Leh in my memory...

As we are entering the new era, where nations are becoming one community, I, as well as my PTI 27th session’s member friends have the mutual vision that we, and other friends of the Asia-Pacific nations, will become closer than ever.
ยินดีต้อนรับสู่โลกใบเล็กของผม โลกของคนทำงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ชีวิตในวัยเด็กผมเคยใฝ่ฝันอยากจะเป็นสถาปนิก แต่เมื่อยามต้องเลือกทางเดินของชีวิต ผมกลับเลือกที่จะสวมเครื่องแบบสีกากี โดยสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารเหล่าตำรวจ หลังสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ผมเลือกลงบรรจุรับราชการในตำแหน่งพนักงานสอบสวนที่อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี ชีวิตราชการวนเวียนโยกย้ายอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตลอดมา ถึงแม้จะอยู่ห่างไกลจากศูนย์อำนาจรัฐ และการทำงานในหลายโอกาสอาจพบพานกับอุปสรรคภยันตรายต่าง ๆ บ้าง แต่ที่นี่คือ “บ้าน” ผมจึงยังทำงานอยู่ที่นี่ ทุกวันนี้ผมมีความสุขกับงานที่ทำอยู่เสมอ...

Monday, February 17, 2025

แผ่นดินงอก: เรื่องราวจากลังกาสุกะสู่ปัตตานีและปัญหาในปัจจุบัน

 




แผ่นดินงอก: เรื่องราวจากลังกาสุกะสู่ปัตตานีและปัญหาในปัจจุบัน

แผ่นดินไม่ได้หยุดนิ่ง  เหมือนกับที่ชีวิตคนเราก็ไม่ได้หยุดนิ่ง มันมีพลวัต บางครั้งมันหายไปใต้คลื่น บางครั้งมันก็งอกขึ้นมาจากทะเล และทุกครั้งที่แผ่นดินเปลี่ยนแปลง มันก็เปลี่ยนชะตากรรม และชีวิตของผู้คนที่อาศัยอยู่บนนั้น

วันนี้ผมจะเล่าถึงเรื่องราวของ “อาณาจักรลังกาสุกะ” เมืองท่าของชาวมลายูโบราณ เมื่อครั้งที่ยังนับถือศาสนาพุทธ ที่เคยรุ่งเรืองในอดีต ก่อนจะจมหายไปเพราะแผ่นดินงอก จนกระทั่ง “ปัตตานี” ก้าวขึ้นมาแทนที่ และเรื่องของแผ่นดินงอกใน ตำบลสะกอม อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา ที่ผมเคยรับราชการอยู่ที่นั่นถึง 4 ปี เคยเป็นประเด็นร้อนในขณะนั้น

ลังกาสุกะ: เมืองท่าที่ถูกคลื่นแห่งกาลเวลากลืนหาย

ย้อนกลับไปกว่า พันปีที่แล้ว ลังกาสุกะเคยเป็นเมืองท่าสำคัญ ตั้งอยู่ในบริเวณอำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี เป็นจุดเชื่อมการค้าระหว่าง อินเดีย จีน และอาหรับ มีสินค้าหรูหราเดินทางผ่านที่นี่ ทั้งเครื่องเทศ ไม้หอม และทองคำ

แต่ความรุ่งเรืองนั้น ไม่จีรัง แผ่นดินที่เคยติดทะเลกลับถูก ตะกอนจากแม่น้ำและทะเลพัดพามาทับถม จนชายฝั่งทะเลถอยร่นออกไปเรื่อย ๆ เรือสินค้าที่เคยมาจอดที่นี่เริ่ม มุ่งหน้าไปยังท่าเรือแห่งใหม่ ที่สะดวกกว่า เช่น มะละกา และปัตตานี ลังกาสุกะที่เคยคึกคักจึงถูกทิ้งร้างในที่สุด

แผ่นดินงอกในเทพา: ปัญหาของวันนี้ที่สะท้อนอดีต

#ข้ามกาลเวลามาหารักแท้ เอ๊ย!!!!  มาสู่ ศตวรรษที่ 21 เรื่องราวของแผ่นดินงอกยังไม่จบ เมื่อ พื้นที่ใหม่กว่า 300 ไร่ งอกขึ้นมาจากทะเลใน ตำบลสะกอม อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา แต่แทนที่จะเป็นโอกาส กลับกลายเป็นปัญหา เมื่อประชาชนบางส่วนเข้าไปครอบครองพื้นที่นี้

ที่มาของแผ่นดินงอก

 • เกิดขึ้นจากตะกอนสะสมหลังการสร้างเขื่อนกันคลื่น บริเวณปากคลองสะกอมในปี พ.ศ. 2535 (พิกัดอยู่ในภาพถ่ายทางอากาศ)

 • แผ่นดินงอกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ปีละ 25-30 เมตร โดยกัดเซาะจากพื้นที่อื่นใกล้เคียงซึ่งถูกคลื่นกัดเซาะหายไป

 • จนปัจจุบันกลายเป็นพื้นที่กว่า 300 ไร่

ปัญหาที่เกิดขึ้น

 • ประชาชนบางส่วนเข้าไปครอบครองทำให้เกิดข้อพิพาท ระหว่างประชาชนต่อประชาชนและระหว่างประชาชนต่อหน่วยงานราชการ

 • หน่วยงานรัฐรับรู้มาตั้งแต่ปี 2556 แต่เพิ่งเริ่มกระบวนการรังวัดที่ดิน

 • ชาวบ้านที่ไม่ได้บุกรุกต้องการให้ที่ดินเป็นสมบัติสาธารณะ เพื่อจัดสรรให้กับรัฐและผู้ยากไร้

ในครั้งนั้น เมื่อ 16 กรกฎาคม 2561 นายสว่าง กองอินทร์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ 6 (สงขลา) กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (ในขณะนั้น)

ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าชุดพญาเสือ และเจ้าที่หน้าที่ฝ่ายอื่นๆ รวมทั้งทหาร ฝ่ายปกครองที่ไม่ได้เอ่ยนาม ได้เข้าร่วมปฏิบัติการบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่แผ่นดินงอก 300 ไร่นั้น

อดีตและปัจจุบัน: แผ่นดินเปลี่ยน คนต้องปรับตัว

เรื่องของ ลังกาสุกะ และแผ่นดินงอกในเทพา เป็นตัวอย่างของ อำนาจของธรรมชาติ ที่ไม่มีใครควบคุมได้

 • ลังกาสุกะ สูญเสียเมืองท่าเพราะชายฝั่งหดหาย

 • เทพา เกิดพื้นที่ใหม่แต่กลายเป็นปัญหาการบุกรุก

สิ่งที่เหมือนกันคือ มนุษย์ต้องปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของแผ่นดิน หากเราจัดการไม่ดี เราจะกลายเป็นแค่ผู้เฝ้าดูอดีตที่สูญหายไป เช่นเดียวกับลังกาสุกะที่เหลือเพียงซากเมืองโบราณ

บทสรุป: บทเรียนจากอดีตสู่ปัจจุบัน

แผ่นดินงอก ไม่ใช่เรื่องใหม่ มันเคยเปลี่ยนโชคชะตาของลังกาสุกะ และวันนี้มันกำลังเปลี่ยนโชคชะตาของเทพา

หากเราวางแผนให้ดี แผ่นดินงอก อาจกลายเป็นโอกาส ให้รัฐและประชาชนใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน แต่หากปล่อยให้ปัญหายืดเยื้อ มันอาจกลายเป็นอีกหนึ่ง ประวัติศาสตร์ที่สูญหาย เหมือนลังกาสุกะที่เคยรุ่งเรืองแต่ล่มสลายไปตามกาลเวลา



Saturday, February 15, 2025

Garden of Five Senses: สวนแห่งความรู้สึกและความรัก

 Garden of Five Senses: สวนแห่งความรู้สึกและความรัก







ควันหลงจากวันวาเลนไทน์ วันแห่งความรัก


เมื่อระหว่าง 6 มกราคม - 16 เมษายน 2559 เมื่อครั้งที่ผมยังรับราชการอยู่ที่ สภ.บูเก๊ะตา จว.นราธิวาส ผมมีโอกาสได้เดินทางไปฝึกอบรมหลักสูตรภาษาอังกฤษ Certificate of proficiency in English and IT skills Course ตามโครงการ ITEC/SCAAP Programme/TCS of Colombo Plan/ICCR/Hindi Scholarship ณ กรุงนิวเดลฮี ประเทศอินเดีย เป็นระยะเวลา 2 เดือนครึ่ง ระหว่างฝึกอบรมมีโอกาสได้เดินทางไปท่องเที่ยวยังสถานที่ และดินแดนต่างๆ ภายในประเทศ


วันนี้เพิ่งผ่านพ้นวันแห่งความรักมาได้หนึ่งวัน ผมหวนระลึกถึงเหตุการณ์ในวันนี้ในอดีต “วันแห่งความรัก” 14 กุมภาพันธ์ 2559 


ในวันนั้น ผมกับเพื่อนๆ ชาวต่างชาติ ร่วมชั้นเรียน มีโอกาสได้ไปเยี่ยมชม Garden of Five Senses: สวนแห่งความรู้สึกและความรัก


เพียงแค่ได้ยินชื่อ Garden of Five Senses ก็คงพอจะเดาได้ว่าสวนแห่งนี้ถูกออกแบบมาเพื่อกระตุ้นสัมผัสทั้งห้า ดึงดูดให้ผู้มาเยือนได้ดื่มด่ำไปกับความงามของธรรมชาติ ความหอมของมวลดอกไม้ เสียงกระซิบของสายลม และบรรยากาศที่อบอุ่นและรื่นรมย์


สวนแห่งนี้มีพื้นที่กว้างใหญ่ถึง 80,000 ตารางเมตร ได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกชาวเดลี Pradeep Sachdeva และพัฒนาโดยการท่องเที่ยวเมืองเดลี ด้วยงบประมาณมหาศาลกว่า 105 ล้านรูปี ใช้เวลาก่อสร้างถึง 3 ปี ก่อนจะเปิดให้บริการในเดือนกุมภาพันธ์ ปี พ.ศ. 2546 สถานที่แห่งนี้ไม่เพียงเป็นสวนสาธารณะที่สวยงาม แต่ยังเป็นงานศิลปะที่ผสมผสานความงดงามของธรรมชาติและงานออกแบบไว้อย่างลงตัว


สวนถูกแบ่งออกเป็นหลายโซน ตั้งแต่สวนสไตล์โมกุล สวนน้ำ สวนสมุนไพร ไปจนถึงสวนพลังงานแสงอาทิตย์ ทุกมุมล้วนถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสกับอารมณ์ที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นความสงบ ความสดชื่น หรือความรู้สึกตื่นเต้นจากความงามรอบตัว


ค่าธรรมเนียมเข้าชมเพียง 30 รูปี ถือว่าคุ้มค่ากับการเดินเล่นท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงาม ทว่าระหว่างที่เราเยี่ยมชม สวนแห่งนี้กลับขาดน้ำ บ่อน้ำและสระน้ำต่างๆ แห้งเหือด ทำให้ต้นไม้และแปลงดอกไม้บางส่วนเหี่ยวเฉา ความงดงามที่ควรจะมีจึงลดลงไปบ้าง แต่ถึงกระนั้น สวนสาธารณะแห่งนี้ ก็ยังเต็มไปด้วยเสน่ห์มนต์ขลังและบรรยากาศที่ชวนให้หลงใหล


สิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจที่สุดคือ ขณะที่เดินไปในสวนวันนั้น เกือบลืมไปแล้วว่า วันนี้คือ 14 กุมภาพันธ์—วันวาเลนไทน์! วันแห่งความรัก  กลิ่นไอความรักอบอวลไปทั่วสวน เมื่อเดินเข้าไปลึกขึ้น ภาพที่ปรากฏต่อสายตาคือคู่รักนับไม่ถ้วนที่นั่งใกล้ชิด กอดกันกระหนุงกระหนิง บ้างก็นั่งจับมือกันใต้ต้นไม้ บ้างก็กระซิบถ้อยคำหวานๆ ให้กันและกัน บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความรักและความโรแมนติก


แต่สิ่งที่ทำให้ผมทั้งขำและเขินไปพร้อมกันก็คือ คู่รักบางคู่ดูจะลืมไปว่านี่คือสวนสาธารณะ ไม่ใช่ห้องส่วนตัว หลายคนหลบมุมกันในพุ่มไม้ นั่งซบกันแนบแน่นจนแทบจะหลอมรวมเป็นร่างเดียว ไม่ใช่แค่คู่สองคู่ แต่มีเป็นร้อย! และดูเหมือนว่าแต่ละคู่ก็ไม่ได้สนใจว่ามีคนอื่นเดินผ่านไปผ่านมา มีเพียงผมและเพื่อนๆ เท่านั้นที่เดินไปก็เขินไป


มีบางครั้งที่เราเดินไปเจอมุมที่ไม่ควรเข้าไป แล้วต้องรีบถอยหลังกลับออกมาแทบไม่ทัน ขณะที่ผมมองดูภาพตรงหน้าก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมเขาไม่ไปเปิดโรงแรมให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไปเลยนะ?


แม้ว่าธรรมชาติของสวนจะดูแห้งแล้งไปบ้างในวันนี้ แต่ความรักของผู้คนที่มาเยือนกลับเบ่งบานอย่างเต็มที่ Garden of Five Senses จึงไม่ใช่แค่สถานที่ที่กระตุ้นประสาทสัมผัสทั้งห้า แต่ยังเป็นสวนแห่งความรู้สึก ที่ทำให้เราได้เห็นความรักในทุกรูปแบบ—ความหวาน ความลึกซึ้ง และบางครั้งก็ความขำขัน ที่ทำให้วันนี้กลายเป็นวันที่น่าจดจำอีกวันหนึ่ง

Monday, February 3, 2025

 เมื่อครั้งที่ผมยังเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ ชั้นปีที่ 3-4 เมื่อถึงฤดูกาลการถือศีลอด ในเดือนรอมฎอน มีนายตำรวจปกครองท่านหนึ่ง ท่านมีความเมตตากรุณากับนักเรียนนายร้อยตำรวจมุสลิมอย่างยิ่ง (พื้นฐานท่านก่อนย้ายเข้าไปรับราชการในโรงเรียนนายร้อยตำรวจท่านเคยรับราชการในพื้นที่จังหวัดยะลา มาก่อน) ท่านถามผมว่า “เข้าเดือนรอมฎอนแล้ว เอ็งปอซอหรือเปล่า” ผมฟังแล้วรู้สึกงงเพราะไม่รู้จักคำว่า “ปอซอ”  ในเวลาต่อมา จึงเข้าใจว่าท่านหมายถึง “การถือศีลอด”


คำว่า “ปอซอ” (ภาษามลายูท้องถิ่น) หรือ “ปูวาซา” (Puasa) (ภาษามลายูกลาง ) หมายถึง การถือศีลอดในศาสนาอิสลาม คำดังกล่าว มีรากศัพท์มาจาก ภาษาสันสกฤต และได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมอินเดียก่อนที่จะกลายเป็นคำในภาษามลายู


ที่มาของคำว่า “ปูวาซา”

 • คำว่า “Puasa” ในภาษามลายูและอินโดนีเซีย หมายถึง การอดอาหารหรือการถือศีลอด

 • คำนี้มาจาก ภาษาสันสกฤต “Upavāsa” (उपवास) ซึ่งหมายถึง “การอยู่ใกล้ (upā) และการอุทิศตน (vāsa)” โดยใช้ในบริบทของการบำเพ็ญตบะหรือถือศีลอดทางศาสนา


 • ในอดีต ศาสนาพุทธและฮินดูมีแนวปฏิบัติการถือศีลอดแบบ “อุปวาสะ” เช่นกัน ซึ่งอาจมีอิทธิพลต่อคำนี้ในหมู่ชาวมลายูก่อนการมาถึงของอิสลาม


การเปลี่ยนแปลงทางความหมายในโลกมลายู

 • หลังจากศาสนาอิสลามแพร่เข้าสู่คาบสมุทรมลายู คำว่า “Puasa” ถูกใช้แทนคำในภาษาอาหรับ “Ṣawm” (صَوْمٌ) ซึ่งเป็นคำที่ใช้ในคัมภีร์อัลกุรอาน หมายถึง การถือศีลอดในเดือนรอมฎอน

 • ปัจจุบัน คำว่า “Puasa” เป็นคำมาตรฐานในภาษามลายูและอินโดนีเซียที่หมายถึง การถือศีลอดของชาวมุสลิม โดยเฉพาะในเดือนรอมฎอน


#หมายเหตุ : #ภาพเก่าเมื่อปีที่แล้ว

ปัจจุบันท่าน พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ ดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 4


Friday, January 31, 2025

รากเหง้าภาษาและวัฒนธรรมในดินแดนคาบสมุทรมลายูและภาคใต้ของไทย

 ความเข้าใจในศาสนาและประวัติศาสตร์คือหนทางดับไฟใต้

รากเหง้าภาษาและวัฒนธรรมในดินแดนคาบสมุทรมลายูและภาคใต้ของไทย


ในช่วงเวลากว่า 1,000 ปีที่ผ่านมา อาณาจักรศรีวิชัย (Srivijaya) ถือเป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจของชาวมลายูที่รุ่งเรืองทั้งในด้านการค้า ศาสนา และวัฒนธรรม ศูนย์กลางของอาณาจักรตั้งอยู่บนเกาะสุมาตรา แต่ขอบเขตอิทธิพลแผ่ขยายไปทั่วคาบสมุทรมลายู รวมถึงพื้นที่ทางใต้ของประเทศไทยในปัจจุบัน


ศรีวิชัย: รากฐานทางภาษาและวัฒนธรรม


อาณาจักรศรีวิชัยใช้ ภาษามลายูโบราณ (Old Malay) เป็นภาษาหลัก ซึ่งพบหลักฐานในจารึกต่าง ๆ เช่น

 • จารึกกูไต (Kutai Inscription) และ จารึกตัลางตูโอก (Telaga Batu Inscription) ในอินโดนีเซีย

 • จารึกคลองท่อม ในประเทศไทย


นอกจากภาษามลายูโบราณแล้ว ศรีวิชัยยังได้รับอิทธิพลจาก ภาษาสันสกฤต ซึ่งใช้ในศาสนาพุทธนิกายมหายาน รวมถึงภาษาชวาโบราณ ภาษาเขมรโบราณ และภาษาจีนที่ใช้ในการติดต่อค้าขาย


ก่อนการเปลี่ยนแปลง: พุทธและฮินดูในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้


ก่อนที่ศาสนาอิสลามจะแพร่หลายในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ชุมชนในบริเวณนี้เคยได้รับอิทธิพลจากศาสนาพุทธและฮินดู ซึ่งมีหลักฐานทางโบราณคดีที่สำคัญใน อำเภอยะรัง จังหวัดยะลา เช่น

 • สถูปจำลองดินดิบ – แสดงถึงความเชื่อทางศาสนาพุทธ

 • พระพิมพ์ดินดิบที่มีจารึก “เยธมฺมาฯ” – เป็นบทสวดในพระพุทธศาสนา

 • โบราณสถานและโบราณวัตถุแบบทวารวดีและคุปตะ – แสดงถึงอิทธิพลของศาสนาฮินดูและพุทธในภูมิภาค


หลักฐานเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าในอดีต พื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้เคยเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมพุทธและฮินดูก่อนที่จะรับเอาศาสนาอิสลามเข้ามาภายหลัง


การเปลี่ยนแปลงของประชากรและภาษาในภาคใต้ของไทย


ในช่วงที่อาณาจักรไทยเริ่มขยายอำนาจลงสู่ภาคใต้ มีการส่งกำลังทหารและประชากรจากดินแดนสยามลงมาตั้งรกราก ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นสองระลอกใหญ่ ๆ ได้แก่

(ดูแผนภูมิต้นไม้ประกอบ)

 1. ระลอกแรก – ลงมาตั้งถิ่นฐานในนครศรีธรรมราช และพื้นที่ใกล้เคียง

 2. ระลอกที่สอง – ลงมาถึงบริเวณตากใบ-เจ๊ะเห


การอพยพของชาวไทยจากภาคกลางและภาคเหนือทำให้เกิด ภาษาไทยปักษ์ใต้ ซึ่งเป็นผลจากการผสมผสานระหว่างภาษามลายูที่ใช้ในศรีวิชัยกับภาษาไทยที่นำโดยผู้ตั้งรกรากใหม่


ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ในภาคใต้ตอนบน


ประชากรในจังหวัด ชุมพร ระนอง นครศรีธรรมราช พังงา ภูเก็ต ตรัง และกระบี่ มีเชื้อสายจากทั้งชาวมลายูดั้งเดิมและชาวไทยที่อพยพลงมาจากภาคกลางและภาคเหนือ ซึ่งทำให้เกิดลักษณะเฉพาะทางภาษาและวัฒนธรรมที่ผสมผสานกัน เช่น

 • ชุมพร และ ระนอง – มีร่องรอยของอิทธิพลจากรัฐมลายู

 • นครศรีธรรมราช – เป็นจุดศูนย์กลางของภาษาและวัฒนธรรมไทยในภาคใต้

 • พังงา, ภูเก็ต, ตรัง, และกระบี่ – มีประชากรเชื้อสายมลายูที่อพยพมาผสมกับชาวไทย


สรุป


ภาษามลายูและวัฒนธรรมมลายูเป็นรากฐานที่สำคัญของภาคใต้ของไทย เนื่องจากอาณาจักรศรีวิชัยเคยมีอิทธิพลเหนือพื้นที่นี้มาก่อน ภาษาไทยปักษ์ใต้ถือกำเนิดขึ้นจากการอพยพของชาวไทยจากดินแดนสยามลงสู่ภาคใต้และการผสมผสานกับภาษามลายูท้องถิ่น นอกจากนี้ หลักฐานทางโบราณคดียังยืนยันว่า ก่อนที่ศาสนาอิสลามจะแพร่หลายในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ชุมชนในภูมิภาคนี้เคยได้รับอิทธิพลจากศาสนาพุทธและฮินดูมาก่อน


สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า ภาคใต้ของไทยเป็นดินแดนที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ภาษา และวัฒนธรรม ซึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ที่ต่อเนื่องมายาวนาน



RevolverMap