มีคนปรามาสว่า ผมไม่เข้าใจ ไม่รู้จัก "civil war"
ผมคงจะไม่ค่อยเข้าใจคำว่า "civil war" เท่าไหร่ตามที่มีใครบางคนได้กล่าวเอาไว้จริง ๆ เพราะ ทำงานอยู่ใน 3 จชต. มาตั้งแต่ปี 2542 จนกระทั้งปัจจุบัน เคยผ่านการทำงานในพื้นที่ อ.บันนังสตา จ.ยะลา และอีกหลาย ๆ พื้นที่มาก่อน เคยเสี่ยงเป็นเสียงตายมาก็หลายครั้ง ตอนนี้เป็นหัวหน้าโรงพักอยู่ในพื้นที่ แต่ผมก็ไม่เข้าใจมันอยู่ดี ถ้าหากจะมีใครกรุณาชี้แนะผมก็จะยินดีมากครับ (จริง ๆ แล้ว ใน 3 จชต.ก็ยังไม่ถึงขั้น "civil war" อยู่ดี)
เรื่องการรัฐประหาร ที่หลายคนบอกว่า เป็นเรื่องจำเป็นในการแก้ไขความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบัน ผมก็ขอเรียนให้ทราบว่า "....ทหารที่ออกมาไม่ได้มีความเป็นกลาง แต่อยู่ฝ่ายเดียวกับคู่ขัดแย้งอีกฝ่าย เมื่อรัฐประหารแล้วก็แต่งตั้งคนของตัวเองออกมาไล่ล่าอีกฝ่ายด้วยหลักกฎหมายที่บูดเบี้ยว บิดเบือน อย่างเอาเป็นเอาตาย ถ้าแก้ปัญหาด้วยรัฐประหารที่ผ่านมานับสิบครั้้งในประวัติศาสตร์ของชนชั้นปกคครอง
ขอถามต่อว่า แล้วปัจจุบันแก้ปัญหาไดัหรือยัง....?
การรัฐประหารก็เป็นแค่สันดานที่แก้ไม่หายของชนชั้นปกครองที่ไม่ยอมให้ประชาชนได้โตเป็นผู้ใหญ่เสียที เพราะเมื่อประเทศมีประชาธิปไตย ความเป็นประชาธิปไตยก็จะแปรผกผันกับอำนาจครอบงำประเทศ ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ที่สูบเลือดสูบเนื้อประชาชนกันอยู่ตลอดมาก็เท่านั้นเอง......
หนทางเดียวที่จะหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง และป้องกัน "civil war" ได้ คือ กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย การบังคับใช้กฎหมายต้องทั่วถึง เท่าเทียม และเป็นธรรม ไม่สองมาตรฐาน (หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ไร้มาตรฐาน) ธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อกฎหมาย ข้อบังคับ กฎระเบียบของสังคมไม่สามารถบังคับใช้ได้ เขาจะหันกลับไปใช้กฎธรรมชาติ และสัญชาติญาณดิบ (ให้นึกถึงสภาวะที่ไม่มีกฎหมาย ผู้คนไม่เคารพกฎหมาย ไม่สนใจว่าใครเป็นใครอีกแล้ว เหมือนครอบครัวที่ล่มสลาย พ่อไปทาง แม่ไปทาง ลูกไปทาง ลูก ๆ ทะเลาะกัน ฆ่ากันตายเพราะแย่งชิงผลประโยชน์กันเองในครอบครัว)
องค์กรอิสระต่าง ๆ จึงต้องปฏิบัติหน้าที่วินิจฉัย บังคับใช้กฎหมายอย่างมืออาชีพ ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ผิดว่าไปตามผิด ถูกก็ว่าไปตามถูก ไม่ลำเอียง ไม่เลือกข้าง
ชนชั้นปกครองจะต้องไม่ปากว่าตาขยิบ ต้องรู้จักปล่อยวางให้ประชาชนของตัวได้เติบใหญ่ทางความคิด เร่งพัฒนาปลูกฝังแนวคิดประชาธิปไตย (จริง ๆ) ให้ประชาชนตระหนักรู้ในสิทธิและเสรีภาพของตัวเอง อำนาจเป็นสิ่งหอมหวาน แต่ดูโลกบ้าง อย่าเห็นประชาชนเป็นลูกแหง่ เป็นของตายที่เลี้ยงบอนไซเอาไว้ไม่ปล่อยให้โตได้ด้วยตัวเอง หากศึกษาประวัติศาสตร์ "civil war" ต่างประเทศก็คงจะรู้ว่า ต้นสายปลายเหตุของ "civil war" มีทีมาจาก "ความอธรรม" ของชนชั้นปกครองเป็นหลัก สูบเลือด สูบเนื้อของประเทศชาติ ประชาชนมานานจนเคยตัว หัดปล่อยวางเสียบ้าง....
ถ้าทำไม้ได้.......
จะเอา "civil war" ก็เอาครับ ผมพร้อมแล้ว พวกคุณ ๆ ทั้งหลายล่ะพร้อมมั้ย ????
(หมายถึง พร้อมที่จะรักษากฎหมายนะครับ) ^^
No comments:
Post a Comment