Leh in my memory...

As we are entering the new era, where nations are becoming one community, I, as well as my PTI 27th session’s member friends have the mutual vision that we, and other friends of the Asia-Pacific nations, will become closer than ever.
ยินดีต้อนรับสู่โลกใบเล็กของผม โลกของคนทำงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ชีวิตในวัยเด็กผมเคยใฝ่ฝันอยากจะเป็นสถาปนิก แต่เมื่อยามต้องเลือกทางเดินของชีวิต ผมกลับเลือกที่จะสวมเครื่องแบบสีกากี โดยสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารเหล่าตำรวจ หลังสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ผมเลือกลงบรรจุรับราชการในตำแหน่งพนักงานสอบสวนที่อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี ชีวิตราชการวนเวียนโยกย้ายอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตลอดมา ถึงแม้จะอยู่ห่างไกลจากศูนย์อำนาจรัฐ และการทำงานในหลายโอกาสอาจพบพานกับอุปสรรคภยันตรายต่าง ๆ บ้าง แต่ที่นี่คือ “บ้าน” ผมจึงยังทำงานอยู่ที่นี่ ทุกวันนี้ผมมีความสุขกับงานที่ทำอยู่เสมอ...

Friday, January 29, 2010

Last Day in Australia

Great Ocean Road, Twelve Apostles Marine National Park, Port Campbel

วันอาทิตย์ที่ 25 พ.ค. 2551

เดินทางตะลอน ๆ หัวหกก้นขวิดมาหลายวันแล้ว  วันนี้ เป็นวันสุดท้ายที่พวกเราจะได้มีโอกาสชื่นชม “Unseen in Australia” ก่อนที่จะเดินทางกลับไปให้ทันขึ้นเครื่องที่ท่าอากาศยาน “Sydney Kingford Smith” เพื่อเดินทางกลับประเทศไทยในตอนค่ำ

ยืนเทียบเป็นนายแบบซะเลยเมื่อวานนี้ ผมเคยเกริ่นไว้นิดนึงขณะที่พาเที่ยวชมกระท่อมกัปตันคุกใน  “Fitzroy Garden” ว่า  Melbourne เป็น “นครแห่งศิลปะ” เป็นอย่างนั้นจริงครับ Melbourne  เป็นนครแห่งศิลปะที่ผสมผสานศิลปะยุคเก่าและใหม่ได้อย่างลงตัว  เท่าที่ผมสังเกต ไม่ว่าจะไปทางไหนก็จะเห็นงานศิลป์ในรูปแบบแขนงต่าง ๆ วางประดับอยู่ ทั้งงานจิตรกรรม ประติมากรรม ศิลปะประยุกต์ ฯลฯ แต่พวกผมก็ได้แต่นั่งรถผ่านครับ ไม่มีโอกาสเข้าไปชื่นชมงานศิลปะเหล่านั้นได้อย่างใกล้ชิด เพราะหมดจากภาระกิจในแต่ละวันก็จะแย่แล้ว ยกเว้นงานประติมากรรมรูปคนคล้ายตัวตลก 3 ตัว ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับโรงแรมที่พัก ก่อนเดินทางในเช้านี้ ผมกับ Zaid ก็เลยถือโอกาสไปยืนเทียบเป็นนายแบบซะเลย…

วันสุดท้ายของการเดินทางพิเศษนิดหน่อย  ตรงที่ต้องนั่งรถไกลกว่าปกติกว่าทุกวันที่ผ่านมา พวกเราต้องเดินทางไกลไปตามถนนที่ทอดตัวไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง Melbourne ตัดเลียบชายฝั่งที่มีภูมิทัศน์แปลกตาของมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งได้ชื่อว่า เป็น “ถนนสายที่โรแมนติกที่สุดแห่งหนึ่งของโลก” ใช่แล้วครับ ! ผมกำลังจะพาเพื่อน ๆ ไปชมความยิ่งใหญ่ของ The Great Ocean Road กัน


ระยะทางไป The Great Ocean Road ค่อนข้างไกลครับ วันนี้ที่หมายคือ The Great Ocean Road เพียงแห่งเดียวแล้วเดินทางกลับ Melbourne ในตอนเย็น (นั่งรถกันมันละครับพี่น้อง)  ออกเดินทางกันตั้งแต่ประมาณ 09.30 น.  ผ่านเมือง Geelong (เมืองนี้คนไทยนิยมส่งบุตรหลานมาศึกษาต่อ) แวะพักรับประทานอาหารมื้อเที่ยงระหว่างทางที่ Sing Bo Chinese Restaurant ในเมือง Colac กว่าจะถึงที่หมายก็ช่วงบ่าย เหนื่อยกับการเดินทางแต่ก็สนุกครับ ^^


รูปภาพแผนที่

ส่วนหนึ่งของ "Great Ocean Road" (คลิกที่แผนที่เพื่อขยาย)

"Great Ocean Road"  มีความยาวตลอดสายทั้งสิ้นประมาณ 400 กิโลเมตร ตัดเลียบชายฝั่งที่มีภูมิประเทศเป็นหน้าผาซึ่งเกิดจากการกัดเซาะของคลื่นลมแรงจากมหาสมุทรแปซิฟิกที่พัดเอาความเย็นและความชุ่มชื่นจากขั้วโลกใต้มาสู่ ทวีปออสเตรเลียมาตลอดระยะเวลานับล้านปี ทำให้ส่วนที่อ่อนกว่าผุกร่อนพังทลายลงไป คงเหลือแผ่นดินส่วนที่แข็งกว่ากลายเป็นเกาะเสาหินโด่ มีรูปทรงแปลก ๆ เด่นอยู่กลางทะเล ยืนหยัดท้าทายคลื่นลมแรงตลอดมา ชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกในแถบนี้ จึงกลายสภาพเป็นหน้าผาเว้า ๆ แหว่ง ๆ  อย่างที่เห็นในปัจจุบัน

ทางการ Australia สงวนพื้นที่  The Great Ocean Road ไว้ได้อย่างดีเยี่ยม โดยจัดพื้นที่จอดรถไว้เป็นสัดส่วนค่อนข้างห่างไกลจากจุดชมวิวพอสมควร นักท่องเที่ยวต้องจอดรถในบริเวณที่จอดรถซึ่งห่างจากฝั่งมากแล้วก็ “เดิน” ครับ เดินไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวเดียวก็ถึงแล้ว ^^ แต่โชคไม่ดีวันนี้อากาศไม่เป็นใจ ครึ้มฟ้าครึ้มฝนขณะเดินทาง ท้องฟ้าไม่สดใสเลยครับ  มีแต่เมฆฝนเต็มไปหมด แสงไม่สวย เวลาถ่ายรูปก็จะดูทึม ๆ สุดท้ายฝนก็ตกลงมาจริง ๆ ขณะที่เรากำลังชม Twelve Apostles

IMG_5635

บริเวณพื้นที่จอดรถ

IMG_5787

ลงจากรถ

IMG_5638 เดินอีกไกลครับ ^^ IMG_5777 มีเฮลิคอปเตอร์บริการนักท่องเที่ยวด้วย
IMG_5646ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว IMG_5663 ถึงแล้ว Twelve Apostles
IMG_5698 กองหินข้างหลังผม เพิ่งจะพังทลายลงมาเมื่อไม่นานมานี้ IMG_5727 Twelve Apostles

IMG_5710Twelve Apostles เหลือแท่งหินไม่ครบ 12 แล้ว

IMG_5770-1
Twelve Apostles

IMG_5696Twelve Apostles

จุดชมวิวแต่ละแห่งมีความงดงามแตกต่างกันออกไปตามลักษณะการกัดเซาะของน้ำทะเล อีกทั้งมีชื่อเรียกต่าง ๆ ออกไปอีก ชื่อแต่ละชื่อล้วนแต่มีที่มาหรือบ่งบอกลักษณะคล้ายคลึงกับสิ่งนั้น เช่น Twelve Apostles, Loch Ard Gorge, London Bridge, New Field Bay เป็นต้น

Twelve Apostles  ตั้งชื่อตาม 12 สาวกของพระเยซูคริสต์ (หรือนบีอีซาของชาวมุสลิม) เป็นแท่งหินปูนที่ถูกธรรมชาติสลักเป็นแท่งเสาหินให้มีรูปทรงแปลกๆ แตกต่างกันไป เรียงรายกระจายอยู่บริเวณชายฝั่ง ปัจจุบันนี้แท่งเสาหินปูนมีไม่ครบ 12แท่ง เนื่องจากผุกร่อนพังไปแล้วหลายแท่ง อีกไม่นานแท่งหินทั้งหมดก็คงจะทยอยพังทลายล้มหายลงไปจนหมด และก็คงจะมีแท่งหินแท่งใหม่เกิดขึ้นอีก...เป็นวัฏจักรอย่างนี้เรื่อยไป 

IMG_5767ความยิ่งใหญ่ของ Twelve Apostles

IMG_5689Twelve Apostles

IMG_5721Twelve Apostles

 Loch Ard Gorge แท่งหินรูปโค้งขนาดใหญ่ เกิดจากส่วนตรงกลางถูกน้ำทะเลกัดเซาะจนทะลุ ก่อให้เกิดรูปร่างคล้ายสะพานโค้ง

ลุ้น อยู่ตั้งนาน ว่าฝนจะตกไม่ตก ในที่สุดฝนก็ตกจริง ๆ ครับ  ตกหนักเสียด้วย ต้องรีบจ้ำอ้าวขึ้นรถไม่งั้นคงเปียกหมดแน่ ๆ อากาศก็หนาวเสียด้วยสิ เสียดายจังที่วันนี้ดินฟ้าอากาศไม่เป็นใจ   ตอนเย็นปิดท้าย Great Ocean Road กันที่ Port Campbel หมู่บ้านชาวประมงที่ทันสมัยของ Australia ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก ก่อนที่จะวิ่งทางลัด in land กลับเข้า Melbourne ครับ

IMG-5857 Port Campbel IMG_5839 Port Campbel
IMG_5835 Port Campbel IMG_5855 Port Campbel
IMG_5847

ชุมชนบริเวณ Port Campbel

IMG_5852

Port Campbel

เดินทางกลับถึง Melbourne เอาประมาณ 2 ทุ่มเศษ  ด้วยความที่เดินทางตะลอน ๆ ท่องไปในแผ่นดินออสเตรเลียมาเป็นอาทิตย์แล้ว หลาย ๆ คนเริ่มบ่นคิดถึงบ้าน คิดถึงลูก คิดถึงเมีย  คิดถึงอาหารไทย ฯลฯ

IMG_5904อย่ากระนั้นเลย ไหน ๆ ก็ชิมอาหารแบบต่าง ๆ ใน Australia มาหลายแบบแล้วทั้งเนื้อแกะย่างบาบีคิว เนื้อจิงโจ้ อาหารเยอรมัน อาหารทะเลจากเกาะฟิลลิป กุ้งมังกร หูฉลาม ปลิงทะเล ฯลฯ ก่อนขึ้นเครื่องเดินทางกลับประเทศไทยวันนี้พวกเราจะได้ร้บประทานอาหารไทย มื้อที่สอง (มื้อแรกที่สถานฑูตไทยฯ) และมื้อสุดท้ายใน Australia กันที่ร้าน “The Original Thai” ครับ  หลังจากที่ต้องก้มหน้าก้มตากินอาหารจีน (เป็นหลัก) มาตลอดเกือบ 1 อาทิตย์ใน Australia

ต้มยำกุ้งน้ำข้น ยกมาเสิร์ฟแล้ว  ตามมาด้วยพะแนงเนื้อ ทอดมันกุ้ง ไข่เจียวกุ้งสับ ผัดผักรวมมิตร น้ำพริกฯ ลาบไก่ ฯลฯ รสชาติอาหาร อร่อยใช้ได้ทีเดียวครับ…  รสชาติจัดจ้านสมกับที่เป็นอาหารไทย  (เอ...! หรือว่าพวกเราห่างอาหารไทยมาหลายวัน  เจอแต่อาหารฝรั่ง อาหารจีน เลี่ยน ๆ พอมาเจออาหารไทยรสจัดกว่าหลายวันที่ผ่านมาเข้าหน่อยก็เลยตาลาย เหมือนในตำนานก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ ^^ )

นั่งกินข้าวไป ก็อดคิดไปด้วยไม่ได้ว่า  7 วันใน Australia ทำให้ผมได้แง่คิดมุมมองอะไรบ้าง ?

แม้ว่า Australia จะเป็นประเทศที่ก่อตั้งขึ้นใหม่ในยุคล่าอาณานิคมของชาติตะวันตก ทำให้ขาดปูมหลังและพลังทางประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชาติในแง่ของอารยธรรม โบราณ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาหรืออุปสรรคที่จะขัดขวางการพัฒนาประเทศได้ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การพัฒนาประเทศของ Australia เจริญรุดหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง นั่นก็คือ “คน” และ “ความมีวินัย” ของคนในชาติ  เช่นเดียวกันกับประเทศที่มีเศรษฐกิจก้าวหน้า หรือประเทศที่พัฒนาแล้วอื่น ๆ  คนออสซี่เป็นคนที่มีวินัยในตัวเองสูงเป็นส่วนใหญ่ การข้ามถนนสะเปะสะปะแบบบ้านเราแทบจะไม่มีให้เห็น บ้านเมืองก็สะอาดตาเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่มีขยะตกหล่นเรี่ยราดให้เห็น การใช้รถใช้ถนนปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด

ในระหว่างที่อยู่ใน Australia แทบจะไม่เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจปรากฎให้เห็นเลย สถิติอาชญากรรมคงจะไม่สูงกระมัง..?

นอกจากนี้  ที่สำคัญ คนออสซี่ยังให้ความสำคัญกับ “ทหาร” หรือ “วีรบุรุษสงคราม” ของตนมาก สังเกตได้จากการสร้างอนุสรณ์สถานทางทหารไว้ตามเมืองต่าง ๆ ทั่วประเทศ เป็นแบบอย่างที่ดีที่จะปลูกฝังเยาวชนของชาติให้มีความรักสมัครสมานสามัคคี กัน มีความเสียสละ ฟันฝ่าอุปสรรคร่วมกัน และมีความภาคภูมิใจในความเป็นชาติ กองทัพไทยน่าจะมาศึกษาดูเป็นแบบอย่างนะครับ..  IMG_5907

พูดถึงด้านดีไป ก็ใช่ว่า “คนออสซี่”จะดีไปหมดทุกเรื่อง เพียบพร้อมไปหมดทุกอย่าง ฝรั่งก็คือฝรั่ง ถึงแม้จะมีวินัยในตัวเองสูง มีจิตสำนึกสาธารณะ แต่ความมีน้ำใจโอบอ้อมอารีต้อนรับแขกผู้มาเยือนแบบที่ผมประสบมาก็ยังสู้คน ไทยไม่ได้อยู่ดี 

นอกจากนี้การที่ป้จจุบัน Australia พยายามเข้าไปมีบทบาทกับกลุ่มประเทศ ASEAN มากขึ้น  ทำตัวเป็นเอเชียมากขึ้น เจริญรอยตาม “ตำรวจโลก” แบบอเมริกา ก็ไม่ใช่เพื่ออะไรอื่นหรอกครับ  นอกเสียจากผลประโยชน์ของชาติ ในรูปแบบต่าง ๆ เหมือนเมื่อสมัยที่บรรพบุรุษตัวเองยังล่าเมืองขึ้นอยู่ทั่วโลกนั่นเอง…. เพียงแต่เปลี่ยนโฉมมาในรูปแบบที่ไม่ใช้กำลังบังคับแบบในอดีต

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ราว 3 ทุ่มตรง พวกเราเดินทางไปถึงท่าอากาศยานนานาชาติทูลามารีน Melbourne เพื่อเตรียมขึ้นเครื่องเดินทางกลับประเทศไทย ได้เวลาที่จะต้องจากกันแล้ว ถ้าหากมีโอกาสจะกลับมาเยือน Australia อีกสักครั้งหนึ่ง คงมีเรื่องราวมาเล่าให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกันอีก...

No comments:

Post a Comment

RevolverMap