Leh in my memory...

As we are entering the new era, where nations are becoming one community, I, as well as my PTI 27th session’s member friends have the mutual vision that we, and other friends of the Asia-Pacific nations, will become closer than ever.
ยินดีต้อนรับสู่โลกใบเล็กของผม โลกของคนทำงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ชีวิตในวัยเด็กผมเคยใฝ่ฝันอยากจะเป็นสถาปนิก แต่เมื่อยามต้องเลือกทางเดินของชีวิต ผมกลับเลือกที่จะสวมเครื่องแบบสีกากี โดยสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารเหล่าตำรวจ หลังสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ผมเลือกลงบรรจุรับราชการในตำแหน่งพนักงานสอบสวนที่อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี ชีวิตราชการวนเวียนโยกย้ายอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตลอดมา ถึงแม้จะอยู่ห่างไกลจากศูนย์อำนาจรัฐ และการทำงานในหลายโอกาสอาจพบพานกับอุปสรรคภยันตรายต่าง ๆ บ้าง แต่ที่นี่คือ “บ้าน” ผมจึงยังทำงานอยู่ที่นี่ ทุกวันนี้ผมมีความสุขกับงานที่ทำอยู่เสมอ...

Sunday, May 18, 2025

ขอเพียง…เราเห็นว่า เรายังเป็น “มนุษย์” เหมือนกัน

 วันนี้…

ผมได้มีโอกาส ได้รับเกียรติเป็นนายแบบสมัครเล่น ไปร่วมเดินแบบการกุศลในงานกาชาดจังหวัดนราธิวาส  ร่วมกับท่านผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ และข้าราชการจากอำเภอต่าง ๆ

ท่ามกลางบรรยากาศของรอยยิ้ม… และความหวัง



แม้เราจะต่างภาษา ต่างศาสนา หรือแม้แต่สีผิว

แต่มันก็ยังมีบางอย่างที่เหมือนกัน

“ผมเหมือนคุณ… และคุณก็เหมือนผม”

เราเหนื่อยมาด้วยกัน ผ่านทุกข์มาด้วยกัน และยังมีหวังร่วมกัน

ขอให้บทเพลงนี้

Maher Zain - Nas Teshbehlena

ปลอบประโลมหัวใจของคนชายแดนใต้ทุกคน

และเตือนใจว่า… เราไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทั้งหมดl

ขอเพียง…เราเห็นว่า เรายังเป็น “มนุษย์” เหมือนกัน

******************************************


Yes, among you, there are people like us

The same soul and blood

Our hearts rest instantly

With those who truly resemble us


The words are the same

Even the care is the same

A bond like this can never be forgotten

Not even for a single day


Even if our colors and looks are different

It still means I look just like you

And we’re brought together by

Beautiful things, definitely


Come on, let’s reach out our hands

Without saying a word

The most beautiful moments

Come to mind

Even when the burden feels like mountains

We forget it immediately


You and I…

Some people just bring you comfort instantly

They take your heart in silence

They steal you away without a word


Because within you,

There are pieces of them

In your life, they are few

Those who will stay with you tomorrow


Even when you disagree,

You’ll find yourselves agreeing

Even if our colors and looks are different

I still look just like you


And we’re brought together by

Beautiful things, definitely

Come on, let’s reach out our hands

Without saying a word


The most beautiful moments

Come to mind

Even when the burden feels like mountains

We forget it immediately


You and I…

No matter what we go through

It’s hard to feel joy

Unless it’s with you


Every sweet moment

Is made sweeter by being together

What in this world

Could compare to a moment with you?


As long as you’re by our side

What else matters?

We’ve always wished

To feel true happiness from the heart


Even if years separate us

Stay close

Because we could hardly believe

We finally found

People who are just like us

People who carry a part of us

******************************************

#ความเข้าใจในศาสนาและประวัติศาสตร์คือหนทางในการดับไฟใต้

#โตฮัน: #เสียงศรัทธาใต้สายลมโบราณแห่งแหลมมลายู

 #โตฮัน: #เสียงศรัทธาใต้สายลมโบราณแห่งแหลมมลายู



เหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดขึ้นและดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องมาอย่างยาวนานนับร้อยปีแล้ว


ในวันนี้…เมื่อเรามองไปยังปลายด้ามขวานของแผนที่ประเทศไทย ที่ชายแดนใต้ เราจะพบกับเรื่องราวที่เต็มไปด้วยบาดแผลและความเจ็บปวด


เสียงปืน เสียงระเบิด เสียงร้องไห้ของผู้คน

เป็นเสียงที่ลอยปะปนอยู่กับสายลมที่พัดผ่านนราธิวาส ยะลา และปัตตานี มาเนิ่นนาน


บางคนบอกว่านี่คือการต่อสู้เพื่ออัตลักษณ์ บ้างก็บอกว่านี่คือการก่อการร้าย (Terrorism)  


นักการทหารบอกว่า นี่เป็นรูปแบบหนึ่งของความขัดแย้งที่เรียกว่า “สงครามอสมมาตร (Asymmetric Warfare)”  เอ็นจีโอบางคนบอกว่านี่คือรอยแผลของประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยสมาน  


มีบางคนพยายามโยงให้เป็นเรื่องของความขัดแย้งทางศาสนา


แต่ไม่ว่ามุมมองไหน…ความจริงก็คือ ลูกหลานของดินแดนเดียวกัน กำลังหันอาวุธเข้าหากันเอง


ในวันที่ผู้คนลืมไปแล้วว่า…

ใต้ความต่างของภาษา ศาสนา หรือสายเลือดที่เขียนใหม่

พวกเขาเคยมีบรรพบุรุษร่วมกัน  พวกเขาเคยมีหัวใจเดียวกัน


ในความคิดของผม   ถ้าเราอยากเข้าใจหัวใจของนักสู้เหล่านั้นจริง ๆ  เราคงต้องถอยหลังกลับไปไกลกว่ายุคล่าอาณานิคม  ให้ไกลกว่าการประกาศเขตแดน ไกลกว่าการแบ่งเส้นศาสนา


เราต้องกลับไปดู…ถึงวิธีคิดถึงโลก วิธีมองชีวิตของปู่ย่าตายายรุ่นโบราณที่ยังไม่มีเส้นขีดแบ่งชาติพันธุ์บนแผ่นดิน


เราต้องกลับไปฟังเสียงกระซิบของศรัทธาเดิม

ศรัทธาที่เรียบง่าย  ศรัทธาที่ไม่มีใบหน้าชัดเจน

ศรัทธาที่เรียกขานสิ่งสูงสุดด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุดคำหนึ่งในโลกมลายูว่า


“#โตฮัน”


******************************************


เราคงจะลืมเลือนกันไปแล้ว ว่าก่อนที่ศาสนาใหญ่ ๆ จะเดินทางมาถึงที่นี่  ก่อนที่พระอินทร์ พระพรหม หรือแม้แต่อัลลอฮฺจะถูกเอ่ยนามในแผ่นดินนี้


คนรุ่นก่อนหน้าเราหลายพันปี

เขามีศรัทธาในศาสนาโบราณของเขาอยู่แล้ว


ย้อนกลับไป ราวศตวรรษที่ 1 ถึงศตวรรษที่ 6

ในพื้นที่กว้างไกลที่วันนี้คือ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง สตูล สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ต่อเนื่องลงไปถึง กลันตัน ตรังกานู ในมาเลเซีย และไกลออกไปถึง สุมาตราตอนเหนือ  มีผู้คนที่ดำรงชีวิตอย่างเรียบง่าย…อยู่กับทะเล ป่าเขา ลำน้ำ และท้องฟ้า


ในโลกของพวกเขา…

สิ่งสูงสุดที่พวกเขาเงยหน้ามอง และก้มหน้ากราบ…

ไม่ได้มีรูปร่างแบบที่เราเห็นในภาพวาดยุคหลัง

ไม่มีวัด ห้องโถง ไม่มีมหาเทวาลัย ไม่มีบทสวดที่ต้องท่องจำ


พวกเขาเรียกสิ่งนั้นง่าย ๆ ว่า “#โตฮัน”


******************************************


โตฮันของพวกเขา

ไม่ได้อยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้า

โตฮันอยู่ในสายฝนที่โปรยลงมาในวันที่ท้องนาแห้งผาก

อยู่ในลมเย็นที่พัดมาหลังพายุใหญ่

อยู่ในแม่น้ำที่หล่อเลี้ยงชีวิต

อยู่ในเงาของต้นไม้ใหญ่ที่ยืนต้นมานานกว่าชั่วอายุคน


มีแต่สายลมที่พัดเบา ๆ เหมือนกระซิบว่า


“ข้าอยู่กับเจ้าเสมอ ตั้งแต่เจ้าหัวเราะครั้งแรก จนถึงลมหายใจสุดท้ายของเจ้า”


******************************************


และเมื่อเราย้อนลงลึกไปกว่านั้น

จะพบว่าความเชื่อเรื่องโตฮัน ไม่ได้อยู่ลำพัง


โตฮัน…

คือสายเดียวกับที่ผู้คนในอุษาคเนย์เรียกขานว่า “แถน” หรือ “ผีฟ้า”  เป็นเทพเจ้าผู้สูงสุดบนฟากฟ้า


เป็นเสียงเดียวกับศรัทธาที่ไหลเวียนอยู่ในวัฒนธรรมของไท มลายู ลาว และเขมรโบราณ


คำว่า “โตฮัน” (Tuhan) ในภาษามลายู แปลว่า “เทวดาผู้ยิ่งใหญ่”  และในภาษามลายู–อินโดนีเซียโบราณ คำว่า “ปาริ” (pari) ก็หมายถึงเทวดาหรือวิญญาณนางไม้ เสียงนั้น…เมื่อเดินทางมาเป็นภาษาไทย  จึงกลายเป็นคำว่า “ผี” (phi) ที่เรารู้จักกันจนถึงทุกวันนี้


ในอดีตกาล  การบูชาผีฟ้า การฟ้อนลำผีฟ้า รวมถึงพิธีมะโย่งในคาบสมุทรมลายู ล้วนสะท้อนรากศรัทธาเดียวกันนี้


ศรัทธาที่ไม่เคยหายไป  แม้เวลาจะเปลี่ยนชื่อเสียงเรียกขานไปกี่ครั้งก็ตาม


******************************************


แล้ววันหนึ่ง…ศาสนาฮินดู–พุทธจากชมพูทวีปก็ค่อย ๆ เดินทางมาพร้อมเรือสินค้า


เริ่มจากปลายศตวรรษที่ 6 ต่อเนื่องถึงศตวรรษที่ 7 และ 8


เทพเจ้าที่มีรูปกายชัดเจน เริ่มมีบทบาทในตำนานที่เล่ากันใต้ต้นไม้  มีชื่อใหม่เกิดขึ้น — พระพรหม พระอินทร์ พระวิษณุ พระศิวะ


แต่ถึงกระนั้น…แก่นแท้ในหัวใจของผู้คนก็ยังไม่เปลี่ยน

โตฮันยังคงอยู่  แค่สวมเสื้อผ้าใหม่ แล้วเปลี่ยนชื่อเรียก


******************************************


อีกหลายร้อยปีต่อมา  ศาสนาอิสลามเดินทางมาถึงฝั่งมลายูในศตวรรษที่ 15  ด้วยเรือพ่อค้า ด้วยถ้อยคำที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง


“#ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺและมูฮัมมัดเป็นศาสนทูตของพระองค์”


คนที่เงยหน้ามองฟ้า ก้มหน้ากราบพื้นดินมาแต่โบราณ

ไม่ได้รู้สึกแปลกแยกกับถ้อยคำนี้ เพราะในหัวใจพวกเขา โตฮันที่อยู่ในสายลมและฝน ก็เป็นพระเจ้าที่ไม่มีรูป ไม่มีตัวตนอยู่แล้ว


“โตฮัน” เปลี่ยนนามใหม่…เป็น “อัลลอฮฺ”

ในบทสวดขอดุอาอฺที่ก้องอยู่ในมัสยิดยามรุ่งอรุณ


แต่สายลม ฝน และแผ่นดิน…ยังคงโอบอุ้มพวกเขาอยู่เหมือนเดิม


******************************************


#หมายเหตุ   บ้านลำธาร์ ตำบลโคกสัก อำเภอบางแก้ว จังหวัดพัทลุง  หมู่บ้านที่ผมเติบโตมา  ยังมีคำศัพท์ภาษามลายูหลงเหลืออยู่ในชีวิตประจำวันอีกหลายคำ


ผมรู้จักคำว่า “โตฮัน” ตั้งแต่ยังเด็ก  แต่ด้วยความเป็นเด็ก ด้วยความไม่รู้ จึงได้ยินแล้วออกเสียงเป็น “โต๊ะวัน” อย่างนั้นเอง — ซึ่งหมายถึงอัลลอฮฺ


จนเมื่อได้ศึกษาค้นคว้า จึงได้รู้ว่า… ”โต๊ะวัน“ ที่ผมได้ยินมาตั้งแต่เด็ก คือชื่อของเสียงกระซิบเบา ๆ ของศรัทธาโบราณที่ยังหายใจอยู่ในสายลมของชีวิตเราทุกคน


#ความเข้าใจในศาสนาและประวัติศาสตร์คือหนทางในการดับไฟใต้


******************************************


“ใต้สายหมอกที่โอบกอดผืนป่า และเหนือขอบฟ้าที่ทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุด โตฮันยังคงดำรงอยู่อย่างเงียบ ๆ พร้อมทุกชีวิตที่เติบโตบนแผ่นดินนี้”

วันนี้ที่ตันหยงลิมอ — มัสยิดแห่งความเข้าใจ (9 พ.ค.2568)

 วันนี้ที่ตันหยงลิมอ — มัสยิดแห่งความเข้าใจ (9 พ.ค.2568)



วันนี้…(9 พ.ค.2568) ผมชวนผู้ใต้บังคับบัญชาไปร่วมละหมาดวันศุกร์ที่ มัสยิดตันหยงลิมอ


มัสยิดแห่งนี้ตั้งอยู่ในหมู่บ้านที่หลายคนมองว่าเป็น “พื้นที่สีแดง”  แต่สำหรับผม  มันคือพื้นที่แห่งการสร้างความเข้าใจ และโอกาสที่จะได้เริ่มต้นบทสนทนาใหม่ ระหว่างตำรวจกับพี่น้องมุสลิม


ในปี 2548 ที่นี่เคยเกิดเหตุการณ์สะเทือนใจขึ้น

เมื่อนาวิกโยธิน 2 นายถูกประชาชนรุมทำร้ายจนเสียชีวิต


คนในพื้นที่เล่ากันว่า ความไม่เข้าใจกันระหว่างเจ้าหน้าที่กับชาวบ้านในช่วงเวลานั้น  ผสมกับข่าวลือ ความหวาดระแวง และความโกรธฝังลึกที่ไม่มีใครพูดออกมา  มันระเบิดออกมา…และทิ้งรอยแผลไว้ในความทรงจำของทั้งสองฝ่าย


ผมเองตั้งใจจะมาละหมาดที่นี่หลายครั้งแล้ว

แต่ด้วยภารกิจมากมาย จนวันนี้ถึงได้มีโอกาสมาด้วยหัวใจที่พร้อมจะรับฟัง


ก่อนละหมาด ผมให้น้องตำรวจที่เป็นมุสลิมเข้าไปประสานกับโต๊ะอิหม่าม  ท่านยิ้มและบอกว่า “ยินดีอย่างยิ่ง”  จากนั้นโต๊ะอิหม่ามก็ลุกขึ้นประกาศกับพี่น้องที่มาร่วมละหมาดว่า


“วันนี้มีผู้กำกับกีตอ (ผู้กำกับของเรา) มาร่วมละหมาดและจะพูดคุยกับพวกเราหลังละหมาด”


หลังจากคุตบะห์จบลง และเราละหมาดเสร็จ โต๊ะอิหม่ามส่งสัญญาณให้ผมลุกขึ้นพูด


ผมเริ่มต้นด้วยการแนะนำตัวแบบบ้าน ๆ

เล่าถึงความเป็นมาของนามสกุล “ยีหวังกอง”

ซึ่งเป็นสายเลือดลูกหลานแม่ทัพนายกองชาวมลายูจากรัฐตรังกานู


จากนั้นผมเล่าเรื่องภัยใกล้ตัว

เรื่องมิจฉาชีพที่โทรมาหลอกคนด้วยกลอุบายสารพัด ใช้ความโลภ  บางรายใช้เสียงข่มขู่ ใช้ความไม่รู้ของเหยื่อ ใช้ความรัก  บางรายถึงกับสร้างอารมณ์หลอกลวงทางเพศ  เพื่อหวังผลประโยชน์ หลอกให้เราโอนเงิน และได้ไปซึ่งทรัพย์สิน


ผมเล่าว่าพวกเราไม่อยากให้ใครในพื้นที่ต้องตกเป็นเหยื่อของพวกมิจฉาชีพเหล่านี้อีกต่อไป


จากนั้นผมก็เล่าเรื่องดี ๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นที่ สภ.ระแงะ

เราเพิ่งได้รับตำรวจรุ่นใหม่มาอีก 22 นาย

และทั้งหมดนี้ — คือลูกหลานชาวมลายู ที่เติบโตขึ้นมาเพื่อรับใช้บ้านเกิดของตน


หลายคนทำหน้าสงสัย


ผมจึงขยายความว่า

ในจำนวนนี้ มี มลายูมุสลิม อยู่ 6 นาย

ที่เหลือเป็น ไทยพุทธ อีก 16 นาย

ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดพัทลุง สงขลา ตรัง และจังหวัดอื่น ๆ อีกหลายจังหวัดในภาคใต้


ผมอธิบายต่อว่า พวกเขาเหล่านี้คือลูกหลาน ชาวมลายูพุทธ จากอาณาจักรมลายูโบราณศรีวิชัย ที่ถูกกลืนกลายเป็นไทยพุทธ ตลอดระยะเวลาหลายร้อยปีในประวัติศาสตร์ของแหลมมลายู


ชาวมลายูพุทธ บางกลุ่มถูกรวมเข้ากับวัฒนธรรมสยาม จนกลายเป็น “ไทยพุทธ” ในวันนี้


ส่วน มลายูมุสลิม ในพื้นที่อื่น ๆ แม้จะรักษาศรัทธาไว้ได้  แต่ก็ต้องแลกกับการสูญเสียอัตลักษณ์ ภาษามลายูดั้งเดิมไป


ผมเพียงจะสื่อว่า


เราเคยเป็นหนึ่งเดียวกันมาก่อน และเราก็สามารถกลับมาเข้าใจกันได้อีก


ก่อนจะจบ ผมพูดเบา ๆ ว่า


มีสถานที่ราชการ 2 แห่งที่คนมักจะไม่อยากไป ก็คือ

“โรงพัก” กับ “โรงพยาบาล”  เพราะไปทีไรก็มักจะ “ซาเก๊ะปาลอ” (แปลว่า “ปวดหัว” หมายถึง มีเรื่องวุ่นวาย ปัญหาจุกจิก) ให้ทุกข์ใจ


แต่วันนี้…ผู้กำกับพาลูกหลานมลายูมาร่วมละหมาด  เพื่อให้พี่น้องได้เห็นหน้า ได้รู้จัก ได้พูดคุยกันไว้


และผมทิ้งท้ายว่า


หากวันหน้าเกิดอะไรขึ้น…ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ต้องกลัว

ตำรวจระแงะ พร้อมรับใช้ทุกคนด้วยหัวใจ และความเข้าใจ


#ความเข้าใจในศาสนาและประวัติศาสตร์คือหนทางในการดับไฟใต้

RevolverMap