Leh in my memory...

As we are entering the new era, where nations are becoming one community, I, as well as my PTI 27th session’s member friends have the mutual vision that we, and other friends of the Asia-Pacific nations, will become closer than ever.
ยินดีต้อนรับสู่โลกใบเล็กของผม โลกของคนทำงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ชีวิตในวัยเด็กผมเคยใฝ่ฝันอยากจะเป็นสถาปนิก แต่เมื่อยามต้องเลือกทางเดินของชีวิต ผมกลับเลือกที่จะสวมเครื่องแบบสีกากี โดยสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารเหล่าตำรวจ หลังสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ผมเลือกลงบรรจุรับราชการในตำแหน่งพนักงานสอบสวนที่อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี ชีวิตราชการวนเวียนโยกย้ายอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตลอดมา ถึงแม้จะอยู่ห่างไกลจากศูนย์อำนาจรัฐ และการทำงานในหลายโอกาสอาจพบพานกับอุปสรรคภยันตรายต่าง ๆ บ้าง แต่ที่นี่คือ “บ้าน” ผมจึงยังทำงานอยู่ที่นี่ ทุกวันนี้ผมมีความสุขกับงานที่ทำอยู่เสมอ...

Tuesday, May 6, 2025

“เลือดเดียวกันยังฆ่ากันเอง” — วาทกรรมชาติพันธุ์ กับความจริงในประวัติศาสตร์มลายู

ในบางคืนที่ไฟยังลุกโชน เสียงปืนในภาคใต้ยังกึกก้อง

เรามักได้ยินคำอธิบายจากผู้ก่อเหตุว่า พวกเขาต่อสู้เพื่อ “ชาติ ศาสนา และมาตุภูมิ”

โดยมีคำว่า “มลายูมุสลิม” เป็นแกนกลางของอุดมการณ์  และวาทกรรมที่ถูกย้ำซ้ำจนกลายเป็นความเชื่อหนึ่งเดียว คือ “สยามคือผู้รุกราน ปัตตานีคือผู้ถูกยึดครอง”

แต่เมื่อเราย้อนกลับไปยังหน้าประวัติศาสตร์ของแหลมมลายู ที่บันทึกไว้ด้วยเลือดและดิน  เราจะพบความจริงบางอย่างที่แตกต่างจากวาทกรรมในสนามรบสมัยใหม่อย่างสิ้นเชิง

******************************************

#อาเจะห์กับไทรบุรี — #เลือดมลายูที่ไม่เคยปรองดอง

ปี ค.ศ. 1619 อาณาจักรอาเจะห์ ซึ่งขณะนั้นคือรัฐมุสลิมที่เข้มแข็งที่สุดในภูมิภาค

ได้ยกทัพบกและกองเรือเข้าตีไทรบุรี (Kedah) อย่างโหดร้าย

เมืองหลวงถูกเผา ราชวงศ์ถูกจับไปเป็นเชลย ชาวบ้านนับหมื่นถูกกวาดต้อน

แม้ทั้งสองรัฐจะเป็นมุสลิม พูดภาษามลายู และมีวัฒนธรรมร่วมกัน

แต่สิ่งที่แยกพวกเขาออกจากกันไม่ใช่ศาสนา — มันคือ “อำนาจ”

นี่ไม่ใช่เหตุการณ์เดียวในประวัติศาสตร์ที่รัฐมลายูรบราฆ่าฟันกันเอง

ยะโฮร์ กับอาเจะห์, ปัตตานี กับตรังกานู, หรือแม้แต่มะละกากับกลันตัน ล้วนมีช่วงเวลาแห่งการขัดแย้ง

บางครั้งเป็นสงคราม บางครั้งเป็นการลอบสังหาร บางครั้งคือการทรยศพันธมิตร

และหากเรามองมาถึงศตวรรษที่ 20–21 ความขัดแย้งเช่นนี้ก็ยังไม่จางหาย

ดั่งที่อาเจะห์เคยต่อสู้ยืดเยื้อกับรัฐบาลกลางมาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 — จากการต้านจักรวรรดิดัตช์ สู่การลุกขึ้นต่อต้านรัฐบาลอินโดนีเซียในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ด้วยอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดนที่ยังตกผลึกอย่างเหนียวแน่น

แม้จะเป็นมุสลิมทั้งสองฝ่าย แต่ด้วยปัจจัยเรื่องอัตลักษณ์ ทรัพยากร และความไม่เป็นธรรม

ขบวนการ “อาเจะห์เสรี” (GAM) จึงถือกำเนิดขึ้นในปี 1976 พร้อมกองกำลังติดอาวุธ รัฐบาลเงา

และแนวทางการเคลื่อนไหวทางการทูตกับต่างประเทศ

กระทั่งก่อนเกิดสึนามิปี 2547 อาเจะห์ยังคงเป็นพื้นที่ขัดแย้งระดับสูง

ที่แม้แต่คำว่า “อุมมะฮฺ” ก็ไม่อาจทำให้ทั้งสองฝ่ายหยุดยิงได้

ความเป็น “มลายูมุสลิม” ไม่เคยการันตีความเป็นหนึ่งเดียว

และความเป็น “อิสลาม” ก็ไม่เคยเป็นเกราะป้องกันไม่ให้คนที่หันหน้าไปทาง “กิบลัต” เดียวกัน ต้องถืออาวุธเข้าหากัน

******************************************

#กรอบอาณาจักรสมัยใหม่ #กับมายาคติของรัฐชาติ

ก่อนยุคจักรวรรดินิยม ดินแดนต่าง ๆ ไม่ได้มีเส้นเขตแดนตายตัวแบบในแผนที่วันนี้ รัฐมลายูในอดีต เช่น ปัตตานี, ไทรบุรี, ยะโฮร์, เปรัก, อาเจะห์  ต่างก็แย่งชิงกันเพื่อความเป็นใหญ่ในภูมิภาค  บางรัฐยอมเป็นประเทศราช บางรัฐหันไปหาจีนหรืออินเดีย บางรัฐแสวงหาอาวุธจากออตโตมัน

ทั้งหมดคือการเล่นเกมการเมืองเพื่อความอยู่รอด ไม่ใช่เพราะใคร “ถูกรุกราน” อย่างเดียว

เมื่อกรุงศรีอยุธยาเข้ามามีบทบาท ก็เป็นเพียงอีกผู้เล่นหนึ่งในกระดาน

ไม่ได้ต่างจากดัตช์ อังกฤษ หรืออาเจะห์

หลายครั้งรัฐมลายูเองก็ขอพึ่งอำนาจสยาม เพื่อคานกับรัฐมลายูอื่น

ไทรบุรีเคยขอให้กรุงเทพฯ ช่วยรบกับพม่า

ตรังกานูเคยส่งทูตเข้าเฝ้าขอรับการคุ้มครอง

และปัตตานีเองก็เคยเข้าร่วมทัพกับสยามในการศึกบางคราว

******************************************

#วาทกรรมแห่งความเจ็บปวด #หรือภาพจำที่เลือกเอง?

แน่นอนว่า ในประวัติศาสตร์ ก็มีเหตุการณ์ที่ฝ่ายสยามใช้กำลังและความรุนแรงเข้าปราบรัฐมลายูทางใต้   มีการกวาดต้อนผู้คนขึ้นไปภาคกลาง  และมีร่องรอยของความเจ็บปวดที่ไม่ควรถูกละเลย (ปู่ย่าตายายของผู้เขียนก็อยู่ในกระแสธารแห่งประวัติศาสตร์ส่วนนี้)

แต่หากเราจะสร้างอนาคตบนฐานของความเข้าใจจริง  เราต้องกล้ายอมรับว่า…

ไม่เคยมีรัฐใดบริสุทธิ์ ไม่เคยมีใครเป็นเหยื่อแห่งความอธรรมอยู่ฝ่ายเดียว

และไม่มีใครเป็นผู้รุกรานตลอดกาล

******************************************

#คำถามสุดท้าย…#ที่ไม่ใช่เพียงของประวัติศาสตร์

หาก “ชาติ ศาสนา และมาตุภูมิ” คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริง

คำถามคือ — ทำไมบรรพบุรุษของรัฐมลายูถึงเคยทำสงครามกันเองโดยไม่ลังเล?

หากคำว่า “มลายูมุสลิม” มีอำนาจเหนือความเป็นมนุษย์

ทำไมสุลต่านแห่งอาเจะห์ถึงสามารถจับสุลต่านแห่งไทรบุรีไปเป็นเชลย

ทั้งที่ต่างก็ละหมาดหันหน้าไปทางเดียวกัน?

******************************************

#ในท้ายที่สุด…

สิ่งที่เราควรต่อสู้ในวันนี้ อาจไม่ใช่การปลดแอกจาก “รัฐไทย”

แต่คือการปลดแอกจาก มายาคติและประวัติศาสตร์ที่เลือกจำ

เพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้เห็นว่า

แผ่นดินนี้ไม่เคยเป็นของใครคนใดคนหนึ่งอย่างแท้จริง

และ…

ไม่มีศาสนาใด…จะชอบใจในเลือดที่หลั่งลง โดยใช้อุดมการณ์เป็นข้ออ้าง


#ความเข้าใจในศาสนาและประวัติศาสตร์คือหนทางในการดับไฟใต้

No comments:

Post a Comment

RevolverMap