายดำโกง จึงลงมือฆ่านายดำตาย การสืบสวน นักสืบจะศึกษาลงไปถึงปูมหลังของนายดำ ว่ามีความสัมพันธ์กับใครบ้าง มีสาเหตุโกรธเคืองกับใคร หรือมีสาเหตุอื่นที่พอจะเป็นเหตุจูงใจให้มาฆ่านายดำ นักสืบจะเริ่มต้นสืบสวนจากสถานที่เกิดเหตุ คนใกล้ตัว คนรู้จัก เจ้าหนี้ ลูกหนี้ หรือคู่อริ เป็นต้น ทำให้ทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้ตายกับผู้ต้องสงสัย เชื่อมโยงกับพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์จากสถานที่เกิดเหตุ อันจะนำไปสู่การจับกุมตัวผู้กระทำผิดต่อไป แต่การสืบสวนคดีคดีฆาตกรรมจากการก่อเหตุความไม่สงบนั้น แตกต่างจากการสืบสวนคดีฆาตกรรมในพื้นที่อื่น กล่าวคือ แทบจะไม่สามารถนำหลักการดังกล่าวมาใช้ได้ เนื่องจากผู้ก่อเหตุซึ่งเป็นสมาชิก “ขบวนการ” กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบซึ่งไม่ได้มีสาเหตุโกรธเคืองใด ๆ กับผู้ตายมาก่อนเลย ส่วนใหญ่ผู้ก่อเหตุไม่ได้รู้จักกับเหยื่อมาก่อนด้วยซ้ำไป สาเหตุที่ฆ่า ก็เพียงเพื่อก่อเหตุสร้างสถานการณ์ให้เกิดขึ้น “กับใคร” “ที่ใด” “เมื่อใด” ก็ได้ เพียงเพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมย์ของ “องค์กร” ที่ต้องการสร้างความรุนแรงให้เกิดขึ้น เมื่อมีเหตุฆาตกรรมเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้าตรวจสถานที่เกิดเหตุ เก็บรวบรวมพยานหลักฐานหรือร่องรอยของคนร้ายที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุ นำส่งไปตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ พิสูจน์ตัวบุคคลผู้กระทำผิด เก็บรวบรวมเป็นฐานข้อมูล ส่วนการสอบสวนปากคำญาติผุู้ตายหรือคนรู้จักเพื่อสืบสวนถึงมูลเหตุจูงใจของคนร้าย กลับไม่สามารถสาวไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้ตายกับคนร้ายได้ ประการที่สำคัญก็คือ แทบจะไม่มีใครกล้ามาเป็นพยานในคดีที่เกิดขึ้นใด้เลย ถ้าผู้ตายไม่ได้เป็นญาติหรือเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดโดยตรง
การสืบสวนสอบสวนคดีอาญาหลังเกิดเหตุซึ่งเป็นหนึ่งในงานหลักของตำรวจนั้น โดยทั่วไปการทำงานก็มีลักษณะคล้าย ๆ กับงานของนักวิจัย คือ อาศัยธรรมชาติของเหตุและผลเพื่อตอบคำถามของเหตุการณ์หรือคดีที่เกิดขึ้น ในคดีอาญา มูลเหตุจูงใจในการก่อเหตุก็มักจะสัมพันธ์กับเหตุที่เกิด ตัวอย่าง ในคดีฆาตกรรม มักมีสาเหตุ หรือแรงจูงใจจากความโกรธแค้นที่มีต่อกัน (ยกเว้นบางกรณี เช่นฆาตกรโรคจิต หรือก่อเหตุจากความมึนเมา) เช่น นายแดง โกรธแค้นนายดำที่ถูกนายดำโกง จึงลงมือฆ่านายดำตาย การสืบสวน นักสืบจะศึกษาลงไปถึงปูมหลังของนายดำ ว่ามีความสัมพันธ์กับใครบ้าง มีสาเหตุโกรธเคืองกับใคร หรือมีสาเหตุอื่นที่พอจะเป็นเหตุจูงใจให้มาฆ่านายดำ นักสืบจะเริ่มต้นสืบสวนจากสถานที่เกิดเหตุ คนใกล้ตัว คนรู้จัก เจ้าหนี้ ลูกหนี้ หรือคู่อริ เป็นต้น ทำให้ทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้ตายกับผู้ต้องสงสัย เชื่อมโยงกับพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์จากสถานที่เกิดเหตุ อันจะนำไปสู่การจับกุมตัวผู้กระทำผิดต่อไป แต่การสืบสวนคดีคดีฆาตกรรมจากการก่อเหตุความไม่สงบนั้น แตกต่างจากการสืบสวนคดีฆาตกรรมในพื้นที่อื่น กล่าวคือ แทบจะไม่สามารถนำหลักการดังกล่าวมาใช้ได้ เนื่องจากผู้ก่อเหตุซึ่งเป็นสมาชิก “ขบวนการ” กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบซึ่งไม่ได้มีสาเหตุโกรธเคืองใด ๆ กับผู้ตายมาก่อนเลย ส่วนใหญ่ผู้ก่อเหตุไม่ได้รู้จักกับเหยื่อมาก่อนด้วยซ้ำไป สาเหตุที่ฆ่า ก็เพียงเพื่อก่อเหตุสร้างสถานการณ์ให้เกิดขึ้น “กับใคร” “ที่ใด” “เมื่อใด” ก็ได้ เพียงเพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมย์ของ “องค์กร” ที่ต้องการสร้างความรุนแรงให้เกิดขึ้น เมื่อมีเหตุฆาตกรรมเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้าตรวจสถานที่เกิดเหตุ เก็บรวบรวมพยานหลักฐานหรือร่องรอยของคนร้ายที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุ นำส่งไปตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ พิสูจน์ตัวบุคคลผู้กระทำผิด เก็บรวบรวมเป็นฐานข้อมูล ส่วนการสอบสวนปากคำญาติผุู้ตายหรือคนรู้จักเพื่อสืบสวนถึงมูลเหตุจูงใจของคนร้าย กลับไม่สามารถสาวไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้ตายกับคนร้ายได้ ประการที่สำคัญก็คือ แทบจะไม่มีใครกล้ามาเป็นพยานในคดีที่เกิดขึ้นใด้เลย ถ้าผู้ตายไม่ได้เป็นญาติหรือเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดโดยตรง
เครียดแทน แต่ก็ขอให้ทำงานด้วยความปลอดภัยค่ะ สู้ๆๆๆ นะคะ (@^_^@)
ReplyDeleteเพิ่งรู้ว่าทำ Blog ที่มีคุณค่าแบบนี้ด้วย
ReplyDeleteพี่ศิริพล
เพิ่งรู้ว่าทำ Blog ที่มีคุณค่าแบบนี้ด้วย
ReplyDeleteพี่ศิริพล