“#รัฐปัตตานีที่อ้างว่าเคยอิสระ — #อิสระจริงหรือ?”
วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 เวลา 19.45 น.
เกิดเหตุคนร้ายไม่ทราบจำนวน ใช้รถจักรยานยนต์ 3 คันเป็นพาหนะ บุกใช้อาวุธปืนกราดยิงเข้าไปภายในบ้านเลขที่ 1/3 หมู่ที่ 5 ตำบลโฆษิต อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส
ผู้เสียชีวิตมี 3 ราย ได้แก่
- นายดำ จันทร์คง อายุ 70 ปี
- ด.ญ.สสิดา จันทร์คง อายุ 9 ปี
- นายแดง ตุนาสุข อายุ 58 ปี
ผู้บาดเจ็บอีก 2 รายคือ
- นายภาคีไนย รังเสาร์ อายุ 29 ปี
- นายเชาว์ จันทร์คง อายุ 44 ปี
เหตุการณ์ความรุนแรงนี้ สะท้อนผลกระทบจาก ความคิดสุดโต่งที่หยิบใช้ประวัติศาสตร์เป็นเครื่องมือบิดเบือนและปลุกปั่นความเกลียดชัง
ในฐานะอดีตผู้กำกับการ สภ.ตากใบ ซึ่งเคยดูแลพื้นที่นี้ด้วยหัวใจ ผมไม่อาจเงียบได้เมื่อเห็นครอบครัวชาวบ้านต้องสูญเสียผู้เฒ่าและเด็กหญิงในคืนเดียวกัน
ความสูญเสียนี้เกิดขึ้นเพราะคนบางกลุ่มยังคงยึดถือความเชื่อว่า “รัฐปัตตานีเคยเป็นรัฐอิสระที่ถูกยึดครองโดยสยาม” และใช้แนวคิดนั้นเป็นข้ออ้างในการสร้างความชอบธรรมต่อความรุนแรง
แต่หากเราศึกษาประวัติศาสตร์อย่างจริงจัง จะพบว่าความเชื่อนี้ไม่ได้ตั้งอยู่บนข้อเท็จจริงที่ครบถ้วน
ก่อนจะมีคำว่า “รัฐปัตตานี” ในความหมายแบบรัฐสมัยใหม่ ดินแดนแถบนี้เคยอยู่ภายใต้อิทธิพลของศรีวิชัย นครศรีธรรมราช สุโขทัย อยุธยา และต่อเนื่องสู่รัตนโกสินทร์ เป็นหัวเมืองที่มีระบบบรรณาการ มีเจ้าเมืองที่ได้รับการแต่งตั้งจากส่วนกลาง และมีบทบาทร่วมในภารกิจปกป้องแผ่นดินไทย
พระยาราชบังสัน(หะซัน) โอรสองค์เล็กองค์สุลต่านสุไลมาน ชาห์ แห่งซิงกอรา เป็นหนึ่งในหลักฐานสำคัญว่า “ชาวมลายูมุสลิม” สายราชวงศ์มลายูบางสาย
ไม่ได้ถูกลิดรอนอำนาจ แต่ได้รับเกียรติจากราชสำนักให้ทำหน้าที่ปกป้องบ้านเมือง ท่านเป็นแม่ทัพเรือแห่งกรุงศรีอยุธยา
พระยาพัทลุง ขุนคางเหล็ก (เดิมเป็นมุสลิม) ลูกหลานสุลต่านสุไลมาน ชาห์ อีกท่านหนึ่ง (ท่านเป็นเหลนโต๊ะสูของพระยาราชบังสัน (หะซัน)) พระสหายคนสนิทของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของผู้นำจากแดนใต้ที่มีบทบาทในการกู้ชาติจากพม่าและร่วมสร้างความมั่นคงให้แผ่นดินสยาม
บุคคลเหล่านี้ไม่ได้ถูก “กลืนกลาย” หากแต่ ร่วมเป็นเจ้าของแผ่นดิน โดยมีความเชื่อ ศาสนา และอัตลักษณ์ของตนเองอย่างมั่นคง
การหยิบคำว่า “อัตลักษณ์มลายูมุสลิม” มาใช้เป็นเครื่องมือในการแยกตนออกจากความเป็นไทย จึงไม่ใช่การปกป้องรากเหง้า หากคือการ บั่นทอนมรดกของบรรพชนที่เคยเสียสละเพื่อผืนแผ่นดินนี้
และยิ่งน่าเศร้า…เมื่อความคิดแบบนั้นแปรเปลี่ยนมาเป็นกระสุน ที่ปลิดชีพเด็กหญิง 9 ขวบไปต่อหน้าต่อตาญาติพี่น้องของเธอ
ชายแดนใต้ต้องการสันติสุข ไม่ใช่การตอกย้ำความแค้นโดยใช้ประวัติศาสตร์ที่ถูกตีความแบบด้านเดียว
สิ่งที่เราต้องการวันนี้ไม่ใช่ “รัฐใหม่”
แต่คือ ความเข้าใจใหม่ — ที่ไม่บิดเบือนความจริงของชาติพันธุ์ ศาสนา และประวัติศาสตร์ร่วม
เพราะสุดท้าย…ผู้ที่รักแผ่นดินนี้จริง ย่อมไม่เหนี่ยวไกปืนใส่เด็กไร้เดียงสาในบ้านของตัวเอง
******************************************
โดย พ.ต.อ.ศุภชัช (ยีหวังกอง) ณ พัทลุง ผกก.สภ.ระแงะ | อดีต ผกก.สภ.ตากใบ
#ความเข้าใจในศาสนาและประวัติศาสตร์คือหนทางในการดับไฟใต้
No comments:
Post a Comment