Leh in my memory...

As we are entering the new era, where nations are becoming one community, I, as well as my PTI 27th session’s member friends have the mutual vision that we, and other friends of the Asia-Pacific nations, will become closer than ever.
ยินดีต้อนรับสู่โลกใบเล็กของผม โลกของคนทำงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ชีวิตในวัยเด็กผมเคยใฝ่ฝันอยากจะเป็นสถาปนิก แต่เมื่อยามต้องเลือกทางเดินของชีวิต ผมกลับเลือกที่จะสวมเครื่องแบบสีกากี โดยสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารเหล่าตำรวจ หลังสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ผมเลือกลงบรรจุรับราชการในตำแหน่งพนักงานสอบสวนที่อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี ชีวิตราชการวนเวียนโยกย้ายอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตลอดมา ถึงแม้จะอยู่ห่างไกลจากศูนย์อำนาจรัฐ และการทำงานในหลายโอกาสอาจพบพานกับอุปสรรคภยันตรายต่าง ๆ บ้าง แต่ที่นี่คือ “บ้าน” ผมจึงยังทำงานอยู่ที่นี่ ทุกวันนี้ผมมีความสุขกับงานที่ทำอยู่เสมอ...

Tuesday, December 6, 2011

สถานการณ์ใน อ.บันนังสตา

IMG_9164

ผมได้รับการแต่งตั้งจาก ศชต.ให้มาดำรงตำแหน่ง รอง ผกก.ป.สภ.บันนังสตา จนถึงตอนนี้เหลืออีกเพียง 4 วัน ก็จะครบ 11 เดือนแล้ว เวลาช่างรวดเร็วเหลือเกิน  การทำงานที่ผ่านมาได้ร่วมกับ พ.ต.อ.สุวัตต์ วงค์ไพบูลย์ ผกก.สภ.บันนังสตา พ.ต.ท.เจริญ ธรรมขันธ์ รอง ผกก.สส.สภ.บันนังสตา ทำงานมวลชนออกไปพบปะเยี่ยมเยียนประชาชนตามหมู่บ้าน มัสยิดต่าง ๆ ร่วมกิจกรรมกับประชาชน ตลอดจนได้ร่วมกันคลี่คลายคดีสำคัญ ๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่หลายคดี 

อาทิ คดีฆาตกรรมท้องที่บ้านบือซู ต.บันนังสตา ซึ่งสามารถจับนายอพันธ์ดี กะโด ผู้ต้องหาได้ สาเหตุจากเรื่องส่วนตัวซึ่งเกี่ยวพันกับคดีความไม่สงบก่อนหน้านี้   คดีฆ่าผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านท้องที่บ้านแอร้อง ก็สามารถจับกุมพ่อค้ายาบ้าพร้อมลูกน้อง ได้ 2 คน สาเหตุจากผู้ช่วยฯ ไปขัดขวางขบวนการค้ายาบ้ากลุ่มนี้   ไปจนถึงเหตุการณ์สำคัญ เมื่อ 4 พ.ค. 2554 ที่มีกลุ่มคนร้ายใช้รถยนต์กระบะเป็นยานพาหนะกราดยิงร้านน้ำชา และบ้านเรือนประชาชนท้องที่บ้านกาโสด ต.บันนังสตา มีผู้เสียชีวิต จำนวน 4 คน  และได้รับบาดเจ็บอีกเกือบ 20 คน  ก่อนที่เหตุการณ์จะลุกลามบานปลายใหญ่โต ก็สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวน 4 คน เป็นพี่น้องไทยพุทธ จาก อ.ธารโต จ.ยะลา ซึงมีสาเหตุจากความโกรธแค้นจากเหตุการณ์ความไม่สงบที่มีชาว อ.ธารโต ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิต ในท้องที่ ต.บาเจาะ อ.บันสตา ก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่วัน

ล่าสุด เมื่อ 4 ธ.ค. 2554 เวลาประมาณ 18.40 น. ที่ผ่านมา เกือบจะมีเหตุฆาตกรรมเกิดขึ้นอีก 1 ราย  แต่เดชะบุญที่ จนท. ได้ล่วงรู้เหตุการณ์ก่อน จึงได้ร่วมกันจับกุมกลุ่มขบวนการค้ายาเสพติด ได้จำนวน 6 คน  พร้อมอาวุธปืนพกสั้น จำนวน 2 กระบอก และรถยนต์จำนวน  1 คัน ขณะเข้ามาข่มขู่ประชาชนในพื้นที่ 

จากการสอบสวนปากคำได้ข้อมูลที่น่าตกใจว่า ทั้ง 6 คน มีภูมิลำเนาต่างกัน 6 พื้นที่ ประกอบกำลังเป็นชุดเฉพาะกิจ (ฉก.) เกี่ยวกับยาเสพติด ดังนี้  

11 - 1

  1. นายมะสะกรี สะนิ อายุ 31 ปี มาจาก ต.ตุยง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี  
  2. นายมะรอวี ยะโกะ อายุ 19 ปี มาจาก ต.ท่าเรือ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี
  3. นายกูวันชัย ขะเดถาวร อายุ 43 ปี มาจาก ต.มะรือโบตก อ.ระแงะ จ.นราธิวาส
  4. นายอามรี สะมะแอ อายุ 27 ปี มาจาก ต.ปะกาฮะรัง อ.เมือง จ.ปัตตานี
  5. นายอับดุลเลาะ แวสนิ อายุ 30 ปี มาจาก ต.กาบัง อ.กาบัง จ.ยะลา
  6. นายอับดุลเลาะห์ เลาะสุหลง อายุ 37 ปี มาจาก ต.ธารคีรี อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา

ทั้งหมดมีภูมิลำเนาต่างท้องที่กัน  ได้รับคำสั่งจากนายมะ ไม่ทราบนามสกุล ซึ่งปัจจุบันถูกจำคุกอยู่ที่เรือนจำสงขลา  ให้มาทวงหนี้ค่ายาบ้าเป็นเงิน 400,000 บาทจากนายอาหามะยูดิง กูเต๊ะ  หากทวงไม่ได้ก็ฆ่าเสียให้ตาย ขณะเกิดเหตุ กลุ่มคนร้ายทั้ง 6 คน พร้อมอาวุธปืนได้บุกรุกเข้าไปในบ้านของผู้เสียหาย เพื่่อทวงหนี้ค่ายาบ้า   แต่ผู้เสียหายไหวตัวทันวิ่งออกทางหลังบ้านหนีไปหลบซ่อนตัวอยู่ในป่า และโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจาก จนท.ตำรวจ  จนกระทั่งต่อมา จนท.สามารถควบคุมตัวผู้ต้องหาไว้ได้ ทั้ง 6 คน

นอกจากนี้ ยังมีเหตุฆาตกรรมเกิดขึ้นอีกหลายครั้ง ซึ่งเมื่อสืบสวนลึกลงไปแล้วก็กลับพบว่ามีมูลเหตุมาจากความขัดแย้งในเรื่องยาเสพติดเป็นส่วนใหญ่ แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า เหตุการณ์ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกจากจะมีปัญหาการแบ่งแยกดินแดนเป็นฐานรากแล้ว สิ่งที่ช่วยกระหน่ำซ้ำเติมสถานการณ์ให้รุนแรงขึ้นอีกทางหนึงก็คือ “ปัญหายาเสพติด”

Wednesday, November 16, 2011

ผู้ช่วยทูตฝ่ายตำรวจ (Minister Counsellor (Police Liaison))

เล่าสู่กันฟังครับ....
image
เรามักจะเคยชินและได้ยินชื่อตำแหน่ง ผู้ช่วยฑูตทหารบก เรือ อากาศ อยู่บ่อยครั้ง   แต่ความจริงแล้วในปัจจุบัน มีตำแหน่งผู้ช่วยฑูตฝ่ายตำรวจด้วยครับ... 


ปัจจุบัน มีตำรวจที่ทำหน้าที่ผู้ช่วยฑูตฝ่ายตำรวจ ประจำอยู่ใน 4 เมืองใหญ่ของประเทศมาเลเซีย ประกอบด้วย กรุงกัวลาลัมเปอร์  รัฐกลันตัน รัฐเกอดะห์  และรัฐตรังกานู  ส่วนประเทศอื่น ๆ เข้าใจว่า ยังไม่มี


ย้อนกลับไปที่ผู้ช่วยฑูตทหาร  ผู้ช่วยทูตฯ เป็นผู้แทน กองทัพ ของประเทศ ที่แสดงการสนับสนุน หรือยอมรับกองทัพของประเทศเจ้าบ้านว่าเป็นกองทัพที่เป็นเพื่อนกัน เป็นนัยเดียวกันกับการที่คู่ประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกัน คือการยอมรับในความเป็นเอกราชของกันและกัน สนับสนุนซึ่งกันและกัน ซึ่ง ต่างฝ่ายต่างจะจัดตั้ง หรือ เปิดสถานเอกอัครราชทูต แลกเปลี่ยนกัน
ตำแหน่งผู้ช่วยฑูตทางทหาร มีชื่อในภาษาอังกฤษ ดังนี้
"Defence Attache" เป็นคำเรียกผู้แทนทางทหารของ กองทัพ หรือ ของ กระทรวงกลาโหม (ของไทย เป็นคำเรียกผู้แทนทางทหารของ กองบัญชาการทหารสูงสุด) เรียกเป็นภาษาไทยว่า ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหาร หรือเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า ผู้ช่วยทูตทหาร หรือ ทูตทหาร


"Army Attache" เป็นคำเรียกผู้แทนทางทหารของ กองทัพบก เรียกเป็นภาษาไทยว่า ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารบก หรือเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า ผู้ช่วยทูตทหารบก หรือ ทูตทหารบก
"Naval Attache" เป็นคำเรียกผู้แทนทางทหารของ กองทัพเรือ เรียกเป็นภาษาไทยว่า ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารเรือ หรือเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า ผู้ช่วยทูตทหารเรือ หรือ ทูตทหารเรือ
"Air Attache" เป็นคำเรียกผู้แทนทางทหารของ กองทัพอากาศ เรียกเป็นภาษาไทยว่า ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารอากาศ หรือเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า ผู้ช่วยทูตทหารอากาศ หรือ ทูตทหารอากาศ


ส่วนผู้ช่วยฑูตฝ่ายตำรวจ ใช้คำว่า..."Minister Counsellor (Police Liaison)" ใช้คำในภาษาไทยว่า "อัครราชฑูตที่ปรึกษา (ฝ่ายตำรวจ)”  เรียกง่าย ๆ ว่า “นายตำรวจประสานงาน”  ทำหน้าที่ประสานงานเกี่ยวกับอาชญากรรมหรือคดีอาญาที่เกิดขึ้นระหว่างประเทศนั่นเอง
แม้ว่า ตำแหน่งทางการฑูตของตำรวจจะจำกัดอยู่เฉพาะใน 4 เมืองหลักของมาเลเซีย  แต่ในอนาคต ผมเชื่อว่าน่าจะมีการขยายตำแหน่งผู้ช่วยฑูตฝ่ายตำรวจครอบคลุมกลุ่มประเทศอาเซียน เพื่อรองรับ "ประชาคมอาเซียน" ที่จะเกิดขึ้นในปี 2558

ปัจจุบัน ตำแหน่ง ผู้ช่วยฑูตฝ่ายตำรวจ หรือ นายตำรวจประสานงานนั้น เป็นตำแหน่งหน้าที่อยู่ในสังกัดกองบัญชาการตำรวจสันติบาล ครับ

Monday, November 14, 2011

ตำแหน่งทางการทูต (1) - ผู้ช่วยทูตฝ่ายตำรวจ ?

วันพุธที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๔
นิติภูมิ นวรัตน์

image

ฤหัสบดีที่ 1 ก.พ. เวลา 19.00 น. เป็นต้นไป นักวิชาการชั้นสูงชาวญวนทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติ ณ กรุงฮานอย 18 ท่าน จะมาเยี่ยมเยียนนั่งทานอาหารบนพื้นหญ้าหน้าบ้านนิติภูมิที่หมู่บ้านเลคการ์เดน เขตลาดกระบัง โดยมี ศ.ดร.เหงียน มินห์ เคียต เป็นหัวหน้าคณะ

น้องคนไหนอยากไปเรียนเวียดนาม หรือใครที่เป็นแฟนเคยอ่านตำราของ ศ.ดร.เหงียน วัน แข็ง, ดร.เหงียน ง็อก แถง, ศ.ดร.ดิ่ง วัน ดึก, ดร.ห่า วัน ดึก, ศ.ดร.หม่า ง็อก จู, ดร.ฮวง ฮ่ง, ดร.เหงียน ฉิ หัว, ดร.ดิ่ง จุง เขียน, ดร.วิ วัน เขียน, ดร.เหงียน ตวน เกียท, ดร.วู หัว ฟาง, ศ.เล มัว หาน, ศ.ดร.เหงียน เตือน ไล, ดร.จิ๋ง ทิ ทึก ฯลฯ ก็ขอเชิญไปนั่งทานเหล้าอีสาน คุยกับศาสตราจารย์ชั้นยอดของญวนได้ โทรศัพท์นัดไปก่อนที่ (02) 318–6480–1 คุยฟรี ดื่มฟรีไม่เสียสตางค์นะครับ

เมื่อวาน นิติภูมิพูดถึงการตายและหายตัวอย่างลึกลับของอีเกอร์ อาคีมอฟ, อีเกอร์ มาเกเยฟ และเซรเกย์ ตาลาซอฟ ทั้งหมดมีการศึกษาดี มีตำแหน่งสูง และพูดภาษาไทยได้ยอดเยี่ยม ผมจบตบท้ายคอลัมน์ของเมื่อวานว่า เมื่อไรไทยจะ 1. มีผู้ช่วยทูตฝ่ายตำรวจ 2. เลิกส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบโง่ๆ โดยให้วีซ่าออนอะไรวัล และ 3. มี ตม.ที่รู้เรื่องของโลกอย่างแท้จริง เสียที

เรื่องผู้ช่วยทูตฝ่ายตำรวจเนี่ย ไม่ได้หมายความว่าจะต้องมีทุกประเทศนะครับ เลือกส่งเฉพาะประเทศที่คนของเขาเข้ามาเมืองเราแล้วมีปัญหา เช่น บังกลาเทศ จีน อินเดีย พม่า ปากีสถาน ศรีลังกา รัสเซีย และแอฟริกาใต้ และก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องไปแย่งงานของกองการตำรวจสากลทำ ที่ต้องใช้ตำแหน่งผู้ช่วยทูตฝ่ายการตำรวจ ก็เพราะต้องการอำนาจที่จะไปติดต่อขอข้อมูลจากประเทศต่างๆ

เรื่องตำแหน่งในคณะทูตานุทูตนี่ก็เคยมีผู้อ่านท่านสอบถามมาเหมือนกัน ขอถือโอกาสนี้เล่ารับใช้ไปซะเลยว่า ผู้แทนทางการทูตลำดับแรก ที่เป็นหัวหน้าของสถานเอกอัครราชทูตนั้น ท่านเรียกกันสั้นๆว่า แอมแบสซะดอร์ ทูตผู้หญิงบางทีก็มีคนเรียกว่า แอมแบสซะดริส หรือ เอกอัครราชทูต ก็มี

สมัยก่อนท่านทูตคนไหนได้ไปประจำประเทศ ก็จะเขียนตำแหน่งต่อท้ายว่า “สามัญ” หรือ ออร์ดินะรี ordinary ส่วนคนไหนถูกส่งไปเพียงปฏิบัติหน้าที่พิเศษ ก็จะเขียนอักษรตัวเล็กหน่อยห้อยท้ายว่า “วิสามัญ” หรือ อิคซ์ทรอดินะรี extraordinary แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีความแตกต่างระหว่างเอกอัครราชทูตแล้ว คนไหนๆชั่วคราวหรือประจำ ท่านก็ใส่ข้างท้ายชื่อว่า อิคซ์ทรอดินะรี ทั้งนั้น

ผู้อ่านหลายท่านเคยปรารภว่า เอกอัครราชทูตไทยที่ชอบขายอาคารสถานทูตเดิม และไปสร้างสถานทูตใหม่ ท่านว่าใครทำอย่างนี้มีคอมมิชชันดีกันทุกคน อยากถามนิติภูมิว่า เหล่าทูตท่านมีอำนาจในการขายทรัพย์สมบัติของชาติกันไหม?

อ๊าย! ท่านมาถามอะไรกับไอ้ขี้ทูต ความรู้กิ๊กก๊อกของผมซึ่งเรียนการทูตระดับปริญญาตรีที่รามคำแหง รู้แต่เพียงว่าถ้าเอกอัครราชทูตคนไหนมีคำพ่วงท้ายว่า เพลนนิพะเทนเชียริ หรือ plenipotentiary ที่แปลว่า ผู้มีอำนาจเต็ม ท่านก็มีอำนาจเต็มที่ในการเจรจาทางการทูต  ตามปกติ  ใดๆได้ทั้งนั้น

แต่ถ้าจะให้มีการเจรจา + ลงนามในสนธิสัญญาได้ ท่านทูตจำเป็นจะต้องมีอำนาจเต็มเป็นพิเศษ แฮ่ๆ นิติภูมิเป็นแค่ขี้ทูต ไม่ใช่ศาล ผมว่ามีสิทธิ์หรือไม่มีให้ศาลท่านชี้ขาดดีกว่าไหมครับ อย่ามาถามนิติภูมิเลย

เคยมีเฮียชวนไปนั่งหาอะไรทานกับท่านรัฐมนตรีของบางประเทศ ไปถึงผมก็เรียนว่า อาเฮียครับ คนนี้ท่านไม่ได้เป็นรัฐมนตรีนะ คำว่า minister  มินนิสเทอะ น่ะ แปลได้ตั้งหลายอย่าง รัฐมนตรีก็ได้ อัครราชทูตก็ดี หรือจะเป็นพระบางนิกายในศาสนาคริสต์ก็ใช้กัน มินนิสเทอะตามนามบัตรนี้ แปลว่า อัครราชทูต ต่างหาก

สถานทูตเป็นแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุด ผู้อ่านท่านที่สนใจในกิจการต่างประเทศ จึงจำเป็นต้องทราบตำแหน่งในคณะทูตานุทูตเพื่อเอาไปไว้ใช้ในการติดต่อ

คณะทูตานุทูตที่ประจำอยู่ในเมืองหลวงของประเทศต่างๆ จะประกอบด้วย หัวหน้าคณะ ที่เรียกว่า เอกอัครราชทูตและเจ้าหน้าที่ทางการทูต

เบอร์หนึ่งของสถานทูต ก็คือ เอกอัครราชทูต จากนั้นก็จะเป็นเจ้าหน้าที่ทางการทูต ซึ่งมี Minister มินนิสเทอะ ที่หมายถึง อัครราชทูต รองลงไปก็คือ Minister Counselor มินนิสเทอะ เคาเซิลเลอะ ก็คือ อัครราชทูตที่ปรึกษา แล้วก็มาถึงตำแหน่ง Counselor เคาเซิลเลอะ หรือที่ปรึกษา ซึ่งจะมีคนเดียวหรือหลายคนก็ได้

จากนั้นก็ไปพวกเลขานุการ แต่ละสถานทูตจะมีเลขานุการเอก โท และตรี พวกนี้ที่กล่าวมาทั้งหมด ส่วนใหญ่เป็นข้าราชการสังกัดกระทรวงการต่างประเทศ

ยังไม่ทันหมดคณะ ก็หมดหน้ากระดาษซะก่อนแล้วครับ

วันหน้ามาว่ากันต่อ ทำไมจึงถึงต้องมีผู้ช่วยทูตฝ่ายตำรวจ ?

Friday, September 23, 2011

เสียงจากชาวบ้าน-อดีตแนวร่วม-ผู้นำศาสนา...ไม่ปักใจ "แก๊งค้ายา" เบื้องหลังบึมโก-ลก

clip_image001
ที่มา: สำนักข่าวอิศรา
สำนักข่าวอิศรา รายงานว่า หลังเหตุระเบิดครั้งรุนแรงที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ดูเหมือนฝ่ายทางการจะให้ข้อมูลตรงกันทั้งทหารและตำรวจว่า เป็นฝีมือของขบวนการค้ายาเสพติดที่ปฏิบัติการตอบโต้รัฐ ทั้งยังโหมกระแสว่าขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่เคลือนไหวอยู่ในพื้นที่และเชื่อว่าอยู่เบื้องหลังเหตุรุนแรงตลอดกว่า 7 ปีที่ผ่านมานั้น แท้ที่จริงแล้วมีส่วนเกี่ยวพันกับกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดอย่างแยกไม่ออก
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ว่าที่เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) พูดชัดว่ามีหลักฐานยืนยันว่ากลุ่มแบ่งแยกดินแดนกับกลุ่มค้ายาใช้คนชุดเดียวกันในการก่อเหตุรุนแรง
ขณะที่ พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 ก็ให้ข้อมูลสอดรับกันว่า สถานการณ์ความไม่สงบในขณะนี้มีสาเหตุจาก “ภัยแทรกซ้อน” คือกลุ่มอิทธิพลมืด ค้ายาเสพติด น้ำมันเถื่อน และสินค้าเถื่อนมากถึง 80% ส่วนสาเหตุจากการแบ่งแยกดินแดนจริงๆ มีเพียง 20% เท่านั้น
แต่ทั้งหมดนั้น โดยเฉพาะการโหมกระแสช่วงหลังเหตุการณ์ “บอมบ์โก-ลก” เป็นข้อมูลจากฝ่ายรัฐเพียงด้านเดียว ฉะนั้นน่าจะลองฟังความเห็นของประชาชนในพื้นที่จริงๆ บ้างว่าพวกเขาคิดเหมือนกับเจ้าหน้าที่รัฐหรือเปล่า
หลายประเด็นที่ "คนพื้นที่" หยิบขึ้นมาพูดหรือตั้งข้อสังเกตนับว่าน่าสนใจ แม้จะมองเป็นเรื่องความรู้สึก ไม่ได้มีข้อมูลหลักฐานเอกสารประกอบเหมือนเจ้าหน้าที่รัฐก็ตาม แต่ความรู้สึกเหล่านี้สำคัญอย่างยิ่งในสงครามแย่งชิงมวลชน
น่าสังเกตว่าภายใต้สถานการณ์ร้ายที่กลายเป็นฝุ่นตลบอบอวลอยู่ที่ชายแดนใต้นั้น มีข้อมูลจากบางฝ่ายยืนยันชัดว่าไม่ใช่เรื่องแบ่งแยกดินแดนอย่างเดียว แต่หลายเหตุการณ์เป็นเรื่องส่วนตัว อีกหลายเหตุการณ์เป็นประเด็นขัดแย้งและขัดผลประโยชน์กันของการเมืองท้องถิ่น และแน่นอนหลายกรณีเป็นเรื่องยาเสพติด
แต่คำถามก็คือเหตุใดเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงจำนวนกว่าครึ่งแสนที่อยู่ในพื้นที่จึงไม่สามารถสกัดกั้นได้ นั่นหมายถึงรัฐคุมพื้นที่ไม่ได้จริงใช่หรือไม่ และช่องโหว่ช่องว่างเหล่านั้นทำให้เกิดการใช้ความรุนแรงกันได้อย่างเสรีไม่ต่างอะไรกับดินแดน “มิคสัญญี” ใช่หรือเปล่า
นี่ต่างหากคือโจทย์ข้อใหญ่ที่รัฐต้องเร่งตอบให้ชาวบ้านหายคาใจ!
ผู้นำศาสนา : ยาเสพติดไม่ใช่ปัจจัยหลักหนุนขบวนการ
โต๊ะอิหม่ามรายหนึ่งจาก จ.ยะลา กล่าวว่า จุดแข็งของขบวนการแบ่งแยกดินแดนคือบอกว่าทำเพื่อศาสนา ซึ่งศาสนาอิสลามไม่ถูกกับคนที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดอยู่แล้ว ฉะนั้นจึงไม่น่าเป็นไปได้ที่กลุ่มแบ่งแยกดินแดนจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติดโดยตรง แต่ถ้าเป็นการสนับสนุนทางการเงินบางส่วนก็อาจเป็นไปได้
       “อย่างที่หลายฝ่ายรู้ว่ากลุ่มแนวร่วมในพื้นที่ถูกหลอกลวง มีการบิดเบือนศาสนาและปลุกระดม เพราะฉะนั้นการที่กลุ่มแบ่งแยกดินแดนอาจรับเงินสนับสนุนจากกลุ่มค้ายาเสพติดก็มีความเป็นไปได้ เพราะขนาดการปลุกระดมเพื่อดึงแนวร่วมเข้าขบวนการยังบิดเบือนศาสนาได้ เรื่องเอาเงินจากที่ไหนมาคงง่ายที่จะทำ"
อย่างไรก็ตาม อิหม่ามรายนี้ไม่เชื่อว่าเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นทั้งหมดหรือส่วนใหญ่ในพื้นที่เกิดจากกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่จับมือกับกลุ่มผู้ค้ายาเสพติด
       “การก่อเหตุแต่ละครั้งไม่ใช่ง่ายๆ เจ้าหน้าที่รัฐอยู่ในพื้นที่เยอะแยะ ผมเชื่อว่ามันมีอะไรซับซ้อนมากกว่าที่กลุ่มแบ่งแยกดินแดนกับกลุ่มยาเสพติดทำ ยิ่งช่วงนี้กำลังอยู่ระหว่างโยกย้ายข้าราชการ โดยเฉพาะข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ด้วย”
อิหม่ามจาก จ.ยะลา บอกด้วยว่า ปัญหาการแบ่งแยกดินแดนไม่ได้ขยายตัวเพราะยาเสพติด เพราะในพื้นที่นี้มีปัญหาชาวบ้านถูกละเมิดสิทธิ์ ไม่ได้รับความเป็นธรรม และรู้สึกไม่ดีกับรัฐ ตรงนั้นต่างหากที่เป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้คนไหลเข้าขบวนการ และรัฐยังไม่ได้แก้ไขเลย ฉะนั้นรัฐไม่ควรพุ่งเป้าหรือโหมกระแสไปที่ยาเสพติดเรื่องเดียว
ภรรยาผู้ต้องขัง : ต่างฝ่ายต่างก่อเหตุ
ภรรยาผู้ต้องขังคดีความมั่นคง บอกว่า ไม่อยากเชื่อสิ่งที่รัฐพยายามโหมกระแสอยู่ในขณะนี้ว่าเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เกี่ยวโยงกับเรื่องยาเสพติด และขบวนการค้ายาเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินให้กับกลุ่มก่อความไม่สงบที่มีอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดน
       “แม้เหตุการณ์จะเกิดขึ้นเยอะฉันก็ยังไม่อยากเชื่อ เพราะในพื้นที่มีทหารอยู่เต็มไปหมด แต่ยังมีเหตุเกิดขึ้นได้ ถ้าเป็นฝีมือกลุ่มค้ายาจริงๆ ก็ต้องมีเจ้าหน้าที่มาช่วย เพราะการเคลื่อนย้ายระเบิดหรืออาวุธเข้าไปก่อเหตุต้องผ่านด่านตรวจของเจ้าหน้าที่ก่อน”
       “ส่วนตัวคิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นลักษณะแต่ละกลุ่มต่างก็ก่อเหตุกันเอง กลุ่มยาเสพติดก็ก่อเหตุไป เมื่อมีคนขวางก็ทำ ส่วนกลุ่มแบ่งแยกดินแดนก็ก่อเหตุไปเช่นกัน กลุ่มผลประโยชน์ในพื้นที่ก็ก่อเหตุไป นี่ยังไม่นับที่ว่าเจ้าหน้าที่ก่อเองอีกนะ มันจึงทำให้เหตุรุนแรงในบ้านเราเยอะ ชาวบ้านเชื่อกันอย่างนั้น แต่เจ้าหน้าที่มักพูดทุกครั้งว่าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเพราะกลุ่มแบ่งแยกดินแดนทำ โดยมีกลุ่มยาเสพติดสนับสนุน มันเป็นไปไม่ได้”
ภรรยาผู้ต้องขังคดีความมั่นคง ให้ข้อมูลด้วยว่า ในพื้นที่ยังมีปัญหาความไม่เป็นธรรมมากมาย ชาวบ้านเดือดร้อนแต่ไม่มีใครช่วย อย่างเวลาเกิดเหตุรุนแรงและเจ้าหน้าที่ต้องการตัวคนร้าย ก็มากวาดจับเอาไปโดยใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ (อาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548) แล้วค่อยเลือกว่าคนไหนใช่ คนไหนไม่ใช่
       “แม้สุดท้ายคนที่ไม่ใช่จะได้รับการปล่อยตัว แต่ก็ต้องเสียเวลา ถูกจับขังเป็นเดือนๆ บางคนมีหนี้นอกระบบ พอสามีถูกจับก็ไม่มีเงินจ่าย เจ้าหนี้ก็มายึดโน่นยึดนี่ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจริงและไม่มีใครรู้ น่าสงสารมาก รัฐเองเหมือนยิ่งซ้ำเติม”
อดีตแนวร่วม : ไม่เชื่อขบวนการรับเงินแก๊งค้ายา
ด้านอดีตแนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดนซึ่งเคยเคลื่อนไหวในพื้นที่ จ.ยะลา ให้ความเห็นว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่กลุ่มขบวนการจะรับเงินสนับสนุนจากผู้ค้ายาเสพติด เพราะไม่มีเหตุผลที่กลุ่มขบวนการจะต้องรับเงิน เนื่องจากเป็นการต่อสู้เชิงอุดมการณ์ เพื่อศาสนา ต้องสะอาดบริสุทธิ์เท่านั้น ไม่ใช่เอาบาปหรือสิ่งไม่ดีมาปะปนให้สิ่งดีๆ สกปรกไปด้วย
       “จริงๆ ทุกวันนี้กลุ่มแยกดินแดนแทบไม่ต้องก่อเหตุเอง แค่นั่งมองเฉยๆ ก็มีชื่อติดเป็นผู้ก่อเหตุแล้ว เพราะรัฐให้น้ำหนักมาที่กลุ่มเดียว ทั้งๆ ที่ในพื้นที่นี้ยังมีอะไรอีกมากมาย แค่พวกกำนันผู้ใหญ่บ้านที่มีอิทธิพลขัดผลประโยชน์กันแล้วก่อเหตุรุนแรงเพื่อจัดการอีกฝ่ายก็กลายเป็นเรื่องของการก่อความไม่สงบ กลายเป็นว่ากลุ่มแบ่งแยกดินแดนเก่ง แม้ทหารอยู่เต็มพื้นที่ก็ก่อเหตุได้ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรเท่าไหร่เลย”
ฝ่ายปกครอง : กอ.รมน.ภาค 4 อย่าด่วนสรุป
ขณะที่ข้าราชการฝ่ายปกครองระดับสูงรายหนึ่งซึ่งปฏิบัติงานอยู่ใน จ.ยะลา กล่าวว่า เหตุรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้อาจมีบางเหตุการณ์ที่เกิดจากเรื่องยาเสพติด แต่ไม่ใช่ทั้งหมดหรือส่วนใหญ่อย่างที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) กำลังพยายามให้ข่าวอยู่ในขณะนี้
       “ผมคิดว่าเราไปฟันธงขนาดนั้นไม่ได้ เพราะปัญหาภาคใต้ต้องดูหลายองค์ประกอบ ไม่ใช่แค่ห่วงเก้าอี้แล้วรีบพูดออกไป ฉะนั้นคนอื่นมองอย่างไรผมไม่ทราบ แต่ไม่ใช่เรื่องยาเสพติดทั้งหมดแน่นอน”
คนมาเลย์ : รัฐไทยต้องแก้ความไม่เป็นธรรม
ด้านความเห็นของชาวมาเลเซีย นายอับดุลรอมาน อิบราเฮม กล่าวว่า เหตุรุนแรงครั้งล่าสุดที่ อ.สุไหงโก-ลก น่ากลัวมาก และมีชาวมาเลย์เสียชีวิตด้วย ทำให้คิดว่าเขาและครอบครัวคงไม่กล้ามาเที่ยวประเทศไทยอีกแล้ว
       “ความรุนแรงที่ยืดเยื้อทำให้อะไรๆ เปลี่ยนไปมาก เมื่อก่อนคนทางบ้านผมจะส่งลูกหลานมาเรียนปอเนาะที่สามจังหวัดกันเยอะ แต่พอเกิดเหตุการณ์รุนแรงบ่อยครั้งเข้าก็ไม่มีใครส่งมาอีกเลย ยิ่งคราวนี้ระเบิดที่สุไหงโก-ลกมีชาวมาเลเซียเสียชีวิตด้วย ย่อมกระทบความรู้สึกของคนมาเลย์มากยิ่งขึ้นไปอีก”
นายอับดุลรอมาน กล่าวด้วยว่า เท่าที่รับฟังจากญาติซึ่งอาศัยอยู่ในสามจังหวัด ทราบว่าพื้นที่ชายแดนใต้มีปัญหาหลายอย่าง ไม่ใช่แค่แบ่งแยกดินแดนเท่านั้น แต่ยังมีปัญหาเจ้าหน้าที่ไม่ให้ความเป็นธรรม เอารัดเอาเปรียบประชาชนด้วย ซึ่งเป็นจุดที่ผมเห็นว่ารัฐบาลไทยต้องเร่งแก้ ไม่อย่างนั้นปัญหาจะบานปลายต่อไป

Thursday, September 22, 2011

เครือข่ายยาเสพติด-ผู้มีอิทธิพล เอี่ยวเหตุรุนแรง 3 จังหวัดชายแดนใต้

หน่วยงานความมั่นคงในภาคใต้ ขยายผลตรวจค้นยาเสพติด และปราบปรามการค้าน้ำมันเถื่อน หลังพบว่าเป็นเครือข่าย ที่มีความเชื่อมโยง สนับสนุนการก่อเหตุไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

พล.ต.จตุพร กลัมพสุต ผู้อำนวยการกองข่าว กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เปิดเผยว่า การตรวจสอบของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า พบว่า กลุ่มค้ายาเสพติด, กลุ่มค้าน้ำมันเถื่อน เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยทำหน้าที่สนับสนุนการก่อเหตุ และมีกลุ่มผู้มีอิทธิพล และนักการเมืองในพื้นที่บางคนร่วมด้วย ทำให้ต้องใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดในการปราบปราม

ส่วนการปราบปรามยาเสพติดตามชายแดนไทย-มาเลเซีย ขณะนี้ตำรวจน้ำ ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่รัฐเคดาห์ ประเทศมาเลเซีย ตรวจสอบน่านน้ำลังกาวี เพื่อกวาดล้างยาเสพติด และสิ่งผิดกฎหมาย หลังพบว่า เครือข่ายยาเสพติดตามแนวชายแดนภาคใต้ มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้กระทำผิดหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มค้ามนุษย์ , กลุ่มค้าอาวุธเถื่อน และกลุ่มค้าสินค้าหนีภาษี โดยเฉพาะให้ความสนับสนุนกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบของพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ซึ่งได้รับความร่วมมือจากทางการมาเลเซียในการลาดตระเวนร่วมกับตำรวจไทยมากขึ้น

ที่มา: เครือข่ายยาเสพติด-ผู้มีอิทธิพล เอี่ยวเหตุรุนแรง3 จังหวัดชายแดนใต้

Tuesday, September 13, 2011

สปต.เตรียมขอพบ นรม. หารือนโยบายแก้ปัญหา จชต".

dscf3311

เมื่อ 14 ส.ค.2554 นายอาซีส เบ็ญหาวัน ประธานสภาที่ปรึกษาการบริหาร และการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (สปต.) กล่าวถึงมติที่ประชุม สปต.จะส่งตัวแทนเข้าพบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อปรึกษาถึงนโยบายการแก้ปัญหา จชต. และสอบถามถึงความชัดเจนที่จะมีการปรับเปลี่ยน ศอ.บต.หรือไม่ รวมทั้งเขตปกครองพิเศษ ใน จชต. ที่พรรคเพื่อไทยได้หาเสียงเอาไว้ก่อนหน้านี้ด้วย

(http://www.matichon.co.th)

Wednesday, September 7, 2011

MILF เสนอจัดตั้งรัฐในภาคใต้ของฟิลิปปินส์

เมื่อ 4 ก.ย.2554 สนข. Xinhua รายงานว่ากลุ่มแนวร่วมปลดปล่อยอิสลามโมโร (MILF) ระบุจะผลักดันการจัดตั้งรัฐบังซาโมโรในภาคใต้ของฟิลิปปินส์ ในการเจรจากับรัฐบาลฟิลิปปินส์ โดยนายอัล ฮัจ มูราด อิบราฮิม ประธาน MILF แถลงว่า เป็นความตกลงทางการเมือง ของชาวบังซาโมโร เพื่อปกครองตนเองและตัดสินใจด้วยตนเอง โดยยังคงเป็นส่วนหนึ่งของฟิลิปปินส์ พร้อมกับระบุว่า ตนเห็นความจริงใจของประธานาธิบดีเบนิโญ  อากิโน หลังมีการตกลงในหลักการในการเจรจาสันติภาพที่ญี่ปุ่น สำหรับรูปแบบการปกครองตนเองยังไม่แน่ชัด โดยกลุ่ม MILFการศึกษาหลายรูปแบบ เช่น การปกครอง แบบสก๊อตแลนด์ และไอร์แลนด์เหนือ ที่อยู่ภายใต้สหราชอาณาจักร หรือแบบโปโตริโก ซึ่งอยู่ภายใต้สหรัฐฯ (สขช.)

งานการข่าว ศปก.ตร.สน.

มุขมนตรี รัฐกลันตัน มซ. มีอิทธิพลต่อชาวไทยมุสลิมใน จชต.


เมื่อ ๓ ก.ย.๕๔ นสพ.   New Straits Times ได้เสนอข่าวเกี่ยวกับทางการไทย รวมทั้งทางกองทัพได้มีการเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของ ชาวไทยมุสลิมใน จชต. ที่ยอมรับบทบาทของ Datuk Nik Aziz Nik Mat มุขมนตรีรัฐกลันตัน มาเลเซีย หรือ “Tok Guru” ในฐานะที่เป็นบุคคลต้นแบบ “Role Model” ทางการไทยเกรงว่า “Tok Guru” จะมีอิทธิพล ต่อชาวไทยมุสลิมใน จชต. ขณะเดียวกันนาย Abdul Aziz Che Mamat รองประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาส เห็นว่าการ ที่คนไทยมุสลิมใน จชต. รับเอาบทบาทของ Nik Aziz เพราะเชื่อว่าผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรค PAS เป็นบุคคล ที่มีความรู้ทางศาสนาอิสลาม นอกจากนี้ Datuk Mustapa Mohamed หน. สนง. พรรค UMNO สาขากลันตัน มีความเห็นว่าเรื่องนี้ไม่มีผลกระทบต่อพรรค UMNO เพราะคนไทยมุสลิมไม่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งใน มซ.

งานการข่าว ศปก.ตร.สน.

Tuesday, September 6, 2011

ประกาศ ลวงโลก จาก บันทึก เอ็มโอยู 2544 ถึง ′มรดกโลก′

ที่มา: ประกาศ ลวงโลก จาก บันทึก เอ็มโอยู 2544 ถึง ′มรดกโลก′
col01050954p1เรื่องของบันทึกความตกลงร่วมกันไทย-กัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ ทับซ้อนทางทะเล หรือเอ็มโอยู 2544 ก็อีหรอบเดียวกันกับคำประกาศถอนตัวจากภาคีอนุสัญญาว่าด้วยมรดกโลกนั่นแหละ
คือ เสมอเป็นเพียงการประกาศ
เอ็มโอยู 2544 เป็นการประกาศเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2552 เรื่องภาคีอนุสัญญาว่าด้วยมรดกโลก เป็นการประกาศเมื่อเดือนมิถุนายน 2554
แต่แล้วก็เสมือนกับเป็นเรื่องลวงโลก ลวงประชาชน
คำประกาศถอนตัวจากการเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยมรดกโลกอันมาจาก นายสุวิทย์ คุณกิตติ และได้รับความเห็นชอบโดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อเดือนมิถุนายน 2554 ได้รับการพิพากษาไปแล้วโดยประชาชน
นั่นก็คือ พรรคกิจสังคมไม่ได้รับเลือกแม้แต่คนเดียว กระทั่ง นายสุวิทย์ คุณกิตติ ต้องสอบตก
นั่นก็คือ พรรคประชาธิปัตย์ ต้องพ่ายแพ้ให้แก่พรรคเพื่อไทยอย่างยับเยิน
ความ ว่าด้วยคำประกาศถอนตัวจากภาคีอนุสัญญาว่าด้วยมรดกโลกยังไม่จบ กรณีของเอ็มโอยู 2544 ก็ปรากฏขึ้นว่ากำลังกลายเป็นคำประกาศในลักษณะลวงโลกอีกเรื่องหนึ่ง
เป็นการลวงโลกจากรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ถามว่ารายละเอียดอย่างไรหรืออันถือได้ว่า การประกาศยกเลิกเอ็มโอยู 2544 การประกาศถอนตัวจากภาคีมรดกโลกเป็นเรื่องลวงโลก
คำตอบ 1 ก็คือ เสมือนเป็นเพียงการประกาศแต่มิได้มีการปฏิบัติอย่างเป็นจริง
คำ ประกาศยกเลิกเอ็มโอยู 2544 เกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2552 แต่ต่อมากลับปรากฏว่าได้มีการเจรจาระหว่าง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับ นายซก อาน ในเรื่องอันเกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2553
แสดงว่า บทบาทและความหมายของเอ็มโอยู 2544 ยังดำรงอยู่
ที่ ยังดำรงอยู่เพราะว่าบันทึกความเข้าใจร่วมกันหรือเอ็มโอยูนั้นในทางกฎหมาย เมื่อมีมติออกมาแล้วต้องเสนอผ่านความเห็นชอบผ่านรัฐสภา จึงจะครบถ้วนสมบูรณ์
เช่น เดียวกับการเป็นภาคีสมาชิกอนุสัญญาว่าด้วยมรดกโลก เมื่อแสดงท่าทีในที่ประชุมอย่างเป็นที่แจ้งชัดแล้ว ภาคีสมาชิกจักต้องทำหนังสือยืนยันไปทางองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติอย่างเป็นทางการ คำประกาศลาออกนั้นจึงจะมีผลอย่างครบถ้วนและสมบูรณ์
จากเดือนพฤศจิกายน 2552 หลังการประกาศ รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่เคยมีปฏิบัติการอะไรเลยต่อเอ็มโอยู 2544
นี่ก็เช่นเดียวกับการทำหนังสือแจ้งต่อภาคีอนุสัญญาว่าด้วยมรดกโลก
เมื่อ ทั้งเรื่องเอ็มโอยู 2544 และทั้งเรื่องภาคีอนุสัญญามรดกโลกมิได้มีผลเหมือนเช่นกับคำประกาศ แล้วรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทำไปทำไม
คำตอบที่เด่นชัดยิ่ง คือ ต้องการผลทางการเมือง
นั่นก็คือ อาศัยเอ็มโอยู 2544 มาเป็นเครื่องมือในการโจมตี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้เสียหายในทางสังคม ในทางการเมือง
เลเพลาดพาดจากเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนเลอะเทอะจนถึงทำให้เสียดินแดน
นี่ก็ทำนองเดียวกับการออกข่าวว่าด้วยหมายจับแดง เรด โนติซ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในองค์การตำรวจสากล อินเตอร์โพล
ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยในทางเป็นจริง
นั่น ก็คือ อาศัยคำประกาศถอนตัวจากภาคีอนุสัญญาว่าด้วยมรดกโลกเพื่อประท้วงต่อคณะ กรรมการมรดกโลก ต่อองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชน เพื่อหวังจะได้คะแนนจากพวกหลงชาติจำนวนหนึ่ง
เป็นการเล่นเกมทางการเมือง เป็นการหลอกลวงทางการเมืองเพื่อประโยชน์เฉพาะหน้า
เป็น การอาศัยเกมทางการเมืองจากความขัดแย้งภายในประเทศขยายไปสู่การเมืองระหว่าง ประเทศ คิดแต่เพียงประโยชน์เฉพาะหน้าโดยไม่คำนึงถึงผลสะเทือนที่จะติดตามมา
เป็นการเล่นเกมสไตล์พรรคประชาธิปัตย์
ท่านอาจโกหกประชาชนได้ครั้งหนึ่ง แต่มิอาจโกหกได้ตลอด อับราฮัม ลินคอล์น สรุปได้ถูกต้อง
กระนั้น นักการเมืองบางคนก็โกหกซ้ำซาก จากหมายจับแดง ไปยังเอ็มโอยู 2544 ไปยังการถอนตัวจากภาคีอนุสัญญาว่าด้วยมรดกโลก
น่าสงสัยว่า ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่ที่ รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ โกหกประชาชน

Monday, September 5, 2011

“พูโล” เขียนถึงเหตุการณ์ที่มีคนร้ายกราดยิงร้านน้ำชาบ้านกาโสด อ.บันนังสตา จ.ยะลา เมื่อ 3 พ.ค. 2554

คดีกาโสด มอบตัว
'มั่นคง'ไทยอาละวาดยิงชาวบ้านอีกแล้ว - 04/05/2011
ที่มา: 'มั่นคง'ไทยอาละวาดยิงชาวบ้านอีกแล้ว - 04/05/2011
การที่ “ฝ่ายรักษาความมั่นคง” ไทยอาละวาดกราดยิงชาวบ้านตามร้านน้ำชาที่ อ.บันนังดังสตา เมื่อวันที่ ๓ พ.ค. บ่งบอกถึงดีกรีความเลวทรามอันไร้จารยาบรรณและมนุษยธรรมของฝ่ายจักรวรรดิ์นิยมไทยยิ่งทวีขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งผู้ล้มตายและบาดเจ็บมีทั้งเด็กและผู้หญิง ข้อกล่าวอ้างที่พวกเขาเอ่ยปากอยู่เนือง ๆ ว่าจะนำความเป็นธรรมและสงบสุขแก่ชนชาวมลายูปาตานียิ่งไกลความจริงมากขึ้นทุกขณะ
แทนที่จะทำตัวอย่างกำชับการบังคับใช้ข้อกฏหมายในฐานะผู้รักษากฏหมายและต้องไม่เลือกปฎิบัติหากลูกน้องเองกระทำผิดใด ๆ โดยเฉพาะคดีร้ายแรงสะเทือนขวัญครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนกับกรณีการกราดยิงชาวบ้านเมื่อวานนี้ ผู้บังคับบัญชาเองกลับปกป้องลูกน้องทุกวิธีทาง อย่างเช่นให้การกับสื่อต่อกรณีครั้งล่าสุดว่าคนร้ายแต่งกายคล้ายเจ้าหน้าทหาร ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือทหารจริง ๆ นั่นเอง!
เหตุผลก็คือ การมีส่วนรู้ร่วมคิดหรือสั่งการลูกน้องโดยตรงครั้งนี้น่าจะมีผลพ่วงมาจากการที่พวกเขาไม่สามารถหาแพะรับบาปกรณีวางระเบิดทหารพรานเมื่อวันเสาร์ที่ ๓๐ เมษาฯ จะเล่นงานประชาชนผู้บริสุทธิ์ไม่ได้ถึงแม้ว่าใช้กฏหมายของตนเองเป็นเครื่องมือเพื่อความดีความชอบในตำแหน่งหน้าที่และรายงานต่อเบื่องบนต่อไป ในเมื่อต้องปล่อยตัวผู้ต้องหาไป จึงคิดการอื่นที่สกปรก ถึงแม้จะผิดหลักเกณท์สงครามก็ตาม เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียกำลังใจของลูกน้องที่เพื่อน ๆ ต้องตายและบาดเจ็บ เสมือนเรียกร้องความเป็นธรรม (ทีไม่เป็นธรรมและถูกต้อง) อะไรสักอย่างในทางอ้อม สติและมันสมองของบรรดาผู้ที่ขึ้นชื่อว่าผู้พิทักษ์สันติราษฏร์ของจักรวรรดิ์นิยมไทยมีเพียงแค่นี้เอง
เหตุการณ์ทำนองเมื่อวานนี้ สอดคล้องตามทัศนะของผู้สังเกตุการณ์ท้องที่ที่เชื่อถือได้รายหนึงว่าเป็นการตอบโต้เหตุการณ์เมือวันเสาร์ที่แล้วจริง

Saturday, August 27, 2011

สารัตถะแห่งนิยาม "เข้าใจ เข้าถึงและพัฒนา" - 25/08/2011

หมายเหตุ: ผมได้รับอีเมล์ บทความ จากเว็ปไซค์ พูโล “สารัตถะแห่งนิยาม "เข้าใจ เข้าถึงและพัฒนา" - 25/08/2011” เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 2554o‏  จากผู้บังคับบัญชา เห็นว่า ผู้เขียนบทความได้สะท้อนถึงความรู้สึกของพี่น้องมุสลิมบางส่วนที่จับอาวุธขึ้นสู้ ไว้ได้อย่างน่าสนใจ.. เผื่อว่า ผู้มีอำนาจที่แท้จริงที่ครอบงำการเมืองการปกครองของไทยมาตลอดประวัติศาสตร์การเมืองสมัยใหม่จะได้ฉุกคิดได้บ้าง….

ถ้าหากว่ารัฐไทยและเจ้าหน้าที่รัฐใน "จังหวัดชายแดนภาคใต้" รู้จักกับนิยามของคำว่า "เข้าใจ เข้าถึงและพัฒนา" ในความหมายที่แคบ ๆ ด้วยความเข้าใจอย่างตื้น ๆผิวเผินแค่รู้ว่าที่นั่นพวกเขานับถือศาสนาอิสลาม พูดภาษามลายู แต่งกายแบบอิสลาม แล้วพยายามเข้าถึงด้วยการเยี่ยมเยียนแสดงไมตรีจิตและอัธยาศัยที่ดี ยื่นมือช่วยเหลือพัฒนาเขาไว้บ้างหากโอกาสอำนวย แต่ด้วยความหยิ่งและทรนงหลังหลอกของรัฐไทยที่รู้ ๆ กันนั้น ไม่มีวันเข้าถึงพริกถึงขิงแน่นอน

ประการแรกอันเนื่องมาจากรัฐไทยถูกครอบงำด้วยชาตินิยมจอมปลอมและสุดโต่ง ยึดมั่นอยู่กับแต่ความคิดเห็นของตัวเอง ไม่ยอมเคารพในวัฒนธรรมของผู้อื่น ไม่ใช่แค่ความคิดแบบนี้เท่านั้นที่ยังไม่หมดไป หากแต่รัฐไทยก็ยังคาดหวังการยอมรับจากชนชาวมลายูปาตานีเสียด้วยซ้ำ ปาตานีดารุสสลามที่ยังอยู่ในความปกครองของรัฐไทยที่จริงๆแล้วหมดความชอบธรรมมาเนิ่นนานแล้วนั้น กลายเป็นแค่สถานที่กำจัดขยะของรัฐไทยเสมอมา ณ จุดนี้ รัฐไทยน่าจะเข้าใจแล้วว่าข้อนี้ชนชาวมลายูปาตานียังตระหนักดีอยู่เสมอ

ชนชาวมลายูปาตานีที่กำลังดิ้นรนต่อสู้เพื่อหลุดพ้นจากอุ้งมือของทรราชรัฐไทยในขณะนี้ อยู่ในภาวะการณ์ที่คล้าย ๆ กับรัฐไทยครั้นในนาม "สยามประเทศ" ที่ต้องต่อสู้ปลดแอกจากการอยู่ภายใต้การปกครองของเขมร (ก่อนก่อตั้งนครรัฐสุโขทัย) การต่อสู้กอบกู้เอกราชจากพม่าถึง ๒ ครั้ง และขบวนการใต้ดิน "เสรีไทย" ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ คือเหล่าชิ้นส่วนทางประวัติศาสตร์ที่รัฐไทย (ใหม่) ภูมิใจตนเอง แต่กับชนชาวมลายูปาตานีกลับปฎิบัติตนเยี่ยงเจ้าอาณานิคมตราบเท่าทุกวันนี้ โดยมีศูนย์บัญชาการอาณานิคมที่ยะลาที่รู้จักกันในนาม "ศอ.บต."

นับตั้งแต่ผนวกดินแดนปาตานีเมื่อปี ๑๙๐๒ รัฐไทยมิได้แค่อ้างเรื่องสิทธิ อำนาจอธิปไตยที่มิชอบเพียงอย่างเดียว หากแต่ได้อ้างถึงดินแดนยึดครองแถบนี้คุ้มครองโดยพระสยามเทวาธิราชอีกด้วย ซึ่งท้าทายความเชื่อถือทางศาสนาอิสลามของชนชาวปาตานีอย่างชัดเจนและความเชื่อผิด ๆ นี้เองที่ผสมผสานกับการหลงไหลในชาตินิยมสุดโต่งที่เป็นเสมือนธรรมเนียมถือปฎิบัติบรรดาข้าราชการที่อนุโลมกระทำตนเป็นขุนศึกขุนนางและศักดินา ละเมิดสิทธิเสรีภาพ ข่มเหงรังแกและดูถูกเหยียดหยามชนชาวมลายูปาตานี และการแสวงหายศฐานะและผลประโยชน์กันเองอีกทางหนึ่ง

จะเห็นได้ว่าเจ้าหน้าที่รัฐทั้งพลเรือน ทหาร ตำรวจที่ก้าวสู่ตำแหน่งหน้าที่แบบก้าวกระโดดต่างก็ยึดหากินบนเลือดเนื้อและชีวิตของชนชาวมลายูปาตานีเป็นเดิมพัน  ล่าสุดอดีตวีระบุรุษของรัฐไทยอย่าง "จ่าเพียร" ก็เคยป่าวประกาศอย่างภาคภูมิใจที่ได้เข่นฆ่าเยาวชนปาตานีถึง ๒๓ คนก่อนที่เขาเองจะถึงจุดจบ ความเป็นนิติรัฐจึงไม่เกิดขึ้นกับชนชาวปาตานี แต่กับชนชาติพันธุ์เดียวกัน ถึงจะมีคดีติดตัวฐานกบฏหรือผู้ก่อการร้ายก็มีอภิสิทธิ์ได้ดิบได้ดีถึงฝ่ายนิติบัญญัติ และในเมื่อได้มาเจอกับปัญหาปาตานีก็ต่อเมื่ออยู่ในตำแหน่งต่าง ๆ ทั้งข้าราชการประจำ ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร หรือตุลาการ โดยไม่เคยสัมผัสกับความรับผิดชอบผ่านกระบวนการเรียนรู้อย่างเสมอภาคและให้เกียรติไม่ว่าจะมาจากอบรมสั่งสอนจากสถาบันรัฐเองหรือสังคมตั้งอยู่บนฐานความจริง ชนชาวมลายูปาตานีจึงได้เจอกับนักปกครองที่แปลกหน้าไม่สิ้นสุด

แต่วันนี้ ที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๔ รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะประกาศนโยบายต่อรัฐสภารัฐไทย ชนชาวมลายูปาตานีจะสามารถวัดปรอทความเข้าใจของรัฐบาลชุดนี้ว่าในสายตาพวกเขา ชนชาวมลายูปาตานีอยู่ในสถานะอะไร หรือว่าจะเหมือนกับรัฐบาลชุดที่แล้วที่ดำเนินการตามแผนซ้อนแผนของรัฐไทยที่กวาดซื้อเสียงละหนึ่งพันห้าร้อยบาท บางพื้นที่ถึงกับจี้บังคับว่าต้องได้คะแนนเท่านั้นเท่านี้เพื่อที่จะสกัดกั้นนโยบายของพรรคเลือกตั้งฝ่ายตรงข้ามที่จะประกาศเขตปกครองพิเศษ หรือว่าจะเหมือนรัฐบาลทักษิณ ที่มีทั้งละเมิดสิทธิ์และเคยประกาศที่จะพัฒนาปาตานีดารุสสลามด้วยงบแสนล้านหลังประชุมคณะรัฐบาลเคลื่อนที่ที่นราธิวาส ผลสุดท้ายก็แค่สร้างเศรษฐีเงินล้านแก่บริวาร 

หรือความเข้าใจแบบ พล.ท.อุดมชัยที่อ้างว่าชนชาวมลายูปาตานีที่ต่อต้านรัฐไทยตอนนี้มีแค่ระหว่าง ๗,๐๐๐-๑๐,๐๐๐ คนโดยหารู้ไม่ว่าจำนวนนี้คือหน่วยปฎิบัติการที่น่าจะเพียงพอที่จะพิทักษ์คุ้มครองชนชาวปาตานี ๒-๓ ล้านคน ซึ่งเป็นสัดส่วนที่มากกว่าทหารเกณท์รัฐไทยที่มีแค่ไม่ถึง ๒ แสนต่อประชากร ๖๓ ล้านกว่า

ปัญญารัฐไทยมีเพียงเท่านี้หรือที่จะเทียบกับปัญญาชนปาตานีที่รอบรู้อย่างน้อย ๔ ภาษา เพราะฉะนั้นท่านพิจารณาตนเองก็แล้วกันว่าใครน่าจะได้รับการ พัฒนาก่อน แล้วท่านจะเข้าถึงชุมชนมลายูได้อย่างไรในเมื่อท่านรู้แต่ภาษาเงินบ่ฮู้ภาษาใจแม้แต่น้อย

Sunday, August 7, 2011

จับยาข้ามชาติ ค่า3พันล้าน

ผงขาว-ยาบ้า-ไอซ์ไทยร่วมมาเลเซียเข้าจู่โจมพร้อมกัน

image

ตำรวจไทย-มาเลเซีย ร่วมกันทลายแก๊งค้ายานรกข้ามชาติ ภายใต้แผนปฏิบัติการ ออกัส 11 จับกุมนักค้า 2 ชาติ รวมกัน 11 คน พร้อมของกลางลอตมโหฬาร มูลค่ากว่า 3 พันล้านบาท ผบ.ตร.นำทีมแถลงเบื้องหลังความสำเร็จ จับกุม 1 ในขบวนการได้ในพื้นที่ บช.ภ.6 ก่อนส่ง บช.ปส.ขยายผล พบเป็นขบวนการค้ายาข้ามชาติส่งต่อประเทศมาเลเซีย จึงประสานงานก่อนจู่โจมเป้าหมายพร้อมกัน ฝ่ายไทยจับกุมได้ 2 คน ส่วนมาเลเซียตามลากคอได้ 9 คน เปิดแถลงข่าวพร้อมกัน 2 ประเทศ

ผลงานการจับกุมยาเสพติดของตำรวจไทย-มาเลเซีย ครั้งนี้ เปิดเผยขึ้นเมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 7 ส.ค. ที่สำนักงาน ตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.อติเทพ ปัญจมานนท์ ผบช.ปส. ร่วมกันแถลงข่าวจับผู้ต้องหาค้ายาเสพติดหลายราย คดีแรกจับกุมนายแวซายูตี หรือ ตี ดือราแม อายุ 24 ปี และนายมุสตอปา หรือยีปา อาโรง อายุ 25 ปี พร้อมยาบ้า 432,000 เม็ด จับกุมได้ภายใน ซอย 5/1 ถนนเทศาพัฒนา ต.หาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ภายหลังจากเมื่อวันที่ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมา ตำรวจทางหลวง และ บช.ภ.6 ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาค้ายาเสพติดได้ 1 ราย ก่อนส่งให้ บช.ปส. สอบสวนขยายผลจนทราบว่า ผู้ต้องหาคนดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติระหว่างประเทศไทย และประเทศมาเลเซีย บช.ปส. จึงสนธิกำลังร่วมกับ บช.ภ.9 บช.ตชด. กองทัพเรือ กอ.รมน. ภาค 4 และเจ้าหน้าที่ตำรวจมาเลเซีย ร่วมกันสืบสวน ก่อนจับกุมผู้ต้องหาพร้อมกัน 2 ประเทศ โดยประเทศมาเลเซีย จับกุมผู้ต้องหาได้ 9 คน ยาไอซ์ 16 กิโลกรัม เฮโรอีน 22 กิโลกรัม ยาบ้า 2,000 เม็ด มูลค่ากว่า 3 พันล้านบาท

ผบ.ตร. กล่าวต่อว่า ผลการจับกุมดังกล่าว เป็นแผน ปฏิบัติการในชื่อ ออกัส 11 เป็นการปฏิบัติร่วมกันระหว่าง บช.ปส. และสำนักงานตำรวจปราบปรามยาเสพติดประเทศ มาเลเซีย โดยทางตำรวจมาเลเซียได้แถลงข่าวที่รัฐเคดาห์ ประเทศมาเลเซีย ในเวลาเดียวกันนี้ด้วย ทั้งนี้ จากการสืบสวนทราบว่า คนร้ายจะขนยาเสพติดมาจากทางภาคเหนือของประเทศไทย ผ่านทางกรุงเทพฯ แล้วลงไปทางภาคใต้ที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ก่อนเข้าไปประเทศมาเลเซีย จึงได้วางแผนร่วมกับเจ้าหน้าที่ประเทศมาเลเซียก่อนดำเนินการจับกุม ถือเป็นความสำเร็จของความร่วมมือในด้านการปราบปรามยาเสพติดระหว่างประเทศอย่างดียิ่ง ขอขอบคุณในความร่วมมือของตำรวจมาเลเซียไว้ ณ ที่นี้ นอกจากนี้ ตนจะเดินทางไปประเทศพม่าในสัปดาห์หน้า เพื่อประชุมแก้ไขปัญหายาเสพติดระหว่างประเทศ ส่วนนโยบายการปราบปรามยาเสพติดกับรัฐบาลใหม่ คิดว่า นโยบายจะเป็นไปทิศทางเดียวกัน คงไม่เปลี่ยนแปลง มี แต่จะเพิ่มความเข้มข้นมากขึ้น

พล.ต.อ.วิเชียรแถลงถึงคดีที่ 2 ต่อว่า เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 6 ส.ค. ตำรวจ บช.ปส. จับกุมนายอิบบราฮิม คาลิลไดอัลโล อายุ 27 ปี ชาวกินี พร้อมของกลางยาไอซ์ 2,500 กรัม ซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋าเดินทาง ที่สนามบินสุวรรณภูมิ จ.สมุทรปราการ คดีที่ 3 เมื่อบ่ายวันที่ 6 ส.ค. ตำรวจ บช.ปส. จับกุมชาวลาว 2 คน พร้อมยาบ้า 2,000 เม็ด ราคา 225,000 บาท ได้ที่ลานจอดรถในสถานีขนส่งหมอชิต แขวงลาดยาว เขตจตุจักร ส่วนคดีสุดท้าย เมื่อคืนวันที่ 6 ส.ค. ตำรวจ บช.ปส. ร่วมกับตำรวจ บช.ภ.6 และเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ จับกุมนายพนม คิดสนอง อายุ 36 ปี พร้อมของกลางกัญชา ประมาณ 2.06 กรัม ขณะตั้งด่านตรวจบริเวณด่านยานพาหนะพยุหคีรี จ.นครสวรรค์

อีกรายตำรวจทางหลวงโชว์ผลงานรวบ นศ.สาวมหาวิทยาลัยดังร่วมมือกับแฟนหนุ่มลอบขนยาบ้าลอตใหญ่ โดยเมื่อเวลา 05.30 น. วันที่ 7 ส.ค. ขณะที่ พ.ต.ท.ธรรมปทน ชาวกำแพง สว.สทล.4 กก.7 บก.ทล. (ทางหลวงทุ่งสง) พร้อมกำลังตั้งด่านตรวจค้นรถยนต์บนถนนสายเอเชีย ใกล้สามแยกบ้านจำปา หมู่ 9 ต.ถ้ำใหญ่ อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช พบรถเก๋งโตโยต้าวีออส ทะเบียน กต 5182 เชียงราย วิ่งผ่านมาจึงเรียกตรวจค้น ภายในรถชายหญิงนั่งคู่กันมา 2 คน ทราบชื่อภายหลังคือนายณรงค์ชัย ธิยะ อายุ 32 ปี และ น.ส.คนึงนิจ ผาสุข อายุ 23 ปี ทั้งคู่เป็นชาว จ.เชียงราย ค้นในรถพบยาบ้าจำนวน 108,000 เม็ด และยาไอซ์หนัก 2 กก. มูลค่ากว่า 30 ล้านบาท ซุกซ่อนอยู่ในรถ

สอบสวนผู้ต้องหาทั้ง 2 คน รับสารภาพว่ารับจ้างจากเอเย่นต์รายใหญ่ใน จ.ปทุมธานี ให้นำยาเสพติดทั้งหมดมาส่งลูกค้าที่แยกบ้านสวนผัก อ.ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช ในราคา 1 แสนบาท เหลือระยะทางอีกเพียง 3 กม. ก็จะถึงจุดนัดพบแล้ว แต่มาถูกจับคาด่านเสียก่อน สำหรับ น.ส.คนึงนิจปัจจุบันเป็น นศ.ชั้นปีที่ 3 คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งย่านหัวหมาก คุมตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน สภ.ทุ่งสง ดำเนินคดีต่อไป

ที่มา: จับยาเสพติดข้ามชาติ มูลค่า 3 พันล้าน

Wednesday, July 27, 2011

ชาวบันนังสตาร้องกระทรวงยุติธรรมติดตามคนหาย

0000001213075878-FB8E-34979
ที่มา: ชาวบันนังสตาร้องกระทรวงยุติธรรมติดตามคนหาย
วันอังคาร ที่ 26 ก.ค. 2554

กระทรวงยุติธรรม 26 ก.ค.- ชาวบ้านบันนังสตา ร้องกระทรวงยุติธรรมคนหายจากหมู่บ้าน พาดพิงติดต่อไม่ได้หลังจากถูกเรียกตัวเข้าไปที่ค่ายตำรวจพลร่มในพื้นที่ พร้อมร้องขอดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษและให้การคุ้มครองพยานในคดี

น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม และนายกิจจา อาลีอิสเฮาะ ทนายความมุสลิม ในฐานะผู้ประสานงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมด้วย น.ส.นูรอามาณีย์ อูมา อายุ 24 ปี ชาวบ้านบ้านตือระ หมู่ 8 ต.บันนังสตา จ.ยะลา ภรรยานายอิบรอเฮง กาโฮง และญาติของนายดุลหามิ มะแร ชาวบ้านในพื้นที่จำนวนหนึ่ง เข้าพบ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ร้องเรียนขอให้ช่วยติดตามกรณีนายอิบรอเฮง ซึ่งเป็นสามี ได้หายตัวไปพร้อมกับเพื่อนตั้งแต่วันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมา หลังจากไปตามเรือที่ถูกตำรวจตระเวนชายแดน (ค่ายนเรศวร) บ้านสันติ 1 ต.เขื่อนบางลาง หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าค่ายตำรวจพลร่ม เนื่องจากน้องสาวของผู้สูญหายแจ้งให้ญาติทราบว่าได้เห็นบุคคลทั้งสองขับรถมอเตอร์ไซค์เข้าไปในค่ายตำรวจพลร่ม และก่อนที่จะเข้าไปได้เข้าพบผู้ใหญ่บ้านและผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านให้ช่วยติดตาม และจะเดินทางล่วงหน้าไปในค่ายก่อน ระหว่างทางยังพบกับเพื่อนบ้านที่สามารถเป็นพยานยืนยันได้ว่าบุคคลทั้งสอง เข้าไปในค่ายตำรวจพลร่มจริง แต่หลังจากนั้นทางบ้านก็ไม่สามารถติดต่อได้ ดังนั้น ญาติจึงได้เข้าแจ้งกับมูลนิธิศูนย์ทนายมุสลิม และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) และ สภ.บันนังสตา เพื่อให้ช่วยติดตามสามีและเพื่อนสามี

น.ส.นูรอามาณีย์ กล่าวว่า ขณะนี้ผ่านมากว่า 3 เดือนแล้ว หน่วยงานในพื้นที่โดยเฉพาะ ศอ.บต.ได้แจ้งให้ทั้ง 2 ครอบครัว ทราบโดยยอมรับว่าบุคคลทั้งสองสูญหายจริง แต่ไม่เปิดเผยข้อเท็จจริงว่าหายไปได้อย่างไร

ตนและญาติผู้สูญหายเกรงว่าการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่อาจไม่ต่อเนื่อง จึงได้เข้ามาร้องทุกข์กับกระทรวงยุติธรรมและกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อขอให้ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษ และให้ความคุ้มครองญาติ เพราะเกรงเรื่องความไม่ปลอดภัย ซึ่งทางญาติต้องการทราบว่าบุคคลทั้งสองยังมีชีวิตอยู่หรือไม่

ด้าน น.ส.พรเพ็ญ กล่าวว่า ระหว่างปี 2546-ปัจจุบัน มีรายงานผู้สูญหายในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้จำนวน 35 ราย ซึ่งทั้งหมดที่สูญหายไป ไม่สามารถติดตามตัวได้แม้แต่รายเดียว โดยปี 2546 พบชาวบ้านสูญหายไปถึง 27 คน ต่อมาจำนวนผู้สูญหายมีเฉลี่ยปีละ 1-2 คน ซึ่งถือว่าลดลง ทั้งนี้ อาจเกิดจากการมี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน บังคับใช้ซึ่งให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐสามารถเรียกตัวผู้ต้องสงสัยไปสอบสวนข้อเท็จจริงได้ ทำให้สถานการณ์การหายไปของบุคคลมีจำนวนน้อยลง จากการลงพื้นที่พบว่าญาติและครอบครัว และชุมชนที่ใกล้ชิดกับคนที่หายไปโดยเฉพาะบุคคลทั้ง 2 รายนี้ อยู่ในอาการหวาดกลัวอิทธิพลเจ้าหน้าที่ในพื้นที่จึงอยากให้กระทรวงยุติธรรมและดีเอสไอให้ความคุ้มครองพยาน พร้อมสร้างความเชื่อมั่นในการดำเนินคดีตามกฎหมาย

ขณะที่ พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า จากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นพบว่า ศอ.บต. และศูนย์ปฏิบัติงานชายแดนใต้ของดีเอสไอได้ตรวจสอบสำนวนการสอบสวนจาก สภ.บันนังสตาและกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ได้ติดตามคดีดังกล่าว พบว่าคดีมีมูลความจริง และอยู่ระหว่างการสอบสวนซึ่งขณะนี้ใกล้ได้ข้อสรุปแล้ว ในส่วนกระทรวงยุติธรรมที่มีศูนย์ประสานงานภาคใต้และดีเอสไอที่เป็นหน่วยงานของกระทรวงยุติธรรม จะให้คณะกรรมการกองทุนยุติธรรมเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ได้จากเจ้าหน้าที่อีกทางหนึ่งเพื่อหาทางเยียวยาเบื้องต้นกับญาติ โดยตนจะมอบหมายให้คณะอนุกรรมการติดตามผู้สูญหายและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้รวบรวมข้อเท็จจริงทั้งหมด เพื่อประสานขอเอกสารทางคดี

พ.ต.อ.ทวี กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม เนื่องจากคดีดังกล่าวญาติต้องการให้เป็นคดีพิเศษและขอได้รับความคุ้มครองพยานนั้นจำเป็นต้องแจ้งให้ดีเอสไอรับคดีไว้ก่อน และเนื่องจากคดีดังกล่าวมีการกล่าวหาเจ้าหน้าที่รัฐคือตำรวจพลร่ม แม้ว่าทาง สภ.บันนังสตาจะรับเรื่องไว้สอบสวนแล้ว แต่ตนจะประสานไปที่ พล.ต.ท.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้กำกับดูแลพื้นที่ภาคใต้ให้กำชับไปยังหน่วยงานภายใต้สังกัดอีกครั้ง ส่วนกระทรวงยุติธรรมจะให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นกับครอบครัวผู้สูญหาย 3 ประเด็น คือ การความคุ้มครองพยานที่ยังไม่กล้าเข้าให้ปากคำกับตำรวจ การเยียวยาญาติ และการผลักดันให้เป็นคดีพิเศษ เพื่อชาวบ้านได้รับความเป็นธรรมและเข้าถึงความยุติธรรมที่แท้จริง.-สำนักข่าวไทย

Sunday, June 19, 2011

“รักระหว่างรบ” ทหารพุทธ-สาวมุสลิม แต่งงาน-หนีตาม-ทำแท้ง!


“รักระหว่างรบ” ทหารพุทธ-สาวมุสลิม
แต่งงาน-หนีตาม-ทำแท้ง! สังคมเฟะ “อย่างแรง” ที่ชายแดนใต้

ที่มา: MTODAY ฉบับที่ 11 ประจำวันที่ 16 เมษายน -15 พฤษภาคม 2554

ผลงานของฝ่ายความมั่นคงในภารกิจ “ดับไฟใต้” 5 นายกฯ 6 รัฐบาล นอกจากจะละลายงบประมาณไปกว่า 1.45 แสนล้าน โดยที่สถานการณ์ยังคงรุนแรงรายวันแล้ว ยังมีประเด็นที่ไม่ค่อยมีใครอยากพูดถึง แต่ก็ลือกันให้หึ่งทั่วชายแดนใต้ ก็คือปม “ชู้สาว” ระหว่างทหารพุทธกับหญิงสาวมุสลิม

คลิปวิดีโอที่ทหารวัยฉกรรจ์นั่งกอดจูบลูบคลำกับสาวสวมฮิญาบในลักษณะ “ถูกแอบถ่าย” บน ดาดฟ้าของอาคารเตี้ยๆ หลังหนึ่ง (บ้างก็ว่าเป็นสถานีวิทยุของส่วนนราชการแห่งหนึ่ง) ซึ่งถูกเผยแพร่และส่งต่อไปทั่วพื้นที่เมื่อปลายปีที่แล้ว คือตัวอย่างอัน (ไม่) ดีที่สะท้อนถึงสภาพอันเหลวแหลกเละเทะทางศีลธรรมในดินแดนปลายสุดด้ามขวานใน ยุคที่มีทหาร ตำรวจ ลงไปปฏิบัติการมากถึงกว่า 60,000 นาย นับเฉพาะทหารก็ปาเข้าไปกว่าครึ่ง

เรื่องราว “ลับเฉพาะ” นี้ได้กลายเป็นเงื่อนไขให้ฝ่ายขบวนการก่อความไม่สงบนำไปขยายผลให้คนในสาม จังหวัดเกลียดชังเจ้าหน้าที่มากขึ้นในสงครามแย่งชิงมวลชนที่ฝ่ายรัฐดูจะเสีย เปรียบมาตลอด 7 ปีเต็ม


 ภาพจากคลิปวีดิโอแอปถ่ายทหารกับหญิงมลายูที่เป็นที่ฮือฮาเมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมา

“นิยายรัก”กลางสมรภูมิรบ
พูดกันอย่างเป็นธรรม...การมีหนุ่มในเครื่องแบบรูปงามลงไปเดินกันให้ขวักไขว่ ขณะที่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็มีหญิงมุสลิมวัยสะพรั่งจำนวนไม่น้อย โอกาสที่ฝ่ายหญิงและฝ่ายชายจะ “ปิ๊งปั๊ง” กระทั่ง “สปาร์ค” เป็นสัมพันธ์ลึกซึ้งเกินกว่าเจ้าหน้าที่รัฐกับประชาชนย่อมมีมากและมิอาจหลีกเลี่ยง

แต่ประเด็นนี้เป็นประเด็นอ่อนไหวอย่างยิ่ง เพราะมีเรื่อง “ศาสนา” เข้ามาเกี่ยวข้อง เนื่องจากชายในเครื่องแบบเกือบ 100% เป็นพุทธศาสนิกชน ขณะที่สาวๆ ในพื้นที่กว่า 80-90% ก็เป็นมุสลิม

การมีสัมพันธ์หรือแต่งงานกันข้ามศาสนาเป็นเรื่องใหญ่ในดินแดนที่ศรัทธาแห่งอิส ลามแรงกล้าเช่นที่นี่ ประเพณีที่รู้ๆ กันก็คือ ไม่มีใครอยากให้ลูกสาว “แต่งออก” สิ่งเดียวที่พอจะยอมรับได้ก็คือให้ชายจากศาสนาอื่นยอม “รับอิสลาม”

แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ปัญหาจบ เพราะพื้นที่นี้มีขบวนการแบ่งแยกดินแดน หรือ กลุ่มก่อความไม่สงบ เป็นตัวละครหลักที่ทรงอิทธิพลอยู่ด้วย การขับเคลื่อนของขบวนการยืนอยู่บนฐานความเชื่อทางศาสนาอันเคร่งครัด (ไม่ว่าจะสร้างภาพหรือไม่ก็ตาม) ฉะนั้นพฤติกรรมข้ามเส้นประเพณีหรือหลักการทางศาสนาจึงเป็นเงื่อนไขที่ขบวน การหยิบมาใช้โจมตีเจ้าหน้าที่รัฐได้อย่างง่ายดาย

ฝ่ายความมั่นคงเองก็ตระหนักเรื่องนี้เป็นอย่างดี และพยายามหามาตรการป้องกันอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะ “กฎเหล็ก” ของแม่ทัพภาคที่ 4 ตั้งแต่ยุค พล.ท.พิเชษฐ์ วิสัยจร (ต.ค.2551 ถึง ก.ย.2553 ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ยศพลเอก) จนถึง พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ (ต.ค.2553 ถึงปัจจุบัน) ที่ห้ามทหารหาญในบังคับบัญชามีสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับ “หญิงมุสลิม” ในพื้นที่อย่างเด็ดขาด


พล.อ.พิเชษฐ์ สมัยดำรงตำแหน่งแม่ทัพ ถึงกับห้ามกำลังพลขอเบอร์โทรศัพท์สาวมุสลิมด้วยซ้ำ
แต่ดูเหมือน “กฎเหล็ก” และ “ม่านประเพณี” จะ มิอาจขวางกั้นความรู้สึกดีๆ ของคนสองคนได้ ตลอดมาจึงมีข่าวทหารไทยใจกล้ารักใคร่ชอบพอกระทั่งมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับหญิง มุสลิมเล็ดลอดออกมาเป็นระยะ แต่ด้วยความที่เป็นประเด็นละเอียดอ่อนทั้งในแง่ความมั่นคงและศาสนาดังกล่าว จึงทำให้ไม่ค่อยมีใครอยากจะพูดถึงกัน

แต่ในที่สุด “รักกลางสนามรบ” ก็ไม่อาจกลบให้เป็นเรื่อง “ลับเฉพาะ” ของคนสองคนได้อีกต่อไป เมื่อมีคลิปทหารกอดจูบดูดดื่มกับสาวสวมฮิญาบว่อนอยู่ในโลกไซเบอร์ ทำลาย “กฎเหล็ก” ของแม่ทัพอย่างชนิด “ตีแสกหน้า”

นายทหารที่ทำงานใกล้ชิดกับทั้งแม่ทัพพิเชษฐ์ และแม่ทัพอุดมชัย กล่าวถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างไม่ค่อยเต็มใจจะพูดถึงว่า เป็นเรื่องที่พูดยาก เพราะพูดไปก็จะมีแต่เสียกับเสีย แต่ประเด็นก็คือต้องเข้าใจว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยความยินยอม พร้อมใจของ “คนสองคน” เท่านั้น
“ตบ มือข้างเดียวคงไม่ดัง ยอมรับว่าที่ผ่านมาเรามีกฎเหล็กก็จริง แต่ก็มีทหารจำนวนหนึ่งที่แหกกฎ เราก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะจะว่าไปก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา หลายคู่ก็จริงจังถึงขั้นแต่งงานกัน ทหารเราเปลี่ยนศาสนาไปเป็นอิสลามก็มี ก็อยู่กันอย่างมีความสุข” นายทหารคนใกล้ชิดแม่ทัพ กล่าว

แต่งงาน-หนีตาม-ทำแท้ง
จากการลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่า เรื่องราวความสัมพันธ์เชิงชู้สาวระหว่างทหารกับหญิงสาวมุสลิมนั้น มีจำนวนไม่น้อยเลย บางพื้นที่แทบจะเป็นกระแสคล้ายๆ หญิงไทยในภาคอีสานนิยมแต่งงานกับฝรั่งเลยทีเดียว

หมู่บ้านแห่งหนึ่งในอำเภอพื้นที่สีแดงของ จ.ยะลา มีการแต่งงานระหว่างเด็กสาวในหมู่บ้านกับทหารหาญที่เข้าไปปฏิบัติงานใน พื้นที่แล้วถึง 5 คู่!


นายยะโก๊ป หร่ายมณี อิหม่ามมัสยิดกลางประจำจังหวัดปัตตานี ยืนยันข้อมูลเรื่องนี้ว่า ระยะหลังการแต่งงานระหว่างคู่บ่าวสาวที่เจ้าบ่าวเป็นเจ้าหน้าที่รัฐและเป็นคนนอกศาสนา (อิสลาม) ซึ่งมาปฏิบัติงานรับใช้ชาติอยู่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ กับเจ้าสาวที่เป็นผู้หญิงมุสลิมมีมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก

ขณะที่อิหม่ามประจำมัสยิดเล็กๆ แห่งหนึ่งใน จ.ยะลา บอกว่า มีเด็กสาวมุสลิมมาขอให้ทำพิธีแต่งงานกับทหารซึ่งเป็นคนนอกศาสนาหลายคู่แล้ว ซึ่งเขาไม่สามารถห้ามปรามอะไรได้ ก็ต้องทำให้ เพราะหากไม่ทำก็เกรงจะเกิดผลร้ายตามมา เช่น หนีตามกันไป ซึ่งจะกลายเป็นการอยู่กินกันอย่างผิดหลักศาสนา

อย่างไรก็ดี เรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างทหารหนุ่มกับมุสลิมสาวไม่ได้มีเฉพาะที่ถูกต้อง ตามทำนองคลองธรรม คือแต่งงาน เปลี่ยนศาสนา แล้วอยู่กันอย่างมีความสุขเท่านั้น เพราะว่ายังมีอีกหลายคู่ที่กระทำในลักษณะผิดศีลธรรม โดยเฉพาะการที่ฝ่ายชายไปมีสัมพันธ์กับหญิงมุสลิมที่มีสามีแล้ว กระทั่งต้องเลิกรากับสามีเก่า จากนั้นก็พากันหนี

นายเซ็ง (สงวนนามสกุล) ชาวบ้านในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เล่าว่า ลูกสาวของเขา 2 คนหนีตามทหารเข้าไปอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งใน อ.บันนังสตา จ.ยะลา โดยลูกสาวคนโตของเขามีสามีอยู่แล้ว แต่กลับไปมีความสัมพันธ์กับทหารจนต้องแยกทางกับสามีที่อยู่กินมานานถึง 5 ปี
“เมื่อก่อนลูกสาวเป็นเด็กดี อยู่ในกรอบประเพณีและศาสนา คนพี่มีสามีอยู่แล้ว สามีก็ทำมาหากินเลี้ยงครอบครัวเป็นอย่างดี แม้จะยังไม่มีลูก แต่พวกเขาก็วางแผนจะมีลูกด้วยกัน ต่อมามีทหารเข้ามาทำงานในหมู่บ้าน ลูกสาวก็ไปคบหาและไปไหนมาไหนด้วยกันจนต้องเลิกรากับสามี ส่วนคนน้องก็หนีไปกับทหารด้วย อกคนเป็นพ่อแทบแตก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ทนร้องไห้อยู่ในใจเพราะเจ็บใจที่ลูกสาวสองคนหนีตามทหารไป” เขาระบายความรู้สึก
นายเซ็ง บอกด้วยว่า เป็นห่วงลูกหลานคนอื่นๆ ในพื้นที่มาก กลัวจะต้องตกอยู่ในสภาพเดียวกับเขาที่ลูกสาวหนีตามทหารให้ได้อับอาย

นอกจากเหตุการณ์ “หนีตาม” หรือ “วิวาห์เหาะ” แล้ว ยังมีเรื่องบัดสีที่รู้กันวงในอีกหลายกรณี เช่น “คนมีสี” หน้าห้องผู้ใหญ่คนหนึ่งของฝ่ายความมั่นคง เคยพาเด็กสาวมุสลิมไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังใน จ.ยะลา เพื่อทำแท้ง!

เรื่องนี้ปรากฏเป็นข่าวลือแบบ “ปากต่อปาก” ชนิดเมาท์กันแซ่ดในพื้นที่ เพราะเผอิญในวันที่พากันไปโรงพยาบาลนั้น มีนักข่าวแอบเห็นและจำหน้า “คนมีสี” รายนี้ได้ ในจังหวะที่ฝ่ายชายกำลังพยายามพูดจาหว่านล้อมปลอบประโลมให้เด็กสาวยอม “ทำแท้ง” โดยอ้างว่าไม่พร้อมมีบุตร

คลิปข่มขืน-ข่าวลือชำเรา สะท้อนสังคมเน่าเฟะ
ไม่ใช่เพียงแค่ “หนีตาม-ทำแท้ง” เท่านั้นที่เป็นเรื่องราวเสียดแทงคนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่ชาวบ้านเชื่อว่ามีการ “ข่มขืน” หญิงมุสลิมเกิดขึ้นด้วย
อย่าง เช่นเหตุการณ์ที่ อ.กริงปินัง จ.ยะลา เมื่อปีก่อน ลือกันว่าทหารพรานใช้อาวุธปืนจี้บังคับเด็กสาวหน้าตาดีซึ่งมักทำหน้าที่ถือ ป้ายเดินพาเหรดในงานโรงเรียนหรืองานของหมู่บ้าน แล้วพาตัวไปข่มขืนกระทำชำเราในป่าละเมาะเขต อ.เมือง จ.ยะลา

เรื่องนี้จริงเท็จอย่างไรไม่มีใครรู้ แต่ญาติของเด็กซึ่งเป็นผู้ปกครองได้ไปแจ้งความเอาไว้ที่สถานีตำรวจ และมีการทำคดีกันจริง มีการเรียกภาพถ่ายทหารทั้งทหารหลักและทหารพรานจากทุกฐานปฏิบัติการรอบ ๆ พื้นที่เกิดเหตุมาให้ผู้เสียหายชี้ รวมทั้งตรวจดีเอ็นเอผู้ต้องสงสัยบางรายด้วย

แต่คดีนี้ทำไป ๆ ฝ่ายตำรวจค่อนข้างเชื่อว่าเป็นเรื่อง “โอละพ่อ” เพราะ 1.ผู้เสียหายไม่ยืนยันว่าคนร้ายเป็นทหารหรือไม่ แค่บอกเพียงว่ามีพระห้อยคอ 2.ระยะทางจากจุดที่อ้างว่ามีการใช้อาวุธปืนจี้พาตัวไป กับจุดที่อ้างว่ามีการข่มขืน ห่างกันนับสิบกิโลเมตร และต้องผ่านด่านตรวจหลายด่าน หากมีการกระทำในลักษณะลักพาตัวหรือไม่สมยอม เจ้าหน้าที่ตามด่านต้องสังเกตเห็น   3.เมื่อ สอบลึกลงไปพบข้อมูลน่าเชื่อว่าเด็กสาวกับผู้ถูกกล่าวหาอาจจะรู้จักกันมาก่อน หรืออาจเป็นคู่รักกัน เมื่อออกไปข้างนอกด้วยกันแล้วผู้ใหญ่ทางบ้านของฝ่ายหญิงรู้ เด็กหญิงก็เลยสร้างเรื่องว่าถูกข่มขืนข่มขู่ จะได้ไม่ถูกตำหนิ และ 4.หลังเกิดเหตุแม่ของเด็กสาวซึ่งอยู่ต่างอำเภอ ได้รับเด็กสาวไปอยู่ด้วย และให้ลาออกจากโรงเรียน ทำให้คดีปิดไม่ลง

เรื่องนี้ไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไร แต่หากไปถามชาวบ้านในละแวกที่เด็กสาวเคยอยู่ จะได้รับคำตอบว่าเป็นการ “ข่มขืน” ทั้งสิ้น แสดงว่าข่าวแบบนี้ชาวบ้านพร้อมเชื่อทันทีหากไม่รีบสร้างความกระจ่าง หรือมีข้อมูลหักล้างที่น่าเชื่อถือเพียงพอ


นางอังคณา นีละไพจิตร ประธานมูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพ ซึ่งทำงานด้านผู้หญิงและสิทธิมนุษยชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวว่า เรื่องการข่มขืนมีการร้องเรียนเข้ามาตลอด แต่แทบทั้งหมดไม่สามารถจับคนทำผิดมาลงโทษได้ ทั้งที่บางคดีก็มีหลักฐานไม่น้อย บางเหตุการณ์ผู้บังคับบัญชาของผู้ถูกกล่าวหายังยอมรับเสียด้วยซ้ำว่าเป็น กำลังพลของตนเอง แต่สุดท้ายเรื่องก็เงียบไป มีการเจรจาต่อรองให้ยอมความบ้าง ให้แต่งงานกันบ้าง ขณะที่ชาวบ้านไม่กล้าเรียกร้องสิทธิเพราะกลัว

นอกจากนั้น เรื่องต่ำทรามอย่างการ “ข่มขืน” ยังเกิดขึ้นในฟากของเจ้าหน้าที่รัฐเองด้วย เพราะเมื่อเดือน พ.ย.ปีที่แล้ว เพิ่งเกิดคดีตำรวจหญิงสังกัดโรงพักแห่งหนึ่งใน จ.ยะลา เข้าแจ้งความร้องทุกข์ว่าถูกเพื่อนสาวซึ่งเป็นตำรวจด้วยกันล่อลวงไปให้เพื่อนตำรวจผู้ชายข่มขืน แถมหนึ่งในตำรวจที่ถูกกล่าวหายังมีรางวัลแห่งเกียรติยศของวงการสีกากีพ่วง ท้ายด้วย
ที่หนักก็คืองานนี้เป็นปัญหาขัดแย้งส่วนตัวกันระหว่างตำรวจหญิงสองคน ฝ่ายหนึ่งจึงมอมเหล้าอีกฝ่ายไปให้เพื่อนชายที่เป็นตำรวจด้วยกันรุมโทรม!

เรื่องนี้ทำให้ฝ่ายความมั่นคงเสียหายถึง 2 เด้ง คือนอกจากพฤติกรรมตำบอนของ “คนในเครื่องแบบ” ที่เล่นงานกันเองแล้ว (ถ้าเป็นชาวบ้านจะขนาดไหน) ยังเจอกลุ่มผู้ไม่หวังดี “ปล่อยคลิป” ไล่หลัง โดยอ้างว่าเป็นคลิปของตำรวจหญิงถูกทหารพรานข่มขืนซ้ำ เนื่องจากมีข่าวลือบางกระแสระบุว่า หลังกลุ่มตำรวจรุมโทรมเสร็จแล้ว ยังนำร่างไร้สติของตำรวจหญิงผู้เสียหายไปโยนไว้ที่หน้าค่ายของทหารพรานแห่ง หนึ่ง ด้วยหวังให้โดนข่มขืนต่ออีกด้วย
นี่จึงเป็นที่มาของการ “ปล่อยคลิปทหารพราน” ทั้ง ๆ ที่เป็นคลิปเก่าที่เคยเผยแพร่มาแล้วเมื่อ 2 ปี ก่อน ซึ่งสมัยนั้นอ้างว่าเป็นคลิปทหารพรานข่มขืนสาวมุสลิม และได้มีการตรวจพิสูจน์กันเป็นการภายในแล้วว่าน่าจะเป็นภาพยนตร์ประเภทปลุก ใจเสือป่าของต่างประเทศมากกว่า แต่แล้วก็ยังมี “มือมืด” ปล่อยคลิปเก่าโดยอ้างว่าเป็นคลิปทหารพรานข่มขืนตำรวจสาว หวังสร้างความแตกแยกระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐต่างหน่วยด้วย

จัดเด็กสาวติดยาส่ง “ลูกค้า” ถึงโรงแรม
ความฟอนเฟะของสังคมชายแดนใต้ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เพราะจากการลงพื้นที่พูดคุยกับพนักงานโรงแรงชื่อดังแห่งหนึ่งใน จ.ปัตตานี ได้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการ “จัดเด็ก” ส่งให้ลูกค้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับต่าง ๆ ที่ลงมาปฏิบัติงานแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่นั่นเอง

พนักงานโรงแรมรายนี้ เล่าให้ฟังว่า ช่วงที่มีคณะเจ้าหน้าที่มาพัก มักจะเห็นหญิงวัยรุ่นทั้งไทยพุทธและมุสลิม อายุตั้งแต่ 16 ปีถึง 20 ต้น ๆ เดินเข้าออกโรงแรงเป็นจำนวนมาก โดยเด็กเหล่านั้นมี “กระเทย” คอยขี่รถจักรยานยนต์รับส่ง

ด้วยความสงสัยเขาจึงเข้าไปซักถามกระทั่งได้ข้อมูลจาก “กระเทย” รายนี้ว่า ทำหน้าที่เป็น “นกต่อ” จัดหาเด็กสาวให้กับคณะเจ้าหน้าที่ที่มาประชุมและเข้าพักที่โรงแรม ได้เงินครั้งละ 500 บาท ส่วนเด็กสาวได้เงินครั้งละ 1,500 บาทถึง 3,000 บาท โดยส่วนใหญ่จะเป็นเด็กตามหมู่บ้านที่ติดยาเสพติด

พนักงานโรงแรมยังให้ข้อมูลอีกว่า เจ้าหน้าที่ที่เรียกใช้บริการเด็กสาว ส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าหน้าที่ที่ลงมาตั้งฐานปฏิบัติการตามตัวอำเภอ และเข้ามาพักโรงแรมในเขตเมืองช่วงวันหยุดพักหรือวันที่มีประชุม ส่วนผู้หญิงที่ขายบริการจะเป็นเด็กติดยาเสพติด มีทั้งเด็กมัธยมและนักศึกษา
“เวลามีคณะเข้าพักที่โรงแรม จะมีการโทรศัพท์ไปยังกระเทยนกต่อให้หาเด็กให้ โดยบอกสเปคว่า ต้องการเด็กแบบไหน จากนั้นกระเทยรายนี้ก็จะจัดหามาส่ง และรับเงินค่าบริการไป” พนักงานโรงแรมกลางเมืองปัตตานี ระบุ

“ยาเสพติด” ตัวเร่งสังคมเสื่อม
ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหายาเสพติดที่ระบาดอย่างหนักเข้าไปถึงระดับหมู่บ้านและครัว เรือนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้กลายเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้สังคมที่เคยสงบ สันติสุข เคร่งศาสนา และประพฤติตนอยู่ในกรอบคำสอนของศาสดา แปรเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมืออย่างรวดเร็ว
นางลาตีปาร์ มะนาหิง มารดาที่ได้รับรางวัล “แม่ดีเด่น” เพราะทำหน้าที่เลี้ยงลูกสาวถึง 6 คนและลูกชายอีก 1 คน บอกว่า ทุกครั้งเมื่อได้ยินข่าวข่มขืน หรือเด็กสาวหนีตามทหารไป รู้สึกคิดหนักและเครียดมาก ต้องพยายามหาทางสร้างภูมิคุ้มกันไม่ให้ลูกของเราเป็นแบบนั้น

“จะว่าไปก็เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อมีอะไรเข้ามาล่อตา เด็กสาว ๆ ก็ต้องหลงระเริงไป ฉะนั้นก็สุดแล้วแต่อัลเลาะฮ์ว่าจะให้ลูก ๆ เดินทางไหน เราก็ได้แต่ขอพรให้ลูกๆ ของเราพ้นจากวงจรนี้ บอกตรงๆ ว่าตลอด 7 ปี ที่เกิดสถานการณ์ความไม่สงบ สภาพสังคมในพื้นที่ย่ำแย่อย่างมาก โดยเฉพาะยาเสพติดที่ระบาดอย่างหนัก ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นไปได้อย่างไร ทั้งๆ ที่มีเจ้าหน้าที่ลงมาปฏิบัติหน้าที่เป็นจำนวนมาก” ลาตีปาร์ กล่าว

เท่าที่ได้พูดคุยรับฟังความเห็นจากชาวบ้านตามร้านน้ำชาในหลายๆ พื้นที่ ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การระบาดของยาเสพติดเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้สังคมชายแดนใต้เหลวแหลกเละเทะ และฟอนเฟะดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

“รักระหว่างรบ” ระหว่างทหารพุทธกับหญิงมุสลิม จึงไม่ใช่นิยายรักของ “คู่ตุนาหงัน” แต่มันมีความจริงอันฟอนเฟะซ่อนอยู่ข้างในนั้น...รอวันที่ทุกฝ่ายจะยอมรับความจริงและเริ่มแก้ไขกันเสียที!

จาก MTODAY ฉบับที่ 11 ประจำวันที่ 16 เมษายน -15 พฤษภาคม 2554

Thursday, May 26, 2011

มะแอ อภิบาลแบ (อีกแล้ว)

IMG_4514

วันนี้ (26 พ.ค. 2554) เวลาประมาณ 15.30 น. ผมได้รับมอบหมายจาก พ.ต.อ.สุวัตต์ วงค์ไพบูลย์ ผกก.สภ.บันนังสตา ให้นำกำลังเข้าตรวจค้นพิสูจน์ทราบที่บ้านเลขที่  37 หมู่ 3 (ปอเนาะยีมามุ) ต.บันนังสตา อ.บันนังสตา จ.ยะลา เนื่องจาก ข้อมูลเบื้องต้น คือตัวเจ้าของบ้าน  นายกอเดร์ ดอเลาะ อายุ 44 ปี เป็นเจ้าของอาวุธปืนพกสั้นแบบกึ่งอัตโตมัติ ขนาด .38 .ซุปเปอร์ ทะเบียน ยล 5/5930  ซึ่งตกอยู่ในที่เกิดเหตุ จากเหตุการณ์ กรณีการวิสามัญฆาตกรรมนายมะแอ อภิบาลแบ  แกนนำระดับสั่งการ/หน.ฝ่ายคอมมานโด กลุ่มก่อความไม่สงบพื้นที่ อ.บันนังสตา และ อ.ธารโต จ.ยะลา กับพวกรวม 4 ศพ ในท้องที่ อ.ธารโต จ.ยะลา เมื่อ 20 พ.ค. 2554 ที่ผ่านมา

ที่มา: วิสามัญ มะแอ อภิบาลแบ

ผม ได้ประสานงาน จนท.ทหาร ฉก.ยะลา 15  เพื่อเข้าพิสูจน์ทราบพร้อมกัน  เมื่อเดินทางไปถึงบ้านหลังดังกล่าว พบนายมะรอมือลี ดอเลาะ น้องชายของนายกอเดร์ฯ สอบถามนายมะรอมือลีฯ ได้ความว่า  นายกอเดร์ฯ พี่ชายของตนถูกคนร้ายยิงเสียชีวิต พร้อมบุตรชายวัย 3 ขวบ เมื่อตอนเช้าตรู่ของวันที่ 19 มิ.ย. 2551  หลังเกิดเหตุสะเทือนขวัญในครั้งนั้น กลุ่มก่อความไม่สงบได้โหมโฆษณาชวนเชื่อว่า  การตายของนายกอเดร์ฯ กับบุตรชายวัยแบเบาะ เป็นการกระทำของ จนท.รัฐ  ซึ่งแม้แต่เพื่อนบ้านของผู้ตายในขณะนั้นต่างก็เชื่อโดยสนิทใจว่า จนท.รัฐ เป็นผู้กระทำ

วันนี้ ความดำมืดของเหตุการณ์ได้กระจ่างแล้ว....  ในวันที่ผู้ก่อเหตุในครั้งนั้นได้ชดใช้ในสิ่งที่ตนเองได้กระทำอย่างสาสม.......

Friday, May 20, 2011

เด็ดหัว “มะแอ อภิบาลแบ” มือสังหารจ่าเพียร

clip_image001
ที่มา: เด็ดหัว'มะแอ อภิบาลแบ'มือสังหารจ่าเพียร

ตำรวจ-ทหาร สนธิกำลัง ปิดล้อม บ้านจาเราะแป อ.ธารโต จ.ยะลา ปะทะเดือดโจรใต้ ดับ 4 เจ้าหน้าที่ปลอดภัย ตรวจสอบพบ 1 ในโจรใต้ คือ มะแอ อภิบาลแบ มือลอบวางระเบิดจ่าเพียร ค่าหัว 2 ล้านบาท...

เมื่อเวลา 06.30 น. วันที่ 20 พ.ค. พ.ต.อ.วิชัย แจ้งสกุล ผกก.สภ.ธารโต จ.ยะลา ได้รับแจ้งจาก ทหารพราน ฉก.ทพ.47 ว่า มีเหตุปะทะ และ วิสามัญกลุ่มโจรใต้พวกก่อความไม่สงบ ที่บ้านจาเราะแป หมู่ 3 ต.ธารโต จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ ต่อมาพร้อม พล.ต.ต.โชติ ชวาลวิวัฒน์ ผบก.พ.ต.ท.ประเดิมชัย ไพรสนธิ์ พงส. (สบ3) ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด ศรศึก-ศรชัย อัยการจังหวัด แพทย์ตำรวจ ศชต. นายอาวุธ เลิศเดชานนนท์ ปลัดฝ่ายความมั่นคง อ.ธารโต นำกำลัง ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครองเดินทางไปสอบสวนพบว่าที่เกิดเหตุอยู่ห่างจากถนนสาย 410(ยะลา-เบตง) เข้าไปร่วม10 กม. ถนนดินลูกรังทางแคบเลาะหุบเหว พบบ้านไม้ยกพื้นปลูก ในสวนยางพาราบริเวณหุบเขา เป็นบ้านเลขที่ 51/1 หมู่ 3 ของ นายมะดารี มูละ อายุ 31 ปี บริเวณด้านหลัง เป็นเนินเขาสวนยางพาราสูงชัน เจ้าหน้าที่พบศพ กลุ่มคนร้ายนอนเสียชีวิต เป็นระยะ ๆ บริเวณเนินเขาหลังหมู่บ้านรวม 4 ศพ

clip_image002

ทราบศพแรก ชื่อ นายอาแซ ฮูลู อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 15 หมู่ 3 ต.ธารโตและใกล้ ๆ กัน ชื่อนายมะสอบรี อาซู อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 40 หมู่บ้านเดียวกัน ส่วนอีก 2 ศพใต้โคนต้นลองกองยังไม่ทราบชื่อ เป็นชายฉรรจ์วัยไล่เลี่ยกันสภาพศพถูกยิงที่บริเวณศีรษะ และลำตัวพรุน ห่างศพเล็กน้อย พบอาวุธปืนสงครามอาก้า จำนวน 2 กระบอกและปืนพกสั้น ขนาด.380 ซุปเปอร์ อีก 1 กระบอก กระสุนปืนจำนวหนึ่ง จึงได้ยึดไว้พร้อมกับเปลสนาม บนบ้านพักจำนวน 4 หลัง

จากการสอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ พ.อ.ยุทธ นาม เพชรม่วง ผบ.กรมทหารพรานที่ 47 สืบทราบว่า มีกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบเข้ามาหลบซ่อนในหมู่บ้านเพื่อ รวมตัวก่อเหตุร้ายในพื้นที่ จึงได้ประสาน พ.อ.ทศพล ผ่องศรีสุข ผบ.ฉก.ยะลา 16 พ.ต.อ.พีระ บุญเลี้ยง รอง ผบก.ภ.จ.ยะลา สนธิกำลังกับตำรวจพลร่ม ฉก.ตชด.44 เข้าปิดล้อมตรวจค้นบ้านเป้าหมาย ระหว่างการตรวจค้น คนร้าย บนบ้านพักเห็นกำลังเจ้าหน้าที่ จึงได้เปิดฉากยิงเข้าใส่ พร้อมกระโจนลงจากบ้านวิ่งหนีไปทางเนินเขาหลังหมู่บ้าน หลังจากนั้นจึงได้เกิดการปะทะกันขึ้น ฝ่ายกำลังที่ปิดล้อมได้ยิงตอบโต้ไปอย่างดุเดือดนานประมาณ 15 นาที เมื่อเสียงปืนสงบลง เมื่อเข้าตรวจสอบแล้วพบพวกคนร้ายถูกยิงตายในที่เกิดเหตุดังกล่าว ส่วนเจ้าหน้าที่ปลอดภัย

จากการตรวจสอบ คนร้ายพบว่า นายอาแซ ฮู ลู อายุ 31 ปีเป็นแกนนำอาร์เคเค ตัวสำคัญ เป็นมือผลิตระเบิด มีหมายจับคดี ป.วิอาญา 214/49 เกี่ยวกับความมั่นคงของ สภ.ธารโต และ เกี่ยวข้องกับเหตุการความไม่สงบหลายเรื่อง รวมทั้งมีส่วนร่วมในการลอบวางแผนนำระเบิดเข้าไปก่อเหตุในเขตเทศบาลนครยะลา หลายครั้ง ส่วนนายมะสอบรี อาซู เป็นสมุนมือขวา เป็นกลุ่มคนร้ายที่เคลื่อนไหวในพื้นที่ อ.ธารโต และ ต.อัยเยอร์เวง อ.เบตง สำหรับคนร้ายอีก 2 ราย ยังไม่ทราบชื่อ เนื่องจาก เป็นคนต่างถิ่นเจ้าหน้าที่ตำรวจ อยู่ระหว่างการตรวจสอบ โดยคาดว่าเป็นพวกก่อความไม่สงบ หลบหนีการจับกุมมาจากนอกพื้นที่เข้ามากบดานกับนายอาแซ ฮูลู จนถูกวิสามัญดังกล่าว

ต่อมาเวลา 13.50 น. นายกฤษฎา บุญราช ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบคนร้ายที่เสียชีวิตทั้ง 4 ราย อย่างละเอียดอีกครั้ง ก็พบว่า 1 ใน 3 ของคนร้าย คือ นายมะแอ อภิบาลแบ อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 73 หมู่ 1 ต.บาเจาะ อ.บันนังสตา จ.ยะลา เนื่องจาก มารดาของนายมะแอ อภิบาลแบ ได้เดินทางมาดูศพ แล้วยืนยันว่า คือ นายมะแอ จริง ซึ่งล่าสุดมารดาของนายมะแอ ได้นำศพกลับไปทำพิธีทางศาสนาแล้ว

clip_image004

สำหรับนายมะแอ มีประวัติเกี่ยวกับการก่อการร้ายโชกโชน ครั้งแรกได้หลบหนีเข้าร่วมขบวนการเมื่อปี 2547 หลังจากถูกล้างสมองแล้วได้ลงมือปฏิบัติการทั้งฆ่าและลอบวางระเบิดในหลาย พื้นที่จังหวัดยะลา นับครั้งไม่ถ้วน ต่อมายกระดับตัวเองขึ้นเป็น ผู้บัญชาการระดับสั่งการใหญ่สุด ในเขตบันนังสตาและธารโต มีสมุนกว่า 30 คน ทำการเคลื่อนไหวในเขต ต.บาเจาะ ต.เขื่อนบางลาง ต.บันนังสตา อ.บันนังสตา ต.กรงปินัง อ.กรงปินัง ต.บ้านแหร ต.ธารโต อ.ธารโต ต.ปะแต อ.ยะหา และ ต.อัยเยอร์เวง อ.เบตง มีหมายจับตาม ป. วิอาญา จำนวน 28 หมาย โดยแยกเป็นหมาย จับของ อ.บันนังสตา จำนวน 17 หมาย อ.ยะหา จำนวน 5 หมาย อ.กรงปินัง จำนวน 5 หมาย และ อ.เมืองยะลา จำนวน 1 หมาย อดีตเคยมีค่าหัวสูงสุดถึง 2 ล้านบาท

มี หมายจับในคดีความมั่นคง ที่สำคัญๆ คือ หมายจับที่ 442/2550 ลงวันที่ 19 ตุลาคม 2550 ในคดียิงรถตู้หาดใหญ่ - เบตง ทำให้มีผู้เสียชีวิต จำนวน 8 ราย เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2550 หมายจับที่ 384/49 ลงวันที่ 22 กันยายน 2549 ลอบวางระเบิดและซุ่มโจมตี เป็นเหตุให้ พ.อ.สุทธิศักดิ์ ประเสริฐศรี ผบ.ฉก.ยะลา 1 เสียชีวิต เมื่อตอนบ่ายวันที่ 26 สิงหาคม 2549 และ หมายจับในคดีลอบวางระเบิด ซุ่มโจมตีเจ้าหน้าที่ อีกหลายครั้ง ที่เป็นข่าวใหญ่คือลอบวางระเบิดรถปิกอัพเจ้าหน้าที่ทหารพรานร้อย ทพ.4105 บนถนนสาย 410(ยะลา-เบตง) ต.ตาเนาะปูเต๊ะ เมื่อหัวค่ำวันที่ 31 พค.2550 เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ทหารพรานชุดนี้เสียชีวิตทั้งหมดรวม 11 นาย

ก่อน หน้านั้น ตอนบ่ายวันเดียวกันได้ดักซุ่มโจมตีทหารพรานกลุ่มนี้ไปแล้วที่บ้านคอลอกาเอ หมู่ 5 ต.บาเจาะ เป็นเหตุให้ทหารพรานตกลงมาจากรถเสียชีวิต 1 นาย พวกคนร้ายได้บุกเข้าไปตัดคอ เผาแล้วแย่งเอาอาวุธปืนอาก้าไป และที่เป็นข่าวครึกโครม คือวันที่ 12 มี.ค.2553 ลอบวางระเบิดรถปิกอัพ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผกก.สภ.บันนังสตา จนเสียชีวิตที่บ้านทับช้าง หมู 9 ต.ตาเนาะปูเต๊ะ

นอกจากนั้นนายมะแอ อภิบาลแบ ยังเคยนำกำลังบุกโจมตีบ้านพักนายรุ่งชัย ใบกว้าง อดีตนายอำเภอบันนังสตา โจมตี สภ.บันนังสตา เมื่อกลางปี 2548 มาแล้ว และในที่สุดต้องมาปิดฉากชีวิตยุติการก่อกรรมด้วยการถูกวิสามัญดังกล่าว

ส่วน นายมุสตอปา แนลูแล นั้น มีหมายจับ จำนวน 8 หมาย แยกเป็น อ.บันนังสตา จำนวน 7 หมาย และ อ.ธารโต จำนวน 1 หมาย ขณะนี้ ญาติของผุ้ตายได้ขอนำศพกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อไปแล้ว

ด้าน พล.ต.ต.โชติ ชวาลวิวัฒน์ ผบก.ภจว.ยะลา หลังทราบว่าผู้ทีเสียชีวิต 1 ใน 4 คน เมื่อเช้านี้คือ นายมะแอ อภิบาลแบ ก็ได้สั่งกำชับและให้วิทยุแจ้งเตือนไปยังหน่วยกำลังทุกพื้นที่ให้เตรียมความ พร้อม เพราะคาดว่าพรรคพวกของนายมะแอ จะต้องทำการล้างแค้นและตอบโต้เจ้าหน้าที่รัฐอย่างแน่นอนในเร็ว ๆ นี้

ปฏิบัติการณ์เด็ดชีพมะแอ อภิบาลแบ

Friday, May 6, 2011

ผู้ต้องสงสัยกราดยิงร้านน้ำชาบ้านกาโสดเข้ารายงานตัวกับเจ้าหน้าที่

ผู้ต้องสงสัยกราดยิงร้านน้ำชาบ้านกาโสดเข้ารายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ แสดงความบริสุทธิ์ใจ ด้าน จนท.ยันให้ความยุติธรรมตามกระบวนการทางกฎหมาย

เมื่อวันที่ 6 พค.54 เวลา 12.10 น. ผู้สื่อข่าวรางานจาก สถานีตำรวจภูธรบันนังสตา อ.บันนังสตา จ.ยะลา ว่า นายวิชาญ ศรีจันทร์อินทร์ กำนันตำบลคีรีเขต อ.ธารโต จ.ยะลา ได้นำตัวนายธีรพล ปานดำ อาย 22 ปี อดีตทหารพรานสังกัดกรมทหารพรานที่ 41 ยะลา อยู่บ้านเลขที่ 28/5 ม.3 ต.คีรีเขต อ.ธารโต จ.ยะลา ซึ่งตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีก่อเหตุกราดยิงร้านน้ำชา ที่บ้านกาโสด ม.5ต.บันนังสตา อ.บันนังสตา จ.ยะลา เมื่อวันที่ 3 พค.54 ที่ผ่านมา เข้ารายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ภาครัฐ 3 ฝ่าย ซึ่งมี พ.ต.อ.สุริยา ไชยโยธา รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดยะลา พ.ต.อ.ภูมิเพ็ชร พิพัฒน์เพชรภูมิ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดยะลา พ.ต.อ.สุวัตต์ พงษ์ไพบูลย์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรบันนังสตา พ.อ.เทอดศักดิ์ งามสนอง รองเสนาธิการ หน่วยเฉพาะกิจยะลา และนายสนั่น สนธิเมือง นายอำเภอบันนังสตา ร่วมกันเป็นสักขีพยานในการเข้ารายงานตัวครั้งนี้

พ.ต.อ.สุวัตต์ พงษ์ไพบูลย์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรบันนังสตา เผยว่า คดีดังกล่าว จากการสอบปากคำพยานที่เห็นเหตุการณ์ ที่อยู่ในที่เกิดเหตุ และแนวทางการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่พบว่า นายธีรพล ปานดำ ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในการก่อเหตุดังกล่าว และเจ้าหน้าที่ได้สนธิกำลังกันเข้าตรวจสอบ พร้อมกับพุดคุยกับผู้นำชุมชนผู้นำหมู่บ้าน ให้นำตัวนายธีรพล ปานดำ ที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัย เข้าแสดงตัวกับทางการเพื่อ แสดงความบริสุทธิ์ใจ โดยทางเจ้าหน้าที่จะให้ความยุติธรรม ตามกระบวนการทางกฎหมาย ไม่มีการแบ่งแยก

ซึ่งหลังจากนายธีรพล ปานดำ เข้ารายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ ทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารโดย หน่วยเฉพาะกิจยะลาที่ 15 จะดำเนินการตามกฎอัยการศึกในการควบคุมตัวไปสอบสวนทำประวัติ ก่อนจะส่งตัวให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อไป

ด้าน พ.อ.เทอดศักดิ์ งามสนอง รองเสนาธิการหน่วยเฉพาะกิจยะลา กล่าวว่า การเกิดเหตุในพื้นที่ 3 จชต.นั้น จะต้องตรวจสอบให้ชัดเจนว่าเป็นเรื่องความมั่นคงหรือเหตุส่วนตัว หรือ พยายามสร้างสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรง หรือไม่หรือความขัดแย้งที่เกี่ยวข้องกับคดีอาญาต่างๆ ซึ่งตรงนี้เจ้าหน้าที่ทั้ง สามฝ่าย ทหาร ตำรวจ พลเรือน ร่วมตรวจสอบ ซึ่งทหารมีอำนาจในกฎอัยการศึก เชิญตัวมาซักถามข้อมูลที่เกี่ยวข้องตำรวจก็มีหน้าที่ดำเนินคดีตั้งแต่วันแรกในการสืบสวนหาข้อมูล จนได้ผู้ที่มามอบตัวในครั้งนี้ ทำให้เห็นว่ามีความคลี่คลาย ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการก่อเหตุในความรุนแรง ความมั่นคง จะได้ไม่มีความสับสน และมี ความเข้าใจที่ตรงกันของประชาชนในพื้นที่ทั้งบันนังสตา และพื้นที่อื่น ๆ

“ทางท่าน ผบ.ทบ.และท่านแม่ทัพภาคที่ 4ได้เน้นย้ำว่าการดำเนินการในพื้นที่ถ้ามีความผิดก็ดำเนินการตามกฎหมายอย่างชัดเจน เท่าเทียมกัน ซึ่งเราจะต้องตรวจสอบให้แน่ชัดว่าคดีนี้มีมูลเหตุจากเรื่องใด เหตุความไม่สงบ หรือ ความผิดทางอาญาให้ชัดเจน ซึ่งทหารก็คงจะร่วมสอบสวนหาว่าเกี่ยวข้องทางใดมากที่สุด และจะหาพยานหลักฐานต่อเนื่องในส่วนที่เกี่ยวข้อง และหาพยานให้มากที่สุดในการที่จะดำเนินการให้ชัดเจนต่อไป” พ.อ.เทิดศักดิ์ กล่าว

ใบปลิวระบาดในยะลา ใส่ความ “ทหารเหี้ยม!ฆ่าประชาชน”

โดย ปาแด งามูกอ 5 พฤษภาคม 2554
ที่มา: ใบปลิวระบาดในยะลาฯ

จะจริงเท็จ รัฐบาลและหน่วยงานที่รับผิดชอบทางชายแดนใต้ไปว่ากันเอง แต่ประชาชนในพื้นที่ 99.996% เขาเชื่อตามข้อกล่าวหาในใบปลิวนี้ครับ

วันที่ 5 พ.ค. 2554 เวลา 07.05 น. สภ.บันนังสตา จ.ยะลา ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า พบใบปลิวกล่าวหา เจ้าหน้าที่ทหาร ยิงชาวบ้านในร้านน้ำชา ถูกทิ้งตามร้านน้ำชา หน้าโรงพยาบาล และหน้าโรงพัก จำนวนหลายแผ่น  ตรวจสอบ พบว่ามีชาวบ้านต่างมุงอ่านใบปลิวด้วยความสนใจ พร้อมกับวิพากษ์วิจารณ์ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  สำหรับใบปลิว นั้นมีลักษณะเป็นกระดาษ เอ 4 พิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์ ที่หัวกระดาษ มีภาพทหารในชุดสนามถือปืนเอ็ม 16 มีตัวหนังสือที่มุมภาพว่าละครเรื่อง เข้าใจ เข้าถึงและพัฒนา กำกับโดยตาเดียว หัวข้อในใบปลิว พิมพ์ตัวใหญ่ว่า “เหี้ยม! เจ้าหน้าที่ทหาร กระหน่ำยิงใส่ร้านน้ำชาวบ้านดับ 4 บาดเจ็บ 21 ราย”
โดยใบปลิวมีเนื้อหาว่า

“เมื่อเวลา 07.00 น. วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม 2554 ได้มีเจ้าหน้าที่ทหารไม่ต่ำกว่า 5 คนขับรถปิคอัพใช้อาวุธเอ็ม 16 และอาก้า กราดยิงเข้าไปในร้านน้ำชา ทำให้มีผู้เสียชีวิต 4 ราย บาดเจ็บ 21 จากการสอบถามชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์รายหนึ่งทราบว่า ขณะที่ชาวบ้านกว่า 30 ราย กำลังนั่งดื่มน้ำชาและซื้ออาหารที่ริมถนน หน้าโรงเรียนบ้านกาโสด ซึ่งอยู่ห่างจากกองร้อยสังกัด ฉก.15 ประมาณ 100 เมตร ได้มีเจ้าหน้าที่ทหาร มากับรถกระบะ มาจอดที่หน้าร้านน้ำชา แล้วคนหนึ่งอยู่ท้ายกระบะ ก็ใช้อาวุธปืนสงครามยิงใส่ชาวบ้านที่นั่งกินอาหารอยู่ที่โต๊ะริมถนน เป็นเหตุให้ชาวบ้านเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บดังกล่าว ก่อนที่เจ้าหน้าที่ทหารจะหลบหนีไป และเจ้าหน้าที่ทหารได้ยิงปืนขู่ตลอดทาง เพื่อสร้างความหวาดกลัวให้กับชาวบ้านที่พบเห็น”

ปล.หลังยิงชาวบ้านเสร็จ รถเจ้าหน้าที่ทหารมุ่งหน้าไปยังโรงพักบาตูตาโมง ต.ถ้ำทะลุ อ.บันนังสตา ซึ่งอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 2 กม.

พล.ต.อัคร ทิพโรจน์ รอง ผอ.รมน.ภาค 4 กล่าวถึงกรณีมีใบปลิวกล่าวหาทหาร ยิงทหารชาวบ้านที่ อ.บันนังสตา ว่าเป็นการกล่าวหาเพื่อสร้างกระแสให้เกิดความแตกแยกของกลุ่มผู้ไม่หวังดีมากกว่า เนื่องจากในห้วงที่ผ่านมา ในพื้นที่บันนังสตา เงียบจากสถานการณ์ ชาวบ้านมีความสงบสุข ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่มากขึ้น ทำให้กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบได้รับความร่วมมือจากชาวบ้านน้อยลง

ทำให้การทำงานของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบเป็นไปด้วยความยากลำบากมากขึ้น ทำให้ฝ่ายกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ พยายามที่สร้างสถานการณ์เพื่อให้ประชาชนเข้าใจเจ้าหน้าที่ในทางลบ เพื่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าที่กับประชาชน

ดังนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ในระดับปฏิบัติในพื้นที่ ต้องรีบลงไปทำความเข้าใจกับประชาชนให้ถึงบันไดบ้านโดยเร็วที่สุด ก่อนที่ประชาชนจะเข้าใจผิดไปมากกว่านี้
แบบนี้ไม่ต้องเอาเรื่อง บิน ลาเดน มาเป็นจุดขาย แค่เรื่องนี้ รับรองว่า เละแน่.....!!!!

)

(ภาพบน)หน่วยแพทย์พยาบาลช่วยชีวิตชาวบ้านมุสลิมที่ได้รับบาดเจ็บจากการถูกยิงใส่ขณะนั่งอยู่ในร้านน้ำชาริมถนน ในพื้นที่จังหวัดยะลา เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 4 ศพ บาดเจ็บ 15 ราย (ภาพล่าง)เจ้าหน้าที่ตำรวจพลิกศพชาวไทยพุทธที่ถูกฆ่าแล้วเผา2ศพเมื่อ5พฤษภาคม ในจังหวัดยะลา (ภาพข่าว:รอยเตอร์)
*****
เรื่องเกี่ยวเนื่อง: ฆ่าแล้วเผาชาวบ้าน 2 ศพ ตอบโต้เหตุการณ์กราดยิงร้านน้ำชาบ้านกาโสด

Thursday, May 5, 2011

ฆ่าแล้วเผาชาวบ้าน 2 ศพ ตอบโต้เหตุการณ์กราดยิงร้านน้ำชาบ้านกาโสด

คืบหน้าเหตุคนร้ายยิงและเผาชาวบ้าน 2 ราย ที่ อ.บันนังสตา จ.ยะลา ขณะที่ชาวบ้านกาโสดกลัวคนร้ายไม่กล้าเดินทางมาละหมาดที่มัสยิด ส่วนคดีกราดยิงร้านน้ำชา ผกก.บันนังสตา เผยมีความคืบหน้าแต่ขอเวลาให้เจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติงาน

จากกรณีที่เกิดเหตุคนร้ายไม่ทราบกลุ่มและจำนวนประกบยิงชาวบ้าน 2 ราย ก่อนลงมือราดน้ำมันจุดไปเผาจนเสียชีวิตอนาถ ริมถนนสาย 410 บันนังสตา – ธารโต ม.5 บ้านกาโสด ต.บันนังสตา อ.บันนังสตา จ.ยะลา เมื่อเวลาประมาณ 12.20 น. ของวันนี้ ( 5 พค.54 ) ซึ่งจุดเกิดเหตุอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุคนร้ายกราดยิงร้านน้ำชา เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 3 พค.54 เพียงไม่ถึง 300 เมตร

ความคืบหน้าเมื่อเวลาประมาณ 16.00 น. หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบ และนำร่างผู้เสียชีวิตทั้ง 2 ราย ส่งไปชันสูตรที่โรงพยาบาลบันนังสตา โดยทราบชื่อผู้เสียชีวิต คือ นายวิรัช แต้มประสิทธิ์ อายุ 67 ปี อยู่บ้านเลขที่ 46/1 หมู่ 2 ต.คลองลุ อ.กันตัง จ.ตรัง อีกรายคือ นางหนูแดง แต้มประสิทธิ์ อายุ 47 ปี อยู่บ้านเลขที่เดียวกัน ซึ่งเชื่อว่า ทั้ง 2 คน เป็นสามีภรรยากัน โดยเจ้าหน้าที่พบสำเนาทะเบียนบ้านและบัตรประจำตัวประชาชนในที่เกิดเหตุ เบื้องต้นเชื่อว่า ผู้เสียชีวิตทั้ง 2 น่าจะเดินทางมาประกอบอาชีพกรีดยางพารา หรือ ทำสวนอยู่ในพื้นที่ อ.บันนังสตา หรือ อ.ธารโต ซึ่งทางเจ้าหน้าที่จะติดต่อญาติผู้เสียชีวิตมาสอบปากคำเพิ่มเติม

ขณะที่ พ.ต.อ.สุวัตต์ วงศ์ไพบูลย์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรบันนังสตา ได้เผยความคืบหน้า คดีกราดยิงร้านน้ำชา หลังจากที่มีการเรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.บันนังสตา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับคดีเข้าประชุมหารือติดตามความคืบหน้า ทราบว่าขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้ความคืบหน้าของคดีดังกล่าวในระดับหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ เนื่องจากเกรงว่าอาจจะทำให้เสียรูปคดี ในส่วนของเรื่องใบปลิวที่มีกลุ่มผู้ไม่หวังดี นำมาทิ้งไว้ในเขตเทศบาลตำบลบันนังสตาและพื้นที่ใกล้เคียงนั้น เชื่อว่าเป็นการกระทำของกลุ่มคนที่ต้องการสร้างความแตกแยก สร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ก็ยังจะพยายามที่จะเข้าไปสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ดังกล่าว

ซึ่งก่อนหน้านี้ ในวันนี้ ช่วงเวลา 12.30 น. ทาง พ.ต.อ.สุวัตต์ วงศ์ไพบูลย์ ผกก.สภ.บันนังสตา มีกำหนดการที่จะเดินทางไปยังมัสยิดบ้านกาโสด หมู่ที่ 5 บ้านกาโสด เพื่อพูดคุยทำความเข้าใจกับผู้นำศาสนา ผู้นำชุมชน และชาวบ้านในบริเวณดังกล่าว แต่ก็กลับมาเกิดเหตุการณ์คนร้ายยิงและเผา 2 สามีภรรยา ริมถนน ตรงข้ามกับมัสยิดบ้านกาโสด ที่ พ.ต.อ.สุวัตต์ วงศ์ไพบูลย์ จะเดินทางไปพบปะผู้นำศาสนา ผู้นำชุมชน และประชาชน

ขณะเดียวกันจากการสอบถามชาวบ้านในบริเวณบ้านกาโสด ม.5 ทราบว่า หลังเกิดเหตุการณ์คนร้ายกราดยิงร้านน้ำชา ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่ดังกล่าว เกิดความหวาดกลัว ร้านน้ำชา และร้านค้าในจุดที่เกิดเหตุ ได้ปิดร้านกันจนหมด แม้กระทั่งมัสยิดประจำหมู่บ้านที่เคยมีชาวบ้านเดินทางประกอบพิธีละหมาด เป็นประจำทุกวัน แต่หลังเกิดเหตุชาวบ้านก็ไม่กล้าที่จะเดินทางมามัสยิดเป็นเวลา 2 วันแล้ว

Wednesday, May 4, 2011

กราดยิงร้านน้ำชาริมถนนใน อ.บันนังสตา จ.ยะลา ชาวบ้านเสียชีวิต 4 เจ็บเกือบ 20 ราย

เมื่อวันที่ 3 พ.ค.54 เวลา 18.05 น. ศูนย์วิทยุ สภ.บันนังสตา ได้รับแจ้งว่า ได้เกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนกราดยิงเข้าไปในร้านน้ำชา ริมถนนสาย 410 ( บันนังสตา-ธารโต) ที่บ้านกาโสด ม. 5 ต.บันนังสตา อ.บันนังสตา จ.ยะลา เบื้องต้นมีชาวบ้านบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนหลายราย ชาวบ้านใกล้ที่เกิดเหตุ ได้ช่วยกันนำตัวผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลบันนังสตา หลังเกิดเหตุได้แจ้ง พ.ต.อ.สุวัตต์ วงษ์ไพบูลย์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรบันนังสตา ทราบ พร้อมประสานกำลังทหารหน่วยเฉพาะกิจยะลาที่ 15 รุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุทันที

ถึงที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่พบผู้เสียชีวิตจำนวน 4 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 12 ราย จึงได้ช่วยกันลำเลียงผู้บาดเจ็บทั้งหมดส่งโรงพยาบาลบันนังสตา ก่อนที่จะนำผู้บาดเจ็บที่มีอาการสาหัสจำนวน 5 ราย ส่งต่อโรงพยาบาลศูนย์ยะลา โดย 2 ใน 5 ราย เป็นเด็กอายุประมาณ 10 ปี ต่อมาทราบชื่อผู้เสียชีวิตทั้ง 4 ราย คือ 1.เด็กชายรุสลัน วาแวนิ อายุ 13 ปี 2.นายฮาซัน จิใจ อายุ 17 ปี 3.นางสาวรอยฮัน เย็งเลาะ อายุ 16 ปี และ 4.นายอุเซ็ง บราเฮง อายุ 50 ปี

ต่อมา พล.ต.ต.โชติ ชวาลวิวัฒน์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดยะลา พร้อมด้วย ชุดพิสูจน์หลักฐานที่ 10 เจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด และกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบปลอกกระสุนปืน อาก้า เอ็ม16 จำนวนหลายสิบปลอกตกเกลื่อนถนน จำนวน 3 จุด

จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ ได้มีคนร้ายจำนวนไม่ต่ำกว่า 4 คน แต่งกายเลียนแบบเจ้าหน้าที่ทหาร ใช้รถยนต์กระบะ แบบตอนครึ่งยี่ห้อ อีซูซุ สีบรอนด์ทอง ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน ขับมาชะลอบริเวณหน้าร้านน้ำชา ขณะที่มีชาวบ้านทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ อยู่ในบริเวณดังกล่าวจำนวนมาก ก่อนที่คนร้ายที่นั่งอยู่ท้ายกระบะใช้อาวุธปืนสงครามกราดยิงเข้าไปในร้าน น้ำชาที่ตั้งอยู่ริมถนนจำนวน 3 ร้าน เป็นเหตุให้ชาวบ้านเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บดังกล่าว หลังก่อเหตุคนร้ายได้ขับรถยนต์มุ่งหน้าหลบหนีไปทาง อ.ธารโต เบื้องต้นเชื่อเป็นฝีมือของกลุ่มคนร้ายที่ต้องการสร้างสถานการณ์ในพื้นที่

RevolverMap