ในบางคืนที่ไฟยังลุกโชน เสียงปืนในภาคใต้ยังกึกก้อง
เรามักได้ยินคำอธิบายจากผู้ก่อเหตุว่า พวกเขาต่อสู้เพื่อ “ชาติ ศาสนา และมาตุภูมิ”
โดยมีคำว่า “มลายูมุสลิม” เป็นแกนกลางของอุดมการณ์ และวาทกรรมที่ถูกย้ำซ้ำจนกลายเป็นความเชื่อหนึ่งเดียว คือ “สยามคือผู้รุกราน ปัตตานีคือผู้ถูกยึดครอง”
แต่เมื่อเราย้อนกลับไปยังหน้าประวัติศาสตร์ของแหลมมลายู ที่บันทึกไว้ด้วยเลือดและดิน เราจะพบความจริงบางอย่างที่แตกต่างจากวาทกรรมในสนามรบสมัยใหม่อย่างสิ้นเชิง
******************************************
#อาเจะห์กับไทรบุรี — #เลือดมลายูที่ไม่เคยปรองดอง
ปี ค.ศ. 1619 อาณาจักรอาเจะห์ ซึ่งขณะนั้นคือรัฐมุสลิมที่เข้มแข็งที่สุดในภูมิภาค
ได้ยกทัพบกและกองเรือเข้าตีไทรบุรี (Kedah) อย่างโหดร้าย
เมืองหลวงถูกเผา ราชวงศ์ถูกจับไปเป็นเชลย ชาวบ้านนับหมื่นถูกกวาดต้อน
แม้ทั้งสองรัฐจะเป็นมุสลิม พูดภาษามลายู และมีวัฒนธรรมร่วมกัน
แต่สิ่งที่แยกพวกเขาออกจากกันไม่ใช่ศาสนา — มันคือ “อำนาจ”
นี่ไม่ใช่เหตุการณ์เดียวในประวัติศาสตร์ที่รัฐมลายูรบราฆ่าฟันกันเอง
ยะโฮร์ กับอาเจะห์, ปัตตานี กับตรังกานู, หรือแม้แต่มะละกากับกลันตัน ล้วนมีช่วงเวลาแห่งการขัดแย้ง
บางครั้งเป็นสงคราม บางครั้งเป็นการลอบสังหาร บางครั้งคือการทรยศพันธมิตร
และหากเรามองมาถึงศตวรรษที่ 20–21 ความขัดแย้งเช่นนี้ก็ยังไม่จางหาย
ดั่งที่อาเจะห์เคยต่อสู้ยืดเยื้อกับรัฐบาลกลางมาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 — จากการต้านจักรวรรดิดัตช์ สู่การลุกขึ้นต่อต้านรัฐบาลอินโดนีเซียในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ด้วยอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดนที่ยังตกผลึกอย่างเหนียวแน่น
แม้จะเป็นมุสลิมทั้งสองฝ่าย แต่ด้วยปัจจัยเรื่องอัตลักษณ์ ทรัพยากร และความไม่เป็นธรรม
ขบวนการ “อาเจะห์เสรี” (GAM) จึงถือกำเนิดขึ้นในปี 1976 พร้อมกองกำลังติดอาวุธ รัฐบาลเงา
และแนวทางการเคลื่อนไหวทางการทูตกับต่างประเทศ
กระทั่งก่อนเกิดสึนามิปี 2547 อาเจะห์ยังคงเป็นพื้นที่ขัดแย้งระดับสูง
ที่แม้แต่คำว่า “อุมมะฮฺ” ก็ไม่อาจทำให้ทั้งสองฝ่ายหยุดยิงได้
ความเป็น “มลายูมุสลิม” ไม่เคยการันตีความเป็นหนึ่งเดียว
และความเป็น “อิสลาม” ก็ไม่เคยเป็นเกราะป้องกันไม่ให้คนที่หันหน้าไปทาง “กิบลัต” เดียวกัน ต้องถืออาวุธเข้าหากัน
******************************************
#กรอบอาณาจักรสมัยใหม่ #กับมายาคติของรัฐชาติ
ก่อนยุคจักรวรรดินิยม ดินแดนต่าง ๆ ไม่ได้มีเส้นเขตแดนตายตัวแบบในแผนที่วันนี้ รัฐมลายูในอดีต เช่น ปัตตานี, ไทรบุรี, ยะโฮร์, เปรัก, อาเจะห์ ต่างก็แย่งชิงกันเพื่อความเป็นใหญ่ในภูมิภาค บางรัฐยอมเป็นประเทศราช บางรัฐหันไปหาจีนหรืออินเดีย บางรัฐแสวงหาอาวุธจากออตโตมัน
ทั้งหมดคือการเล่นเกมการเมืองเพื่อความอยู่รอด ไม่ใช่เพราะใคร “ถูกรุกราน” อย่างเดียว
เมื่อกรุงศรีอยุธยาเข้ามามีบทบาท ก็เป็นเพียงอีกผู้เล่นหนึ่งในกระดาน
ไม่ได้ต่างจากดัตช์ อังกฤษ หรืออาเจะห์
หลายครั้งรัฐมลายูเองก็ขอพึ่งอำนาจสยาม เพื่อคานกับรัฐมลายูอื่น
ไทรบุรีเคยขอให้กรุงเทพฯ ช่วยรบกับพม่า
ตรังกานูเคยส่งทูตเข้าเฝ้าขอรับการคุ้มครอง
และปัตตานีเองก็เคยเข้าร่วมทัพกับสยามในการศึกบางคราว
******************************************
#วาทกรรมแห่งความเจ็บปวด #หรือภาพจำที่เลือกเอง?
แน่นอนว่า ในประวัติศาสตร์ ก็มีเหตุการณ์ที่ฝ่ายสยามใช้กำลังและความรุนแรงเข้าปราบรัฐมลายูทางใต้ มีการกวาดต้อนผู้คนขึ้นไปภาคกลาง และมีร่องรอยของความเจ็บปวดที่ไม่ควรถูกละเลย (ปู่ย่าตายายของผู้เขียนก็อยู่ในกระแสธารแห่งประวัติศาสตร์ส่วนนี้)
แต่หากเราจะสร้างอนาคตบนฐานของความเข้าใจจริง เราต้องกล้ายอมรับว่า…
ไม่เคยมีรัฐใดบริสุทธิ์ ไม่เคยมีใครเป็นเหยื่อแห่งความอธรรมอยู่ฝ่ายเดียว
และไม่มีใครเป็นผู้รุกรานตลอดกาล
******************************************
#คำถามสุดท้าย…#ที่ไม่ใช่เพียงของประวัติศาสตร์
หาก “ชาติ ศาสนา และมาตุภูมิ” คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริง
คำถามคือ — ทำไมบรรพบุรุษของรัฐมลายูถึงเคยทำสงครามกันเองโดยไม่ลังเล?
หากคำว่า “มลายูมุสลิม” มีอำนาจเหนือความเป็นมนุษย์
ทำไมสุลต่านแห่งอาเจะห์ถึงสามารถจับสุลต่านแห่งไทรบุรีไปเป็นเชลย
ทั้งที่ต่างก็ละหมาดหันหน้าไปทางเดียวกัน?
******************************************
#ในท้ายที่สุด…
สิ่งที่เราควรต่อสู้ในวันนี้ อาจไม่ใช่การปลดแอกจาก “รัฐไทย”
แต่คือการปลดแอกจาก มายาคติและประวัติศาสตร์ที่เลือกจำ
เพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้เห็นว่า
แผ่นดินนี้ไม่เคยเป็นของใครคนใดคนหนึ่งอย่างแท้จริง
และ…
ไม่มีศาสนาใด…จะชอบใจในเลือดที่หลั่งลง โดยใช้อุดมการณ์เป็นข้ออ้าง
#ความเข้าใจในศาสนาและประวัติศาสตร์คือหนทางในการดับไฟใต้
No comments:
Post a Comment