Leh in my memory...

As we are entering the new era, where nations are becoming one community, I, as well as my PTI 27th session’s member friends have the mutual vision that we, and other friends of the Asia-Pacific nations, will become closer than ever.
ยินดีต้อนรับสู่โลกใบเล็กของผม โลกของคนทำงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ชีวิตในวัยเด็กผมเคยใฝ่ฝันอยากจะเป็นสถาปนิก แต่เมื่อยามต้องเลือกทางเดินของชีวิต ผมกลับเลือกที่จะสวมเครื่องแบบสีกากี โดยสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารเหล่าตำรวจ หลังสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ผมเลือกลงบรรจุรับราชการในตำแหน่งพนักงานสอบสวนที่อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี ชีวิตราชการวนเวียนโยกย้ายอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตลอดมา ถึงแม้จะอยู่ห่างไกลจากศูนย์อำนาจรัฐ และการทำงานในหลายโอกาสอาจพบพานกับอุปสรรคภยันตรายต่าง ๆ บ้าง แต่ที่นี่คือ “บ้าน” ผมจึงยังทำงานอยู่ที่นี่ ทุกวันนี้ผมมีความสุขกับงานที่ทำอยู่เสมอ...

Sunday, May 4, 2025

รอยยิ้มสุดท้ายของ “น้องเมย์”

 

รอยยิ้มสุดท้ายของ “น้องเมย์”

เช้าวันที่ 10 กันยายน 2567  เรายืนกันอยู่ใต้ชายคาบ้านเก่าๆ ในหมู่บ้านปลักปลา ตำบลโฆษิต อำเภอตากใบ

ท่ามกลางสภาพบ้านที่ขัดสน แต่กลับมีรอยยิ้มเล็กๆ จากเด็กหญิงคนหนึ่ง

“น้องเมย์” เด็กหญิงผิวคล้ำ ใบหน้าน่ารัก และดวงตาใสแจ่ม (ยืนหันหลัง)

เธอเอาแต่ยิ้ม ไม่พูด…ไม่ตอบ

เพราะน้องพิการทางการได้ยินและการพูดมาตั้งแต่กำเนิด


วันนั้น ผมมีโอกาสติดตามไปกับคณะของท่าน ว่าที่ ร.ต.จิรัสย์ ศิริวัลลภ นายอำเภอตากใบ ในขณะนั้น (ปัจจุบันท่านดำรงตำแหน่งปลัดจังหวัดปัตตานี) ไปเยี่ยมเยียนชาวบ้านตามปกติ โดยมีหมอน๊อต สาธารณสุขอำเภอตากใบ และ ทีม รพ.สต.โคกยาง เป็นผู้นำพาไป

ท่านนายอำเภอเห็นว่าเด็กคนนี้ไม่ควรตกหล่นจากระบบการศึกษา

หมอน็อต และเจ้าหน้าที่พยายามพูดคุยกับครอบครัว ช่วยกันโน้มน้าว พูดเกลี้ยกล่อมด้วยความเมตตาและความหวัง  สุดท้าย… “น้องเมย์” ได้ไปเข้าเรียนที่ศูนย์การศึกษาพิเศษตากใบ  ซึ่งอยู่ในพื้นที่โรงพยาบาลตากใบเอง


ไม่นานนัก ครูประจำศูนย์ก็แจ้งข่าวดีว่า

น้องมีพัฒนาการ เริ่มยิ้มมากขึ้น เริ่มรู้จักตอบสนอง และเรียนรู้มากขึ้น

พวกเราเอง…ก็ดีใจเงียบๆ  มันเหมือนต้นกล้าเล็กๆ ที่เพิ่งได้รับแสงแดดแรกของชีวิต


แต่แล้ว…

วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 เวลา 19.45 น.

เสียงปืนจากคนใจร้ายได้พรากทุกอย่างไป

“น้องเมย์” หรือ เด็กหญิงสสิดา จันทร์คง อายุ 9 ปี

เสียชีวิตในบ้านของตนเอง พร้อมปู่และญาติอีกหนึ่งราย

เธอกลายเป็นเหยื่อของเหตุความไม่สงบที่ไร้สำนึก

ไม่มีเวลาแม้แต่จะร้องขอชีวิต — เพราะเธอไม่อาจได้ยินเสียงปืนเลยด้วยซ้ำ

เด็กหญิงที่ไม่เคยพูด… ถูกพรากไปก่อนที่จะได้พูดคำว่า “ครู” หรือ “แม่”


ภาพถ่ายเมื่อวันนั้น — วันที่เราเคยยืนอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน

กลายเป็นภาพสุดท้ายของการพบกัน

เด็กที่ไม่เคยทำร้ายใคร  กลับต้องมารับเคราะห์จากความเชื่อที่บิดเบี้ยว

ที่แยกคนออกจากกันด้วยเส้นแบ่งเขตของชาติพันธุ์ ศาสนา หรืออุดมการณ์ปลอมๆ

หากสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “การต่อสู้เพื่ออัตลักษณ์ หรืออุดมการณ์“

กลับลงเอยด้วยการยิงใส่เด็กหญิงคนหนึ่งในบ้านของเธอเอง


เราอาจต้องทบทวนแล้วว่า ”อัตลักษณ์ หรืออุดมการณ์“ นั้นยังมีความเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่ไหม

No comments:

Post a Comment

RevolverMap