ชม วนอุทยานแห่งชาติ Blue Mountains, Three Sisrers (หินสามอนงค์), กินข้าวที่เมือง Katoomba, ชมวิวเมือง Canberra ณ จุดชมวิว Mt.Ainslie, พักที่ Canberra 1 คืน
วันจันทร์ที่ 19 พ.ค. 2551
คณะนายทหาร/นายตำรวจนักเรียนออกเดินทางจาก ร.ร.เสนาธิการทหารบก ย่านสามเสน เมื่อบ่ายแก่ ๆ ของวันที่ 18 พ.ค. 2551 ขึ้นเครื่องเมื่อเวลาประมาณ 18.30 น. โดยสายการบินไทยเที่ยวบิน TG993 ใช้เวลาเดินทางประมาณ 9 ชั่วโมงเศษ ผมหลับ ๆ ตื่น ๆ มาตลอดทางหลังจากรับประทานอาหารมื้อค่ำบนเครื่องเพราะรู้สึกไม่ค่อยสบาย ขอยาพาราเซตามอลจากแอร์โฮสเตจไป 2 เม็ด ส่วนคอทองแดงคงชอบใจเพราะเห็นเรียกแอร์โฮสเตจมาเติมไวน์ เติมวิสกี้อยู่ตลอด จนกระทั่งเครื่องร่อนลงแตะรันเวย์ที่ท่าอากาศยานนานาชาติ Sydney Kingford Smith นครซิดนีย์ เมื่อ 19 พ.ค. 2551 เวลาประมาณ 06.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของออสเตรเลีย ซึ่งเร็วกว่าไทยราว 3 - 4 ชั่วโมง สำหรับอาหารมื้อเช้าพวกเรารับประทานเรียบร้อยแล้วตั้งแต่เช้ามืดขณะอยู่บน เครื่อง (เพราะพอถึงท่าอากาศยานลงจากเครื่องได้ก็เดินทางไกลต่อทันทีครับ ไม่แวะรับประทานอาหารที่ไหนอีกแล้ว)
หลังผ่านพิธีตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งไม่ค่อยจะยุ่งยากเท่าไหร่นัก พอเดินพ้นออกมาจากอาคารท่าอากาศยานก็ได้สัมผัสกับอากาศเย็นยะเยือกของทวีป ออสเตรเลียเป็นครั้งแรก ชอบจังครับอากาศแบบนี้ จะได้ทำกิจกรรมกลางแจ้งหรือออกแรงท่ามกลางอากาศหนาวโดยที่ไม่รู้สึกเหนื่อย ^^ พอเดินไปถึงรถบัสขนาดประมาณ 40 ที่นั่งที่จอดรออยู่ สิงห์อมควันหลายคนรู้สึกเปรี้ยวปาก อยากจะสูบบุหรี่เต็มกำลังแต่ก็กล้า ๆ กลัว ๆ กับกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะของ Australia ผมยืนสูดอากาศเย็นและแห้งของทวีปที่ไม่คุ้นเคยอยู่สักครู่ใหญ่ ก่อนขึ้นรถบัสเพื่อเดินทางต่ออีกระยะทางประมาณ 65 กิโลเมตร ไปยัง วนอุทยานแห่งชาติ Blue Mountains ซึ่งเป็นที่หมายแรกใน Australia (ชื่อเหมือนกาแฟถ้วยโปรดของใครหลาย ๆ คนเลย)
จากนคร Sydney ไปถึงวนอุทยานแห่งชาติ Blue Mountains ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ถึง 2 ชั่วโมง เหตุที่ใช้เวลามาก เนื่องจากพนักงานขับรถใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 100กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตามกฎหมายที่ค่อนข้างเข้มงวดมาก ๆ ของ Australiaอาจจะไม่ทันใจวัยรุ่นแต่ก็ปลอดภัยครับ และถ้าไม่คิดมาก คิดเสียว่าจะได้มีเวลาชื่นชมทัศนียภาพสองข้างทางได้อย่างเต็มอิ่มตลอดทาง รถแล่นออกจากสนามบิน ผ่านไปในชุมชนเมืองของนคร Sydney ผมนั่งลุ้นอยู่ว่าจะมีปัญหารถติดเหมือนในกรุงเทพฯ หรือเปล่า..? ปรากฎว่า การจราจรคล่องตัวมาก ๆ พนักงานขับรถใช้เส้นทางอุโมงค์ใต้ดินจนทะลุออกนอกเมือง ผมนั่งชมทิวทัศน์ข้างทางที่ไม่คุ้นตาอยู่สักพักใหญ่ พยายามฝืนความง่วง ถ่างตาไม่ให้หลับขณะเดินทาง แต่เมื่อรถบัสแล่นออกพ้นเขตชุมชนเมืองของนคร Sydney ออกมาได้ครู่ใหญ่ ความเหนื่อยล้า และอ่อนเพลียจากการเดินทางไกลก็รุกรานจู่โจมทำให้ผมยอมแพ้เผลอม่อยหลับไป.. มารู้สึกตัวตื่นขึ้นอีกครั้งเมื่อใกล้จะถึงวนอุทยานแห่งชาติ Blue Mountains แล้ว “Zaid” บั๊ดดี้ผมเขย่าแขนปลุกผมเบา ๆ ก่อนลงจากรถผมไม่ลืมที่จะคว้ากระเป๋ากล้องติดมือมาด้วย (แต่ดูเอาเถิด ด้วยความที่เพิ่งซื้อกล้องใหม่ยังใช้กล้องไม่ชำนาญ ตั้งค่า Picture style ผิด (ผมใช้กล้อง Canon 450D) ทำให้ภาพถ่ายที่ Blue Mountains ส่วนใหญ่มีค่า Contrast สูงเกินไป เสียดายมาก)
ทันทีเมื่อลงจากรถ อุณหภูมิเย็นยะเยือกจากขุนเขาสัมผัสกับผิวกายทำให้ผมต้องขยับเสื้อแจ๊กเก็ต กันหนาวให้กระชับมากยิ่งขึ้น รู้สึกตื่นเต้นที่ได้มาเยือนสถานที่ท่องเที่ยวที่ติดอันดับของโลก วินาทีแรกเมื่อได้เห็นวนอุทยานแห่งชาติ Blue Mountains ประทับใจในทิวทัศน์งดงามแปลกตาของผืนป่ายูคาลิปตัสบนแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตา
วนอุทยานแห่งชาติ Blue Mountains มี ยอดเขา "Three Sisters" หรือ "หินสามอนงค์" หรือบางคนก็เรียกว่า "หินสามก้อน" แล้วแต่ถนัด^^ ตั้งสง่าเป็นจุดเด่นเหนือผืนป่าบนเทือกเขาสีน้ำเงินครามอย่างสอดประสานกัน
"Three Sisters" หรือ "หินสามอนงค์" ก็มีตำนานความเป็นมาเหมือนกันนะครับ ตำนานพื้นเมืองของชาวอะบอริจิ้นเล่าขานต่อ ๆ กันมาว่า
“…กาลครั้งหนึ่ง ณ เทือกเขาแห่งนี้ เป็นที่อยู่ของชายคนหนึ่งชื่อ “ทยาวัน” (Tyawan) เขามีลูกสาวสวยอยู่ 3 คนคือ “มีนนี” (Menhi) “วิมาลา” (Weemalah) และ “กันนีดู” (Gunnedoo) ทยาวันมีกระดูกวิเศษอยู่ชิ้นหนึ่งซึ่งทำให้เขาสามารถแปลงร่างเป็นนกไลเออเบิร์ด (Lyrebird) ได้ ทุกครั้งที่ออกไปล่าสัตว์ ทยาวันจะสั่งลูกสาวทั้งสามให้ไปอยู่บนหน้าผาสูงและห้ามไม่ให้ไปไหนจนกว่าเขา จะกลับมา ทั้งนี้เพื่อให้ปลอดภัยจากวิญญาณที่ทรงอำนาจซึ่งอาศัยอยู่ในหุบเขาลึกเบื้อง ล่าง
วันหนึ่งสาวน้อยมีนนี เกิดเอาหินไปเคาะที่หน้าผา เป็นเหตุให้เกิดแผ่นดินเคลื่อน ปลุกวิญญาณของบันยิบขึ้นมา และเมื่อบันยิบมองเห็นเด็กสาวทั้งสามเกาะกันอยู่บนหน้าผาจึงขึ้นไปหา ทยาวันพ่อของเด็กสาวทราบเรื่อง แต่ไม่สามารถเดินทางไปช่วยลูกได้ทัน จึงเลือกวิธีเสกให้ลูกสาวกลายเป็นหินไปพลาง ๆ ก่อน
บันยิบจึงหันมาเล่นงานพ่อแทน ทยาวันแปลงร่างเป็นสัตว์ต่าง ๆ เพื่อไม่ให้บันยิบตามหาพบ ท้ายสุดเขาแปลงร่างเป็นนกไลเออเบิร์ด โดยใช้กระดูกวิเศษที่มีอยู่ แต่ในขณะที่มือของทยาวันกลับกลายเป็นปีกนกนั่นเอง กระดูกวิเศษได้หลุดลอยออกจากมือของเขาไป
บันยิบเลิกตามหาทยาวันและกลับไปยังที่พักของมันตามเดิม แต่อนิจจา ทยาวันยังคงเป็นนกไลเออเบิร์ดที่บินวนเวียนอยู่ในหุบเขาอยู่นั่นเอง และลูกสาวทั้งสามก็ยังคงเป็นหินอยู่ตามเดิม จนกว่าทยาวันจะหากระดูกวิเศษพบและแปลงร่างกลับกลายมาเป็นคน จึงจะคลายมนต์ให้ลูกสาวทั้งสามกลับคืนมาดังเดิมได้…” (Credit: ponelovetan)
ฟังดูเศร้าจังครับ แม้ว่าชาวอะบอริจิ้นจะไม่สามารถสร้างอารยธรรมที่ศรีวิไลแบบในลุ่มแม่น้ำ ไทกริส - ยูเฟรติส หรือที่อื่น ๆ แต่ความเจริญทางด้านจิตวิญญาณนั้น กลับสามารถผูกเรื่องราวที่น่าสะเทือนใจเข้ากับสภาพทางภูมิศาสตร์ได้อย่างลงตัวและกินใจทีเดียว
สาเหตุที่คนออสซี่ตั้งชื่อ "Blue Mountains" หรือ “หุบเขาสีน้ำเงิน” เกิดจาก “ต้นกัม” หรือ “ยูคาลิปตัส” พืชพื้นเมืองออสเตรเลียที่ขึ้นแผ่ปกคลุมเป็นผืนป่าบนเทือกเขา ไอระเหยของน้ำมันจากต้นกัมหรือ “ยูคาลิปตัส” ทำปฏิกริยาสะท้อนกับแสงแดด เกิดการหักเหของแสง ทำให้เกิดหมอกจาง ๆ สีน้ำเงินคราม ปกคลุมเหนือผืนป่า ซึ่งได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติอับดับที่ 24 ในปี ค.ศ.2000
ในการลงไปชมความงามผืนป่าของ Blue Mountains อย่างใกล้ชิด มีผจญภัยเล็กน้อยครับ นักท่องเที่ยวจะได้ตื่นตาตื่นใจกับการนั่งรถไฟฟ้า "Scenic Railway" ที่ดัดแปลงจากทางลำเลียงขนถ่านหินในสมัยก่อตั้งอาณานิคม ซึ่งมีความชันถึง 52 องศา ได้ชื่อว่าเป็นทางรถไฟลงเขาที่ชันที่สุดในโลก พุ่งผ่านลงไปในหุบเขาที่เป็นเหมืองถ่านหินเก่าระยะทางประมาณ 415 เมตร (1,360 ฟุต) ด้วยความเร็ว 4 เมตรต่อวินาที ทางที่สูงชันและความเร็วผ่านหน้าผาสูง ถ้ำมืด และทางลาดลงมายังเนินเขาข้างล่าง ทำเอาหัวใจของผมเต้นกระเด็นกระดอนไปมาไม่เป็นจังหวะ..
เมื่อก้าวลงจากรถไฟ ฟ้า สิ่งที่ปรากฎเบื้องหน้าผมคือ ทิวทัศน์ตระการตาของหุบเขาสีน้ำเงินครามกว้างใหญ่ไพศาลของผืนป่ายูคาลิปตัส โดยมี "Three Sisters" หรือ “หินสามอนงค์” ประดับเด่นเป็นสง่าอยู่เหนือเทือกเขา
เมื่อเดินลัดเลาะเข้าไปในแนวป่าตามทางเดินของวนอุทยาน สภาพป่าสองข้างทาง เป็นป่าดิบชื้น (Rain Forrest) แบบ Australia เขียวขจี พบต้นไมัที่มีลักษณะคล้ายต้นปรงเหมือนที่พบในป่าดงดิบทางภาคใต้ของไทย แผ่กิ้งก้านสาขาเป็นเงาครึ้ม มองดูคล้ายป่าในภาพวาดเมื่อสมัยบรรพกาลที่มีไดโนเสาร์เดินเพ่นพ่านอยู่ ให้ความรู้สึกราวกับหลุดเข้าไปในโลกดึกดำบรรพ์ ยากที่จะบรรยายด้วยคำพูดให้เห็นเป็นภาพที่ใกล้เคียงกับที่ตาเห็นได้
ต้นไม้คล้ายต้นปรง แต่สูงใหญ่กว่า
เมื่อเดินไปจนถึงสถานีกระเช้าไฟฟ้า Scenic Cableway ซึ่งเป็นทางขึ้นจากหุบเขาทางหนึ่งของที่นี่ รอคอยอยู่สักพักพวกเราก็ได้เดินทางขึ้นจากหุบเขาโดยกระเช้าไฟฟ้า Scenic Cableway ได้มองเห็นทัศนียภาพของ Blue Mountains ในอีกรูปแบบหนึ่ง คุ้มค่าจริง ๆ ครับที่ได้เดินทางดั้นด้นมาจนถึงที่นี่ ข้างบนนี้ มีร้านอาหารเครื่องดื่มให้บริการ มีร้านจำหน่ายของที่ระลึกให้เลือกซื้ออย่างจุใจครับ ผมได้แต่เดินดูไปเรื่อยเปื่อย ยังไม่ได้ซื้ออะไรติดมือมา ราคาของที่ระลึกค่อนข้างแพง อดใจไว้ช็อปปิ้งในโอกาสต่อไปดีกว่า
เดินทางขึ้นจากหุบเขาโดยกระเช้าไฟฟ้า Scenic Cableway | ทิวทัศน์มองจาก Scenic Cableway |
พวกเราได้อยู่ชื่นชมความงดงามของวนอุทยานแห่งชาติ Blue Mountains จนถึงเที่ยงเศษ ๆ ก็เดินทางต่อไปยังกรุง Canberra แวะรับประทานมื้อเที่ยง (อาหารจีนมื้อแรกในออสเตรเลีย) ที่ “ภัตตาคาร Canton Palace” ในเมือง Katoomba (ไม่ไกลจากวนอุทยานแห่งชาติ Blue Mountains ครับ)
ภัตตาคาร Canton Palace | มื้อเที่ยง (อาหารจีน) มื้อแรกใน Australia |
ทิวทัศน์เมือง Katoomba | ทิวทัศน์เมือง Katoomba |
ทิวทัศน์เมือง Katoomba | รถบรรทุกคันงามพบระหว่างเดินทางไป Canberra |
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ตอนบ่าย พวกเราเดินทางมุ่งหน้าไปยังกรุง Canberra นครหลวงของออสเตรเลีย เนื่องจากพรุ่งนี้เช้ามีกำหนดการเข้าเยี่ยมคารวะท่านเอกอัครราชฑูตไทยประจำ กรุง Canberra ด้วยระยะทางประมาณ 280 - 300 กม.จากนคร Sydney ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 - 4 ชั่วโมง เมื่อพวกเราเดินทางถึง Canberra ขณะนั้นเย็นมากแล้ว ใกล้จะค่ำ แต่ยังพอมีเวลาไปชื่นชมความงามของการวางผังเมือง ณ จุดชมวิวบนยอดเขา Mt.Ainslie
ทิวทัศน์เมือง Canberra มองจากจุดชมวิวบนยอดเขา Mt.Ainslie
"Canberra" เป็นเมืองที่ได้รับการออกแบบการวางผังเมืองได้ดีเยี่ยมติดอันดับ 1 ใน 3 ของโลก เมื่ออยู่บนยอดเขา ณ จุดชมวิว Mt.Ainslie สิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็คือทะเลสาบเบอร์เล่ย์ กริฟฟิน (Walter Burley Griffin) ซึ่งถูกขุดขึ้นทอดเป็นแนวใจกลางเมืองหลวงเสริมให้ภูมิประเทศสวยงามเป็นจุด เด่นของเมือง ถนนหนทางที่มีการวางผังเมืองเป็นอย่างดี แลดูเป็นโครงข่ายที่เป็นระเบียบเรียบร้อย รวมทั้งทิวทัศน์ของสถานที่ทำการของรัฐบาล อาคารรัฐสภา อนุสรณ์สถานสงคราม “War Memorial” ที่สถาปนิกออกแบบวางเป็นจุดศูนย์กลางของเมืองอย่างลงตัวจะมองเห็นได้อย่าง สวยงามมากจากจุดชมวิวนี่เอง พรุ่งนี้พวกเราจะได้มีโอกาสเข้าเยี่ยมชมอาคารรัฐสภา และ War Memorial กันครับ
ทิวทัศน์เมือง Canberra มองจากจุดชมวิวบนยอดเขา Mt.Ainslie
สถาปนิกวางอาคารรัฐสภา และ War Memorial เป็นจุดศูนย์กลางของเมือง
ลมบนยอดเขาพัดค่อนข้างแรงครับ พาอุณหภูมิเย็นยะเยือกเข้ามากระทบผิวกายเป็นระลอก ๆ อากาศเย็นลงเรื่อย ๆ แปรผกผันตามเวลาที่เพิ่มขึ้น โชคดีที่พวกเราเตรียมเสื้อผ้าป้องกันความหนาวมาเป็นอย่างดี ก็เลย บ่ ยั่น
ถ่ายรูปหมู่เป็นที่ระลึกก่อนเดินทางเข้าเมือง Canberra
หลังจากชื่นชมดื่มด่ำกับทัศนียภาพมุมสูงแบบ “Bird Eyes View” ของกรุง Canberra จนฉ่ำใจแล้วก็เดินทางกลับลงมารับประทานทานอาหารมื้อเย็นในตัวเมืองที่ ภัตตาคาร “National Green Tea” (อาหารจีนอีกแล้ว) จากนั้น check in เข้าพักที่โรงแรม Heritage Hotel พอถึงห้องพัก ก็แทบอยากจะกระโดนเข้าไปซุกอยู่ใต้ผ่าห่ม สภาพอากาศตอนนี้หนาวมากจริง ๆ
ภัตตาคาร National Green Tea | ห้องพักครับ^^ ถ้าไม่มีน้ำอุ่นคงแย่แน่ ๆ |
ดึกขึ้นเรื่อย ๆ อากาศที่หนาวอยู่แล้ว ก็ยิ่งทวีความหนาวเย็นขึ้นตามลำดับ บรื๊อออ! หนาวจริง ๆ ครับ คืนนี้ไม่ออกไปไหนแล้ว เหนื่อยกับการเดินทางมาก ๆ พรุ่งนี้ค่อยว่ากันต่อ
Wonderful blog & good post.Its really helpful for me, awaiting for more new post. Keep Blogging!
ReplyDelete----------------------------------------------------------------------------------------
ตรวจคนเข้าเมืองออสเตรเลีย