วันนี้ที่ตันหยงลิมอ — มัสยิดแห่งความเข้าใจ (9 พ.ค.2568)
วันนี้…(9 พ.ค.2568) ผมชวนผู้ใต้บังคับบัญชาไปร่วมละหมาดวันศุกร์ที่ มัสยิดตันหยงลิมอ
มัสยิดแห่งนี้ตั้งอยู่ในหมู่บ้านที่หลายคนมองว่าเป็น “พื้นที่สีแดง” แต่สำหรับผม มันคือพื้นที่แห่งการสร้างความเข้าใจ และโอกาสที่จะได้เริ่มต้นบทสนทนาใหม่ ระหว่างตำรวจกับพี่น้องมุสลิม
ในปี 2548 ที่นี่เคยเกิดเหตุการณ์สะเทือนใจขึ้น
เมื่อนาวิกโยธิน 2 นายถูกประชาชนรุมทำร้ายจนเสียชีวิต
คนในพื้นที่เล่ากันว่า ความไม่เข้าใจกันระหว่างเจ้าหน้าที่กับชาวบ้านในช่วงเวลานั้น ผสมกับข่าวลือ ความหวาดระแวง และความโกรธฝังลึกที่ไม่มีใครพูดออกมา มันระเบิดออกมา…และทิ้งรอยแผลไว้ในความทรงจำของทั้งสองฝ่าย
ผมเองตั้งใจจะมาละหมาดที่นี่หลายครั้งแล้ว
แต่ด้วยภารกิจมากมาย จนวันนี้ถึงได้มีโอกาสมาด้วยหัวใจที่พร้อมจะรับฟัง
ก่อนละหมาด ผมให้น้องตำรวจที่เป็นมุสลิมเข้าไปประสานกับโต๊ะอิหม่าม ท่านยิ้มและบอกว่า “ยินดีอย่างยิ่ง” จากนั้นโต๊ะอิหม่ามก็ลุกขึ้นประกาศกับพี่น้องที่มาร่วมละหมาดว่า
“วันนี้มีผู้กำกับกีตอ (ผู้กำกับของเรา) มาร่วมละหมาดและจะพูดคุยกับพวกเราหลังละหมาด”
หลังจากคุตบะห์จบลง และเราละหมาดเสร็จ โต๊ะอิหม่ามส่งสัญญาณให้ผมลุกขึ้นพูด
ผมเริ่มต้นด้วยการแนะนำตัวแบบบ้าน ๆ
เล่าถึงความเป็นมาของนามสกุล “ยีหวังกอง”
ซึ่งเป็นสายเลือดลูกหลานแม่ทัพนายกองชาวมลายูจากรัฐตรังกานู
จากนั้นผมเล่าเรื่องภัยใกล้ตัว
เรื่องมิจฉาชีพที่โทรมาหลอกคนด้วยกลอุบายสารพัด ใช้ความโลภ บางรายใช้เสียงข่มขู่ ใช้ความไม่รู้ของเหยื่อ ใช้ความรัก บางรายถึงกับสร้างอารมณ์หลอกลวงทางเพศ เพื่อหวังผลประโยชน์ หลอกให้เราโอนเงิน และได้ไปซึ่งทรัพย์สิน
ผมเล่าว่าพวกเราไม่อยากให้ใครในพื้นที่ต้องตกเป็นเหยื่อของพวกมิจฉาชีพเหล่านี้อีกต่อไป
จากนั้นผมก็เล่าเรื่องดี ๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นที่ สภ.ระแงะ
เราเพิ่งได้รับตำรวจรุ่นใหม่มาอีก 22 นาย
และทั้งหมดนี้ — คือลูกหลานชาวมลายู ที่เติบโตขึ้นมาเพื่อรับใช้บ้านเกิดของตน
หลายคนทำหน้าสงสัย
ผมจึงขยายความว่า
ในจำนวนนี้ มี มลายูมุสลิม อยู่ 6 นาย
ที่เหลือเป็น ไทยพุทธ อีก 16 นาย
ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดพัทลุง สงขลา ตรัง และจังหวัดอื่น ๆ อีกหลายจังหวัดในภาคใต้
ผมอธิบายต่อว่า พวกเขาเหล่านี้คือลูกหลาน ชาวมลายูพุทธ จากอาณาจักรมลายูโบราณศรีวิชัย ที่ถูกกลืนกลายเป็นไทยพุทธ ตลอดระยะเวลาหลายร้อยปีในประวัติศาสตร์ของแหลมมลายู
ชาวมลายูพุทธ บางกลุ่มถูกรวมเข้ากับวัฒนธรรมสยาม จนกลายเป็น “ไทยพุทธ” ในวันนี้
ส่วน มลายูมุสลิม ในพื้นที่อื่น ๆ แม้จะรักษาศรัทธาไว้ได้ แต่ก็ต้องแลกกับการสูญเสียอัตลักษณ์ ภาษามลายูดั้งเดิมไป
ผมเพียงจะสื่อว่า
เราเคยเป็นหนึ่งเดียวกันมาก่อน และเราก็สามารถกลับมาเข้าใจกันได้อีก
ก่อนจะจบ ผมพูดเบา ๆ ว่า
มีสถานที่ราชการ 2 แห่งที่คนมักจะไม่อยากไป ก็คือ
“โรงพัก” กับ “โรงพยาบาล” เพราะไปทีไรก็มักจะ “ซาเก๊ะปาลอ” (แปลว่า “ปวดหัว” หมายถึง มีเรื่องวุ่นวาย ปัญหาจุกจิก) ให้ทุกข์ใจ
แต่วันนี้…ผู้กำกับพาลูกหลานมลายูมาร่วมละหมาด เพื่อให้พี่น้องได้เห็นหน้า ได้รู้จัก ได้พูดคุยกันไว้
และผมทิ้งท้ายว่า
หากวันหน้าเกิดอะไรขึ้น…ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ต้องกลัว
ตำรวจระแงะ พร้อมรับใช้ทุกคนด้วยหัวใจ และความเข้าใจ
#ความเข้าใจในศาสนาและประวัติศาสตร์คือหนทางในการดับไฟใต้
No comments:
Post a Comment