Leh in my memory...

As we are entering the new era, where nations are becoming one community, I, as well as my PTI 27th session’s member friends have the mutual vision that we, and other friends of the Asia-Pacific nations, will become closer than ever.
ยินดีต้อนรับสู่โลกใบเล็กของผม โลกของคนทำงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ชีวิตในวัยเด็กผมเคยใฝ่ฝันอยากจะเป็นสถาปนิก แต่เมื่อยามต้องเลือกทางเดินของชีวิต ผมกลับเลือกที่จะสวมเครื่องแบบสีกากี โดยสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารเหล่าตำรวจ หลังสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ผมเลือกลงบรรจุรับราชการในตำแหน่งพนักงานสอบสวนที่อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี ชีวิตราชการวนเวียนโยกย้ายอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตลอดมา ถึงแม้จะอยู่ห่างไกลจากศูนย์อำนาจรัฐ และการทำงานในหลายโอกาสอาจพบพานกับอุปสรรคภยันตรายต่าง ๆ บ้าง แต่ที่นี่คือ “บ้าน” ผมจึงยังทำงานอยู่ที่นี่ ทุกวันนี้ผมมีความสุขกับงานที่ทำอยู่เสมอ...

Sunday, May 18, 2025

ขอเพียง…เราเห็นว่า เรายังเป็น “มนุษย์” เหมือนกัน

 วันนี้…

ผมได้มีโอกาส ได้รับเกียรติเป็นนายแบบสมัครเล่น ไปร่วมเดินแบบการกุศลในงานกาชาดจังหวัดนราธิวาส  ร่วมกับท่านผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ และข้าราชการจากอำเภอต่าง ๆ

ท่ามกลางบรรยากาศของรอยยิ้ม… และความหวัง



แม้เราจะต่างภาษา ต่างศาสนา หรือแม้แต่สีผิว

แต่มันก็ยังมีบางอย่างที่เหมือนกัน

“ผมเหมือนคุณ… และคุณก็เหมือนผม”

เราเหนื่อยมาด้วยกัน ผ่านทุกข์มาด้วยกัน และยังมีหวังร่วมกัน

ขอให้บทเพลงนี้

Maher Zain - Nas Teshbehlena

ปลอบประโลมหัวใจของคนชายแดนใต้ทุกคน

และเตือนใจว่า… เราไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทั้งหมดl

ขอเพียง…เราเห็นว่า เรายังเป็น “มนุษย์” เหมือนกัน

******************************************


Yes, among you, there are people like us

The same soul and blood

Our hearts rest instantly

With those who truly resemble us


The words are the same

Even the care is the same

A bond like this can never be forgotten

Not even for a single day


Even if our colors and looks are different

It still means I look just like you

And we’re brought together by

Beautiful things, definitely


Come on, let’s reach out our hands

Without saying a word

The most beautiful moments

Come to mind

Even when the burden feels like mountains

We forget it immediately


You and I…

Some people just bring you comfort instantly

They take your heart in silence

They steal you away without a word


Because within you,

There are pieces of them

In your life, they are few

Those who will stay with you tomorrow


Even when you disagree,

You’ll find yourselves agreeing

Even if our colors and looks are different

I still look just like you


And we’re brought together by

Beautiful things, definitely

Come on, let’s reach out our hands

Without saying a word


The most beautiful moments

Come to mind

Even when the burden feels like mountains

We forget it immediately


You and I…

No matter what we go through

It’s hard to feel joy

Unless it’s with you


Every sweet moment

Is made sweeter by being together

What in this world

Could compare to a moment with you?


As long as you’re by our side

What else matters?

We’ve always wished

To feel true happiness from the heart


Even if years separate us

Stay close

Because we could hardly believe

We finally found

People who are just like us

People who carry a part of us

******************************************

#ความเข้าใจในศาสนาและประวัติศาสตร์คือหนทางในการดับไฟใต้

#โตฮัน: #เสียงศรัทธาใต้สายลมโบราณแห่งแหลมมลายู

 #โตฮัน: #เสียงศรัทธาใต้สายลมโบราณแห่งแหลมมลายู



เหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดขึ้นและดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องมาอย่างยาวนานนับร้อยปีแล้ว


ในวันนี้…เมื่อเรามองไปยังปลายด้ามขวานของแผนที่ประเทศไทย ที่ชายแดนใต้ เราจะพบกับเรื่องราวที่เต็มไปด้วยบาดแผลและความเจ็บปวด


เสียงปืน เสียงระเบิด เสียงร้องไห้ของผู้คน

เป็นเสียงที่ลอยปะปนอยู่กับสายลมที่พัดผ่านนราธิวาส ยะลา และปัตตานี มาเนิ่นนาน


บางคนบอกว่านี่คือการต่อสู้เพื่ออัตลักษณ์ บ้างก็บอกว่านี่คือการก่อการร้าย (Terrorism)  


นักการทหารบอกว่า นี่เป็นรูปแบบหนึ่งของความขัดแย้งที่เรียกว่า “สงครามอสมมาตร (Asymmetric Warfare)”  เอ็นจีโอบางคนบอกว่านี่คือรอยแผลของประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยสมาน  


มีบางคนพยายามโยงให้เป็นเรื่องของความขัดแย้งทางศาสนา


แต่ไม่ว่ามุมมองไหน…ความจริงก็คือ ลูกหลานของดินแดนเดียวกัน กำลังหันอาวุธเข้าหากันเอง


ในวันที่ผู้คนลืมไปแล้วว่า…

ใต้ความต่างของภาษา ศาสนา หรือสายเลือดที่เขียนใหม่

พวกเขาเคยมีบรรพบุรุษร่วมกัน  พวกเขาเคยมีหัวใจเดียวกัน


ในความคิดของผม   ถ้าเราอยากเข้าใจหัวใจของนักสู้เหล่านั้นจริง ๆ  เราคงต้องถอยหลังกลับไปไกลกว่ายุคล่าอาณานิคม  ให้ไกลกว่าการประกาศเขตแดน ไกลกว่าการแบ่งเส้นศาสนา


เราต้องกลับไปดู…ถึงวิธีคิดถึงโลก วิธีมองชีวิตของปู่ย่าตายายรุ่นโบราณที่ยังไม่มีเส้นขีดแบ่งชาติพันธุ์บนแผ่นดิน


เราต้องกลับไปฟังเสียงกระซิบของศรัทธาเดิม

ศรัทธาที่เรียบง่าย  ศรัทธาที่ไม่มีใบหน้าชัดเจน

ศรัทธาที่เรียกขานสิ่งสูงสุดด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุดคำหนึ่งในโลกมลายูว่า


“#โตฮัน”


******************************************


เราคงจะลืมเลือนกันไปแล้ว ว่าก่อนที่ศาสนาใหญ่ ๆ จะเดินทางมาถึงที่นี่  ก่อนที่พระอินทร์ พระพรหม หรือแม้แต่อัลลอฮฺจะถูกเอ่ยนามในแผ่นดินนี้


คนรุ่นก่อนหน้าเราหลายพันปี

เขามีศรัทธาในศาสนาโบราณของเขาอยู่แล้ว


ย้อนกลับไป ราวศตวรรษที่ 1 ถึงศตวรรษที่ 6

ในพื้นที่กว้างไกลที่วันนี้คือ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง สตูล สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ต่อเนื่องลงไปถึง กลันตัน ตรังกานู ในมาเลเซีย และไกลออกไปถึง สุมาตราตอนเหนือ  มีผู้คนที่ดำรงชีวิตอย่างเรียบง่าย…อยู่กับทะเล ป่าเขา ลำน้ำ และท้องฟ้า


ในโลกของพวกเขา…

สิ่งสูงสุดที่พวกเขาเงยหน้ามอง และก้มหน้ากราบ…

ไม่ได้มีรูปร่างแบบที่เราเห็นในภาพวาดยุคหลัง

ไม่มีวัด ห้องโถง ไม่มีมหาเทวาลัย ไม่มีบทสวดที่ต้องท่องจำ


พวกเขาเรียกสิ่งนั้นง่าย ๆ ว่า “#โตฮัน”


******************************************


โตฮันของพวกเขา

ไม่ได้อยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้า

โตฮันอยู่ในสายฝนที่โปรยลงมาในวันที่ท้องนาแห้งผาก

อยู่ในลมเย็นที่พัดมาหลังพายุใหญ่

อยู่ในแม่น้ำที่หล่อเลี้ยงชีวิต

อยู่ในเงาของต้นไม้ใหญ่ที่ยืนต้นมานานกว่าชั่วอายุคน


มีแต่สายลมที่พัดเบา ๆ เหมือนกระซิบว่า


“ข้าอยู่กับเจ้าเสมอ ตั้งแต่เจ้าหัวเราะครั้งแรก จนถึงลมหายใจสุดท้ายของเจ้า”


******************************************


และเมื่อเราย้อนลงลึกไปกว่านั้น

จะพบว่าความเชื่อเรื่องโตฮัน ไม่ได้อยู่ลำพัง


โตฮัน…

คือสายเดียวกับที่ผู้คนในอุษาคเนย์เรียกขานว่า “แถน” หรือ “ผีฟ้า”  เป็นเทพเจ้าผู้สูงสุดบนฟากฟ้า


เป็นเสียงเดียวกับศรัทธาที่ไหลเวียนอยู่ในวัฒนธรรมของไท มลายู ลาว และเขมรโบราณ


คำว่า “โตฮัน” (Tuhan) ในภาษามลายู แปลว่า “เทวดาผู้ยิ่งใหญ่”  และในภาษามลายู–อินโดนีเซียโบราณ คำว่า “ปาริ” (pari) ก็หมายถึงเทวดาหรือวิญญาณนางไม้ เสียงนั้น…เมื่อเดินทางมาเป็นภาษาไทย  จึงกลายเป็นคำว่า “ผี” (phi) ที่เรารู้จักกันจนถึงทุกวันนี้


ในอดีตกาล  การบูชาผีฟ้า การฟ้อนลำผีฟ้า รวมถึงพิธีมะโย่งในคาบสมุทรมลายู ล้วนสะท้อนรากศรัทธาเดียวกันนี้


ศรัทธาที่ไม่เคยหายไป  แม้เวลาจะเปลี่ยนชื่อเสียงเรียกขานไปกี่ครั้งก็ตาม


******************************************


แล้ววันหนึ่ง…ศาสนาฮินดู–พุทธจากชมพูทวีปก็ค่อย ๆ เดินทางมาพร้อมเรือสินค้า


เริ่มจากปลายศตวรรษที่ 6 ต่อเนื่องถึงศตวรรษที่ 7 และ 8


เทพเจ้าที่มีรูปกายชัดเจน เริ่มมีบทบาทในตำนานที่เล่ากันใต้ต้นไม้  มีชื่อใหม่เกิดขึ้น — พระพรหม พระอินทร์ พระวิษณุ พระศิวะ


แต่ถึงกระนั้น…แก่นแท้ในหัวใจของผู้คนก็ยังไม่เปลี่ยน

โตฮันยังคงอยู่  แค่สวมเสื้อผ้าใหม่ แล้วเปลี่ยนชื่อเรียก


******************************************


อีกหลายร้อยปีต่อมา  ศาสนาอิสลามเดินทางมาถึงฝั่งมลายูในศตวรรษที่ 15  ด้วยเรือพ่อค้า ด้วยถ้อยคำที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง


“#ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺและมูฮัมมัดเป็นศาสนทูตของพระองค์”


คนที่เงยหน้ามองฟ้า ก้มหน้ากราบพื้นดินมาแต่โบราณ

ไม่ได้รู้สึกแปลกแยกกับถ้อยคำนี้ เพราะในหัวใจพวกเขา โตฮันที่อยู่ในสายลมและฝน ก็เป็นพระเจ้าที่ไม่มีรูป ไม่มีตัวตนอยู่แล้ว


“โตฮัน” เปลี่ยนนามใหม่…เป็น “อัลลอฮฺ”

ในบทสวดขอดุอาอฺที่ก้องอยู่ในมัสยิดยามรุ่งอรุณ


แต่สายลม ฝน และแผ่นดิน…ยังคงโอบอุ้มพวกเขาอยู่เหมือนเดิม


******************************************


#หมายเหตุ   บ้านลำธาร์ ตำบลโคกสัก อำเภอบางแก้ว จังหวัดพัทลุง  หมู่บ้านที่ผมเติบโตมา  ยังมีคำศัพท์ภาษามลายูหลงเหลืออยู่ในชีวิตประจำวันอีกหลายคำ


ผมรู้จักคำว่า “โตฮัน” ตั้งแต่ยังเด็ก  แต่ด้วยความเป็นเด็ก ด้วยความไม่รู้ จึงได้ยินแล้วออกเสียงเป็น “โต๊ะวัน” อย่างนั้นเอง — ซึ่งหมายถึงอัลลอฮฺ


จนเมื่อได้ศึกษาค้นคว้า จึงได้รู้ว่า… ”โต๊ะวัน“ ที่ผมได้ยินมาตั้งแต่เด็ก คือชื่อของเสียงกระซิบเบา ๆ ของศรัทธาโบราณที่ยังหายใจอยู่ในสายลมของชีวิตเราทุกคน


#ความเข้าใจในศาสนาและประวัติศาสตร์คือหนทางในการดับไฟใต้


******************************************


“ใต้สายหมอกที่โอบกอดผืนป่า และเหนือขอบฟ้าที่ทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุด โตฮันยังคงดำรงอยู่อย่างเงียบ ๆ พร้อมทุกชีวิตที่เติบโตบนแผ่นดินนี้”

วันนี้ที่ตันหยงลิมอ — มัสยิดแห่งความเข้าใจ (9 พ.ค.2568)

 วันนี้ที่ตันหยงลิมอ — มัสยิดแห่งความเข้าใจ (9 พ.ค.2568)



วันนี้…(9 พ.ค.2568) ผมชวนผู้ใต้บังคับบัญชาไปร่วมละหมาดวันศุกร์ที่ มัสยิดตันหยงลิมอ


มัสยิดแห่งนี้ตั้งอยู่ในหมู่บ้านที่หลายคนมองว่าเป็น “พื้นที่สีแดง”  แต่สำหรับผม  มันคือพื้นที่แห่งการสร้างความเข้าใจ และโอกาสที่จะได้เริ่มต้นบทสนทนาใหม่ ระหว่างตำรวจกับพี่น้องมุสลิม


ในปี 2548 ที่นี่เคยเกิดเหตุการณ์สะเทือนใจขึ้น

เมื่อนาวิกโยธิน 2 นายถูกประชาชนรุมทำร้ายจนเสียชีวิต


คนในพื้นที่เล่ากันว่า ความไม่เข้าใจกันระหว่างเจ้าหน้าที่กับชาวบ้านในช่วงเวลานั้น  ผสมกับข่าวลือ ความหวาดระแวง และความโกรธฝังลึกที่ไม่มีใครพูดออกมา  มันระเบิดออกมา…และทิ้งรอยแผลไว้ในความทรงจำของทั้งสองฝ่าย


ผมเองตั้งใจจะมาละหมาดที่นี่หลายครั้งแล้ว

แต่ด้วยภารกิจมากมาย จนวันนี้ถึงได้มีโอกาสมาด้วยหัวใจที่พร้อมจะรับฟัง


ก่อนละหมาด ผมให้น้องตำรวจที่เป็นมุสลิมเข้าไปประสานกับโต๊ะอิหม่าม  ท่านยิ้มและบอกว่า “ยินดีอย่างยิ่ง”  จากนั้นโต๊ะอิหม่ามก็ลุกขึ้นประกาศกับพี่น้องที่มาร่วมละหมาดว่า


“วันนี้มีผู้กำกับกีตอ (ผู้กำกับของเรา) มาร่วมละหมาดและจะพูดคุยกับพวกเราหลังละหมาด”


หลังจากคุตบะห์จบลง และเราละหมาดเสร็จ โต๊ะอิหม่ามส่งสัญญาณให้ผมลุกขึ้นพูด


ผมเริ่มต้นด้วยการแนะนำตัวแบบบ้าน ๆ

เล่าถึงความเป็นมาของนามสกุล “ยีหวังกอง”

ซึ่งเป็นสายเลือดลูกหลานแม่ทัพนายกองชาวมลายูจากรัฐตรังกานู


จากนั้นผมเล่าเรื่องภัยใกล้ตัว

เรื่องมิจฉาชีพที่โทรมาหลอกคนด้วยกลอุบายสารพัด ใช้ความโลภ  บางรายใช้เสียงข่มขู่ ใช้ความไม่รู้ของเหยื่อ ใช้ความรัก  บางรายถึงกับสร้างอารมณ์หลอกลวงทางเพศ  เพื่อหวังผลประโยชน์ หลอกให้เราโอนเงิน และได้ไปซึ่งทรัพย์สิน


ผมเล่าว่าพวกเราไม่อยากให้ใครในพื้นที่ต้องตกเป็นเหยื่อของพวกมิจฉาชีพเหล่านี้อีกต่อไป


จากนั้นผมก็เล่าเรื่องดี ๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นที่ สภ.ระแงะ

เราเพิ่งได้รับตำรวจรุ่นใหม่มาอีก 22 นาย

และทั้งหมดนี้ — คือลูกหลานชาวมลายู ที่เติบโตขึ้นมาเพื่อรับใช้บ้านเกิดของตน


หลายคนทำหน้าสงสัย


ผมจึงขยายความว่า

ในจำนวนนี้ มี มลายูมุสลิม อยู่ 6 นาย

ที่เหลือเป็น ไทยพุทธ อีก 16 นาย

ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดพัทลุง สงขลา ตรัง และจังหวัดอื่น ๆ อีกหลายจังหวัดในภาคใต้


ผมอธิบายต่อว่า พวกเขาเหล่านี้คือลูกหลาน ชาวมลายูพุทธ จากอาณาจักรมลายูโบราณศรีวิชัย ที่ถูกกลืนกลายเป็นไทยพุทธ ตลอดระยะเวลาหลายร้อยปีในประวัติศาสตร์ของแหลมมลายู


ชาวมลายูพุทธ บางกลุ่มถูกรวมเข้ากับวัฒนธรรมสยาม จนกลายเป็น “ไทยพุทธ” ในวันนี้


ส่วน มลายูมุสลิม ในพื้นที่อื่น ๆ แม้จะรักษาศรัทธาไว้ได้  แต่ก็ต้องแลกกับการสูญเสียอัตลักษณ์ ภาษามลายูดั้งเดิมไป


ผมเพียงจะสื่อว่า


เราเคยเป็นหนึ่งเดียวกันมาก่อน และเราก็สามารถกลับมาเข้าใจกันได้อีก


ก่อนจะจบ ผมพูดเบา ๆ ว่า


มีสถานที่ราชการ 2 แห่งที่คนมักจะไม่อยากไป ก็คือ

“โรงพัก” กับ “โรงพยาบาล”  เพราะไปทีไรก็มักจะ “ซาเก๊ะปาลอ” (แปลว่า “ปวดหัว” หมายถึง มีเรื่องวุ่นวาย ปัญหาจุกจิก) ให้ทุกข์ใจ


แต่วันนี้…ผู้กำกับพาลูกหลานมลายูมาร่วมละหมาด  เพื่อให้พี่น้องได้เห็นหน้า ได้รู้จัก ได้พูดคุยกันไว้


และผมทิ้งท้ายว่า


หากวันหน้าเกิดอะไรขึ้น…ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ต้องกลัว

ตำรวจระแงะ พร้อมรับใช้ทุกคนด้วยหัวใจ และความเข้าใจ


#ความเข้าใจในศาสนาและประวัติศาสตร์คือหนทางในการดับไฟใต้

ประชุมรับน้องใหม่

 8 พฤษภาคม 2568 — เช้านี้



วันนี้ เวลา 09.00 - 11.30 น. ผมจัดให้มีการประชุมบริหารประจำเดือน พฤษภาคม 2568 กับข้าราชการตำรวจ สภ.ระแงะ   ถือเป็นการต้อนรับตำรวจใหม่รุ่นน้อง จำนวน 22 นาย ที่เพิ่งมาบรรจุประจำการครั้งแรกใน สภ.ระแงะ และเป็นการปฐมนิเทศไปในตัว

การประชุมวันนี้ครอบคลุมทุกภารกิจหลัก ตั้งแต่งานกำลังพล นโยบายและแผน การข่าว ป้องกันปราบปราม จราจร สืบสวน สอบสวน ไปจนถึงเรื่องสวัสดิการ สิทธิประโยชน์ การสร้างขวัญกำลังใจให้ตำรวจทุกนาย รวมทั้งการเบิกจ่ายอาวุธยุทธโธปกรณ์ ประจำกายที่จำเป็น

แต่ที่ผมได้เล่าต่อจากห้องประชุมวันนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องระเบียบ หรือวาระงาน

ผมใช้ช่วงท้ายของการประชุมเล่า “เรื่องที่ไม่มีในตำรา” ให้น้อง ๆ ฟัง — เรื่องของอาณาจักรศรีวิชัย ลังกาสุกะ และรัฐปัตตานี ที่เคยรุ่งเรืองในดินแดนแห่งนี้ เพื่อให้เขาได้รู้ว่าผืนดินที่เรายืนอยู่นั้น เคยเป็นศูนย์กลางแห่งอารยธรรม มีศาสนา ภาษา และความศรัทธาเป็นรากลึกของผู้คน

ผมบอกพวกเขาว่า

“#ถ้าเราเป็นคนใต้ #เราก็คือลูกหลานของปู่ย่าตายายจากอาณาจักรศรีวิชัย” และศรีวิชัยในประวัติศาสตร์ไม่ใช่อะไรอื่นเลย  แต่มันคืออาณาจักรของชาวมลายูโบราณ ที่มีทั้งพุทธและฮินดู มีภาษาถิ่น มีการค้าข้ามทะเล มีความรุ่งเรืองที่คนรุ่นหลังแทบจินตนาการไม่ออก

เพราะฉะนั้น ต่อให้วันนี้เราจะมีชื่อสกุลไทย ใช้บัตรประชาชนไทย  หรือแม้แต่ใส่เครื่องแบบตำรวจที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า “สิบตำรวจตรี”  เราก็ยังเป็นทายาทของชาวมลายูอยู่ดี เพราะนั่นคือรากที่แท้ของแผ่นดินนี้

และถ้าเราไม่ลืมรากเหง้า เราก็จะไม่หลงทาง

จากนั้น ผมอธิบายให้น้อง ๆ เข้าใจอีกเรื่อง — เรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตจริงของตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างเลี่ยงไม่ได้

นั่นคือ “#สงครามอสมมาตร (#Asymmetric #Warfare)

ผมอธิบาย โดยยกตัวอย่างสงครามในสมัยโบราณ  สงครามโลกครั้งที่ 1 และ สงครามโลกครั้งที่ 2  แต่นี่ไม่ใช่สงครามที่เรายืนประจันหน้ากับข้าศึกในสนามรบแบบนั้น   “สงครามอสมมาตร” เป็นสงครามที่ไม่เท่าเทียมกัน ฝ่ายหนึ่งแข็งแรงกว่า มีรถราม้าช้าง มีเครื่องบิน มีรถหุ้มเกราะ มีเครื่องแบบ มีเงินเดือน มีเงินค่าเสี่ยงภัย แต่อีกฝ่ายหนึ่งด้อยกว่าไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้  มันคือสงครามที่ศัตรูอาจเป็นคนที่เดินอยู่ข้าง ๆ เรา  ในตลาด ในมัสยิด หรือในโรงเรียน  เป็นคนที่บางครั้งก็เคยเล่นฟุตบอลกับเรามาก่อน แต่วันหนึ่งถูกดึงไปด้วยคำอธิบายอีกแบบ  ด้วยความเจ็บปวดสะสม หรือความเข้าใจที่บิดเบี้ยว

เราไม่ได้สู้กับ “คนชั่ว” เรากำลังทำงานในพื้นที่ที่ความเข้าใจถูกฉีกออกเป็นสองฝั่ง  คนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเราในวันนี้ อาจไม่ใช่ศัตรู  เขาคือประชาชน เขาคือญาติพี่น้องเรา สายเลือดเดียวกันในความหมายของ “#ลูกหลานชาวมลายูอาณาจักรศรีวิชัย“ เช่นเดียวกับเรา  บางคนก็มีความฝัน มีความศรัทธา มีคำว่า “ยุติธรรม” อยู่ในใจไม่ต่างจากเรา แต่เมื่อไม่มีใครอธิบายอดีตให้เขาฟังตรง ๆ เขาก็อาจตีความอนาคตด้วยความแค้น

ประชุมจบ เรากินข้าวเที่ยงด้วยกันแบบพี่น้อง อาหารเที่ยงร่วมกันมื้อแรกที่ สภ. ระแงะ

******************************************

#ความเข้าใจในศาสนาและประวัติศาสตร์คือหนทางในการดับไฟใต้

Wednesday, May 7, 2025

เจ้าบ้านที่แท้จริงของโลกมลายู — หรือแค่ผู้กลัวเงาตัวเอง?

 #เจ้าบ้านที่แท้จริงของโลกมลายู — #หรือแค่ผู้กลัวเงาตัวเอง?


ในขณะที่อดีตนายกรัฐมนตรีแห่งมาเลเซีย ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด ยังคงละเมอถึง “ดินแดนมลายู” ที่ทอดยาวตั้งแต่ปัตตานีถึงสิงคโปร์  พร้อมทั้งโยนความผิดว่า “ประเทศเพื่อนบ้าน” ค่อย ๆ ยึดเอาแผ่นดินของมาเลเซียไปทีละน้อย

คำถามที่คนในโลกแห่งความจริง (ซึ่งตื่นแล้ว ไม่ได้ฝันไป) อยากถามกลับก็คือ…

แล้วทำไมท่านอดีตนายกฯ ไม่เริ่มจากการรวมกับอินโดนีเซียก่อนล่ะครับ?

เพราะหากจะพูดถึง “Tanah Melayu” — แผ่นดินของชนชาติมลายู

อินโดนีเซียนี่แหละคือประเทศที่มี ‘มลายู’ มากกว่าทุกหัวระแหงของมาเลเซีย

มีประชากรมากกว่า วัฒนธรรมลึกซึ้งกว่า และภาษาใกล้เคียงจนแทบจะยกกันไปใช้แทนได้


 - Tanah Melayu: วาทกรรมชาตินิยมแบบชาติพันธุ์ (ethno-nationalism) ที่เชิดชูความเป็น “มลายูแท้” และมีแนวโน้มผลักไสผู้ไม่ใช่มลายู (Bumiputera)

แต่ทำไม Tanah Melayu ถึงไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยชื่อ “Tanah Air”?

คำว่า Tanah Air ในภาษาอินโดนีเซีย แปลว่า “แผ่นดินและผืนน้ำ”

เป็นถ้อยคำที่ประชาชนใช้เรียกประเทศของตนเอง ด้วยความรัก ความผูกพัน และการเสียสละต่อมาตุภูมิ  เป็นแนวคิดที่เปิดรับความหลากหลายของชาติพันธุ์ ศาสนา และภาษา เน้นการอยู่ร่วมกันของทุกกลุ่มบนดินแดนหมู่เกาะ โดยไม่อ้างสิทธิ์ในอดีตเพื่อยึดพื้นที่ใคร


Tanah Air คือมาตุภูมิของทุกคน ไม่ใช่ของชาติพันธุ์ใดชาติพันธุ์หนึ่ง

Tanah Air จึงเป็นวาทกรรมที่มองไปข้างหน้า

ขณะที่ Tanah Melayu ยังจมอยู่กับการยืนยันความเป็นเจ้าของเพียงผู้เดียว

บนแผ่นดินที่มีผู้คนหลากหลาย (Bumiputera)


ดร.มหาเธร์ เคยแสดงท่าทีว่าอยากเห็น “ชาวมลายูรวมเป็นหนึ่ง”

แต่…กลับไม่เคยผลักดันแนวคิด “มาเลย์ Raya” หรือ “มลายูใหญ่” อย่างจริงจัง

เพราะเขารู้ดีว่า ถ้าให้สองชาติรวมกันจริง มาเลเซียจะไม่ได้เป็นผู้นำ

แต่จะกลายเป็น เพียงจังหวัดหนึ่งของ “นูซันตารา”


และนั่นอาจเป็นความกลัวที่ใหญ่กว่าการสูญเสียดินแดน…คือการสูญเสียตัวตนที่ตนเองสร้างขึ้นจากมายาคติ


******************************************

#ความเข้าใจในศาสนาและประวัติศาสตร์คือหนทางในการดับไฟใต้

Tuesday, May 6, 2025

“เลือดเดียวกันยังฆ่ากันเอง” — วาทกรรมชาติพันธุ์ กับความจริงในประวัติศาสตร์มลายู

ในบางคืนที่ไฟยังลุกโชน เสียงปืนในภาคใต้ยังกึกก้อง

เรามักได้ยินคำอธิบายจากผู้ก่อเหตุว่า พวกเขาต่อสู้เพื่อ “ชาติ ศาสนา และมาตุภูมิ”

โดยมีคำว่า “มลายูมุสลิม” เป็นแกนกลางของอุดมการณ์  และวาทกรรมที่ถูกย้ำซ้ำจนกลายเป็นความเชื่อหนึ่งเดียว คือ “สยามคือผู้รุกราน ปัตตานีคือผู้ถูกยึดครอง”

แต่เมื่อเราย้อนกลับไปยังหน้าประวัติศาสตร์ของแหลมมลายู ที่บันทึกไว้ด้วยเลือดและดิน  เราจะพบความจริงบางอย่างที่แตกต่างจากวาทกรรมในสนามรบสมัยใหม่อย่างสิ้นเชิง

******************************************

#อาเจะห์กับไทรบุรี — #เลือดมลายูที่ไม่เคยปรองดอง

ปี ค.ศ. 1619 อาณาจักรอาเจะห์ ซึ่งขณะนั้นคือรัฐมุสลิมที่เข้มแข็งที่สุดในภูมิภาค

ได้ยกทัพบกและกองเรือเข้าตีไทรบุรี (Kedah) อย่างโหดร้าย

เมืองหลวงถูกเผา ราชวงศ์ถูกจับไปเป็นเชลย ชาวบ้านนับหมื่นถูกกวาดต้อน

แม้ทั้งสองรัฐจะเป็นมุสลิม พูดภาษามลายู และมีวัฒนธรรมร่วมกัน

แต่สิ่งที่แยกพวกเขาออกจากกันไม่ใช่ศาสนา — มันคือ “อำนาจ”

นี่ไม่ใช่เหตุการณ์เดียวในประวัติศาสตร์ที่รัฐมลายูรบราฆ่าฟันกันเอง

ยะโฮร์ กับอาเจะห์, ปัตตานี กับตรังกานู, หรือแม้แต่มะละกากับกลันตัน ล้วนมีช่วงเวลาแห่งการขัดแย้ง

บางครั้งเป็นสงคราม บางครั้งเป็นการลอบสังหาร บางครั้งคือการทรยศพันธมิตร

และหากเรามองมาถึงศตวรรษที่ 20–21 ความขัดแย้งเช่นนี้ก็ยังไม่จางหาย

ดั่งที่อาเจะห์เคยต่อสู้ยืดเยื้อกับรัฐบาลกลางมาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 — จากการต้านจักรวรรดิดัตช์ สู่การลุกขึ้นต่อต้านรัฐบาลอินโดนีเซียในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ด้วยอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดนที่ยังตกผลึกอย่างเหนียวแน่น

แม้จะเป็นมุสลิมทั้งสองฝ่าย แต่ด้วยปัจจัยเรื่องอัตลักษณ์ ทรัพยากร และความไม่เป็นธรรม

ขบวนการ “อาเจะห์เสรี” (GAM) จึงถือกำเนิดขึ้นในปี 1976 พร้อมกองกำลังติดอาวุธ รัฐบาลเงา

และแนวทางการเคลื่อนไหวทางการทูตกับต่างประเทศ

กระทั่งก่อนเกิดสึนามิปี 2547 อาเจะห์ยังคงเป็นพื้นที่ขัดแย้งระดับสูง

ที่แม้แต่คำว่า “อุมมะฮฺ” ก็ไม่อาจทำให้ทั้งสองฝ่ายหยุดยิงได้

ความเป็น “มลายูมุสลิม” ไม่เคยการันตีความเป็นหนึ่งเดียว

และความเป็น “อิสลาม” ก็ไม่เคยเป็นเกราะป้องกันไม่ให้คนที่หันหน้าไปทาง “กิบลัต” เดียวกัน ต้องถืออาวุธเข้าหากัน

******************************************

#กรอบอาณาจักรสมัยใหม่ #กับมายาคติของรัฐชาติ

ก่อนยุคจักรวรรดินิยม ดินแดนต่าง ๆ ไม่ได้มีเส้นเขตแดนตายตัวแบบในแผนที่วันนี้ รัฐมลายูในอดีต เช่น ปัตตานี, ไทรบุรี, ยะโฮร์, เปรัก, อาเจะห์  ต่างก็แย่งชิงกันเพื่อความเป็นใหญ่ในภูมิภาค  บางรัฐยอมเป็นประเทศราช บางรัฐหันไปหาจีนหรืออินเดีย บางรัฐแสวงหาอาวุธจากออตโตมัน

ทั้งหมดคือการเล่นเกมการเมืองเพื่อความอยู่รอด ไม่ใช่เพราะใคร “ถูกรุกราน” อย่างเดียว

เมื่อกรุงศรีอยุธยาเข้ามามีบทบาท ก็เป็นเพียงอีกผู้เล่นหนึ่งในกระดาน

ไม่ได้ต่างจากดัตช์ อังกฤษ หรืออาเจะห์

หลายครั้งรัฐมลายูเองก็ขอพึ่งอำนาจสยาม เพื่อคานกับรัฐมลายูอื่น

ไทรบุรีเคยขอให้กรุงเทพฯ ช่วยรบกับพม่า

ตรังกานูเคยส่งทูตเข้าเฝ้าขอรับการคุ้มครอง

และปัตตานีเองก็เคยเข้าร่วมทัพกับสยามในการศึกบางคราว

******************************************

#วาทกรรมแห่งความเจ็บปวด #หรือภาพจำที่เลือกเอง?

แน่นอนว่า ในประวัติศาสตร์ ก็มีเหตุการณ์ที่ฝ่ายสยามใช้กำลังและความรุนแรงเข้าปราบรัฐมลายูทางใต้   มีการกวาดต้อนผู้คนขึ้นไปภาคกลาง  และมีร่องรอยของความเจ็บปวดที่ไม่ควรถูกละเลย (ปู่ย่าตายายของผู้เขียนก็อยู่ในกระแสธารแห่งประวัติศาสตร์ส่วนนี้)

แต่หากเราจะสร้างอนาคตบนฐานของความเข้าใจจริง  เราต้องกล้ายอมรับว่า…

ไม่เคยมีรัฐใดบริสุทธิ์ ไม่เคยมีใครเป็นเหยื่อแห่งความอธรรมอยู่ฝ่ายเดียว

และไม่มีใครเป็นผู้รุกรานตลอดกาล

******************************************

#คำถามสุดท้าย…#ที่ไม่ใช่เพียงของประวัติศาสตร์

หาก “ชาติ ศาสนา และมาตุภูมิ” คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริง

คำถามคือ — ทำไมบรรพบุรุษของรัฐมลายูถึงเคยทำสงครามกันเองโดยไม่ลังเล?

หากคำว่า “มลายูมุสลิม” มีอำนาจเหนือความเป็นมนุษย์

ทำไมสุลต่านแห่งอาเจะห์ถึงสามารถจับสุลต่านแห่งไทรบุรีไปเป็นเชลย

ทั้งที่ต่างก็ละหมาดหันหน้าไปทางเดียวกัน?

******************************************

#ในท้ายที่สุด…

สิ่งที่เราควรต่อสู้ในวันนี้ อาจไม่ใช่การปลดแอกจาก “รัฐไทย”

แต่คือการปลดแอกจาก มายาคติและประวัติศาสตร์ที่เลือกจำ

เพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้เห็นว่า

แผ่นดินนี้ไม่เคยเป็นของใครคนใดคนหนึ่งอย่างแท้จริง

และ…

ไม่มีศาสนาใด…จะชอบใจในเลือดที่หลั่งลง โดยใช้อุดมการณ์เป็นข้ออ้าง


#ความเข้าใจในศาสนาและประวัติศาสตร์คือหนทางในการดับไฟใต้

Sunday, May 4, 2025

รอยยิ้มสุดท้ายของ “น้องเมย์”

 

รอยยิ้มสุดท้ายของ “น้องเมย์”

เช้าวันที่ 10 กันยายน 2567  เรายืนกันอยู่ใต้ชายคาบ้านเก่าๆ ในหมู่บ้านปลักปลา ตำบลโฆษิต อำเภอตากใบ

ท่ามกลางสภาพบ้านที่ขัดสน แต่กลับมีรอยยิ้มเล็กๆ จากเด็กหญิงคนหนึ่ง

“น้องเมย์” เด็กหญิงผิวคล้ำ ใบหน้าน่ารัก และดวงตาใสแจ่ม (ยืนหันหลัง)

เธอเอาแต่ยิ้ม ไม่พูด…ไม่ตอบ

เพราะน้องพิการทางการได้ยินและการพูดมาตั้งแต่กำเนิด


วันนั้น ผมมีโอกาสติดตามไปกับคณะของท่าน ว่าที่ ร.ต.จิรัสย์ ศิริวัลลภ นายอำเภอตากใบ ในขณะนั้น (ปัจจุบันท่านดำรงตำแหน่งปลัดจังหวัดปัตตานี) ไปเยี่ยมเยียนชาวบ้านตามปกติ โดยมีหมอน๊อต สาธารณสุขอำเภอตากใบ และ ทีม รพ.สต.โคกยาง เป็นผู้นำพาไป

ท่านนายอำเภอเห็นว่าเด็กคนนี้ไม่ควรตกหล่นจากระบบการศึกษา

หมอน็อต และเจ้าหน้าที่พยายามพูดคุยกับครอบครัว ช่วยกันโน้มน้าว พูดเกลี้ยกล่อมด้วยความเมตตาและความหวัง  สุดท้าย… “น้องเมย์” ได้ไปเข้าเรียนที่ศูนย์การศึกษาพิเศษตากใบ  ซึ่งอยู่ในพื้นที่โรงพยาบาลตากใบเอง


ไม่นานนัก ครูประจำศูนย์ก็แจ้งข่าวดีว่า

น้องมีพัฒนาการ เริ่มยิ้มมากขึ้น เริ่มรู้จักตอบสนอง และเรียนรู้มากขึ้น

พวกเราเอง…ก็ดีใจเงียบๆ  มันเหมือนต้นกล้าเล็กๆ ที่เพิ่งได้รับแสงแดดแรกของชีวิต


แต่แล้ว…

วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 เวลา 19.45 น.

เสียงปืนจากคนใจร้ายได้พรากทุกอย่างไป

“น้องเมย์” หรือ เด็กหญิงสสิดา จันทร์คง อายุ 9 ปี

เสียชีวิตในบ้านของตนเอง พร้อมปู่และญาติอีกหนึ่งราย

เธอกลายเป็นเหยื่อของเหตุความไม่สงบที่ไร้สำนึก

ไม่มีเวลาแม้แต่จะร้องขอชีวิต — เพราะเธอไม่อาจได้ยินเสียงปืนเลยด้วยซ้ำ

เด็กหญิงที่ไม่เคยพูด… ถูกพรากไปก่อนที่จะได้พูดคำว่า “ครู” หรือ “แม่”


ภาพถ่ายเมื่อวันนั้น — วันที่เราเคยยืนอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน

กลายเป็นภาพสุดท้ายของการพบกัน

เด็กที่ไม่เคยทำร้ายใคร  กลับต้องมารับเคราะห์จากความเชื่อที่บิดเบี้ยว

ที่แยกคนออกจากกันด้วยเส้นแบ่งเขตของชาติพันธุ์ ศาสนา หรืออุดมการณ์ปลอมๆ

หากสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “การต่อสู้เพื่ออัตลักษณ์ หรืออุดมการณ์“

กลับลงเอยด้วยการยิงใส่เด็กหญิงคนหนึ่งในบ้านของเธอเอง


เราอาจต้องทบทวนแล้วว่า ”อัตลักษณ์ หรืออุดมการณ์“ นั้นยังมีความเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่ไหม

รัฐปัตตานีที่อ้างว่าเคยอิสระ — อิสระจริงหรือ?”

 

“#รัฐปัตตานีที่อ้างว่าเคยอิสระ — #อิสระจริงหรือ?”

วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 เวลา 19.45 น.

เกิดเหตุคนร้ายไม่ทราบจำนวน ใช้รถจักรยานยนต์ 3 คันเป็นพาหนะ บุกใช้อาวุธปืนกราดยิงเข้าไปภายในบ้านเลขที่ 1/3 หมู่ที่ 5 ตำบลโฆษิต อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส

ผู้เสียชีวิตมี 3 ราย ได้แก่

 - นายดำ จันทร์คง อายุ 70 ปี

 - ด.ญ.สสิดา จันทร์คง อายุ 9 ปี

 - นายแดง ตุนาสุข อายุ 58 ปี

ผู้บาดเจ็บอีก 2 รายคือ

 - นายภาคีไนย รังเสาร์ อายุ 29 ปี

 - นายเชาว์ จันทร์คง อายุ 44 ปี

เหตุการณ์ความรุนแรงนี้  สะท้อนผลกระทบจาก ความคิดสุดโต่งที่หยิบใช้ประวัติศาสตร์เป็นเครื่องมือบิดเบือนและปลุกปั่นความเกลียดชัง

ในฐานะอดีตผู้กำกับการ สภ.ตากใบ ซึ่งเคยดูแลพื้นที่นี้ด้วยหัวใจ ผมไม่อาจเงียบได้เมื่อเห็นครอบครัวชาวบ้านต้องสูญเสียผู้เฒ่าและเด็กหญิงในคืนเดียวกัน

ความสูญเสียนี้เกิดขึ้นเพราะคนบางกลุ่มยังคงยึดถือความเชื่อว่า “รัฐปัตตานีเคยเป็นรัฐอิสระที่ถูกยึดครองโดยสยาม” และใช้แนวคิดนั้นเป็นข้ออ้างในการสร้างความชอบธรรมต่อความรุนแรง

แต่หากเราศึกษาประวัติศาสตร์อย่างจริงจัง จะพบว่าความเชื่อนี้ไม่ได้ตั้งอยู่บนข้อเท็จจริงที่ครบถ้วน

ก่อนจะมีคำว่า “รัฐปัตตานี” ในความหมายแบบรัฐสมัยใหม่ ดินแดนแถบนี้เคยอยู่ภายใต้อิทธิพลของศรีวิชัย นครศรีธรรมราช สุโขทัย อยุธยา และต่อเนื่องสู่รัตนโกสินทร์ เป็นหัวเมืองที่มีระบบบรรณาการ มีเจ้าเมืองที่ได้รับการแต่งตั้งจากส่วนกลาง และมีบทบาทร่วมในภารกิจปกป้องแผ่นดินไทย

พระยาราชบังสัน(หะซัน) โอรสองค์เล็กองค์สุลต่านสุไลมาน ชาห์ แห่งซิงกอรา เป็นหนึ่งในหลักฐานสำคัญว่า “ชาวมลายูมุสลิม” สายราชวงศ์มลายูบางสาย 

ไม่ได้ถูกลิดรอนอำนาจ แต่ได้รับเกียรติจากราชสำนักให้ทำหน้าที่ปกป้องบ้านเมือง  ท่านเป็นแม่ทัพเรือแห่งกรุงศรีอยุธยา

พระยาพัทลุง ขุนคางเหล็ก (เดิมเป็นมุสลิม) ลูกหลานสุลต่านสุไลมาน ชาห์ อีกท่านหนึ่ง (ท่านเป็นเหลนโต๊ะสูของพระยาราชบังสัน (หะซัน)) พระสหายคนสนิทของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของผู้นำจากแดนใต้ที่มีบทบาทในการกู้ชาติจากพม่าและร่วมสร้างความมั่นคงให้แผ่นดินสยาม

บุคคลเหล่านี้ไม่ได้ถูก “กลืนกลาย” หากแต่ ร่วมเป็นเจ้าของแผ่นดิน โดยมีความเชื่อ ศาสนา และอัตลักษณ์ของตนเองอย่างมั่นคง

การหยิบคำว่า “อัตลักษณ์มลายูมุสลิม” มาใช้เป็นเครื่องมือในการแยกตนออกจากความเป็นไทย จึงไม่ใช่การปกป้องรากเหง้า หากคือการ บั่นทอนมรดกของบรรพชนที่เคยเสียสละเพื่อผืนแผ่นดินนี้

และยิ่งน่าเศร้า…เมื่อความคิดแบบนั้นแปรเปลี่ยนมาเป็นกระสุน ที่ปลิดชีพเด็กหญิง 9 ขวบไปต่อหน้าต่อตาญาติพี่น้องของเธอ

ชายแดนใต้ต้องการสันติสุข ไม่ใช่การตอกย้ำความแค้นโดยใช้ประวัติศาสตร์ที่ถูกตีความแบบด้านเดียว

สิ่งที่เราต้องการวันนี้ไม่ใช่ “รัฐใหม่”

แต่คือ ความเข้าใจใหม่ — ที่ไม่บิดเบือนความจริงของชาติพันธุ์ ศาสนา และประวัติศาสตร์ร่วม

เพราะสุดท้าย…ผู้ที่รักแผ่นดินนี้จริง ย่อมไม่เหนี่ยวไกปืนใส่เด็กไร้เดียงสาในบ้านของตัวเอง


******************************************

โดย พ.ต.อ.ศุภชัช (ยีหวังกอง) ณ พัทลุง ผกก.สภ.ระแงะ | อดีต ผกก.สภ.ตากใบ

#ความเข้าใจในศาสนาและประวัติศาสตร์คือหนทางในการดับไฟใต้

Saturday, April 19, 2025

“ย่าจันทร์” เจ้าลาวพลัดถิ่น

แด่คุณย่าจันทร์ คำชา

ผู้หญิงลาวเวียงจันทน์ที่พาเลือดเนื้อเชื้อสายของเธอ

ข้ามฝั่งแม่น้ำโขงมาเติบโตบนผืนแผ่นดินไทย

แม้ชื่อของย่าอาจไม่เคยถูกจารึกไว้ในตำราวัฒนธรรม

แต่ในจังหวะของบาสโลบ เราได้ยินเสียงของย่า

******************************************

ใบหน้านั้นเรียบง่าย

แต่มีบางอย่างที่ “ยิ่งกว่าคำว่าเรียบง่าย”

คือ ความสงบที่ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านการข้ามโขงและข้ามกาลเวลา

****************************************** 



“#ย่าจันทร์..#เจ้าลาวพลัดถิ่น #เสียงกระซิบจากแผ่นดินที่จากมา

ผมได้ฟังเพลงนั้น ครั้งแรก…

ขณะชมการแสดงบาสโลบของชาวบ้านในงานปิดทองฝังลูกนิมิตที่วัดตันติการาม (วัดน้ำตอหลัง) อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส

#เพลงบูชามนตรามณีนฤมาสนาคิณีเทวี (#แม่ย่ามณีจันทรา)

เป็นวันที่ 14 เมษายน 2568 — วันที่ท่าน พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 มาเป็นประธานในพิธี

ตอนนั้น… ผมไม่ได้คาดหวังอะไร

แค่ยืนดูชาวบ้านแต่งชุดไทยพื้นเมือง ร่ายรำกันอย่างเรียบง่าย แต่เมื่อเพลงบรรเลงขึ้น จังหวะนั้นเหมือนเวลาทั้งหมดในลานวัดหยุดนิ่ง

เสียงแรกของเพลง “บูชามนตรามณีนฤมาสนาคิณีเทวี (แม่ย่ามณีจันทรา)” ทำให้หัวใจของผมสะดุด

และในไม่กี่วินาทีถัดมา น้ำตาก็ไหล โดยไม่รู้ตัว

ผมกลับมาบ้าน นั่งฟังเพลงนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า…

ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนต้องออกเสาะหาว่ามันคือเพลงอะไร ใครเป็นผู้แต่ง และผมก็พบว่า เพลงนี้เป็นผลงานของ

“ต้นรัก ศีลป์เศียรเกล้า” ผู้เขียนเสียงมนตราไว้ในบทเพลงที่ นอกจาก จะเขียนขึ้นด้วยแรงศรัทธาแล้ว มันคือเสียงที่เรียกใครบางคนจากความทรงจำของผมกลับมา

ผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมไม่เคยเห็นหน้า  แต่เธอคือ “ย่าจันทร์ คำชา”

ย่าของภรรยาผม

และทวดของ ”น้องนวี“ ลูกชายผม

**************************************

“พ่อใบ” พ.ต.ต.ใบ คำชา กับ “แม่ตุ๊ก” แต่งงานกันเมื่อปี 2517 มีบุตรสาว 3 คน ได้แก่ “น้ำฝน” “น้ำค้าง” และ “น้ำทิพย์” โดยน้องน้ำทิพย์เกิดในปี 2521 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่ “พ่อใบ” เสียชีวิตจากการสู้รบกับ ผกค.

ก่อนที่ พ.ต.ต.ใบ จะเสียชีวิตในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ที่ อ.หนองบัวลำภู จ.อุดรธานี (ตามเขตการแบ่งจังหวัดในขณะนั้น) แม่ตุ๊กเคยได้พบกับ “ย่าจันทร์” แม่ของพ่อใบ เพียง 2–3 ครั้ง ทั้งก่อนและหลังคลอดน้องน้ำทิพย์ได้ประมาณ 3 เดือน ขณะนั้นย่าจันทร์อายุราว 70 ปี ท่านเดินทางจากจังหวัดขอนแก่นมาพัทลุงโดยรถไฟ มากับ “อาวรวุฒิ” บุตรชายอีกคนของท่าน (น้องชายของพ่อใบ) เพื่อมาเยี่ยมรับขวัญหลานสาวคนเล็ก และพักที่บ้านพักข้าราชการตำรวจ นปพ.กก.ภ.จว.พัทลุง อ.เมือง จ.พัทลุง

ระหว่างที่พักอยู่ในพัทลุง พ่อใบได้พาย่าจันทร์ไปเที่ยวท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น เขาจันทร์ บ้านหนองธง ป่าบอน (ยังไม่แยกอำเภอในขณะนั้น) และอำเภอตะโหมด ย่าจันทร์ประทับใจภูเขาและธรรมชาติในภาคใต้อย่างมาก ท่านกล่าวชื่นชมเป็นภาษาลาวให้แม่ตุ๊กฟังว่า

“ต้นไม้มีกระด้อกระเดี้ยหลาย ถ้าข้อยมาอยู่ที่นี่จะปลูกต้นไม้ให้เยอะเลย

สัตว์ก็เยอะ กบภูเขาทำไมไม่กินกัน? ปลาก็เยอะ ทำไมไม่จับ?”

แม่ตุ๊กตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า

“คนที่นี่อุดมสมบูรณ์ ดินดี มีกินแล้วก็พอ ถ้าไม่มีกินก็เข้าป่าไปหาสัตว์หรือยอดไม้”

ภาพของย่าจันทร์ที่แม่ตุ๊กถ่ายทอดนั้น ช่างแจ่มชัดและมีชีวิตชีวา “ท่านมีใบหน้าเรียวเล็ก ยังคงเค้าความงามสง่า รูปร่างผอมสูง คล้ายกับน้ำค้างลูกสาวคนกลาง ย่าจันทร์เป็นคนเดินเร็ว ขยันขันแข็ง อยู่ไม่นิ่ง ชอบปลูกต้นไม้ ทอผ้า ทอเสื่อ และติดใจการกินหมากกับสีเสียด”

และในความทรงจำเหล่านั้น แม่ตุ๊กยังเล่าถึงภูมิหลังอันน่าทึ่งของย่าจันทร์

ย่าเคยเล่าให้แม่ตุ๊กฟังว่า ตนมีเชื้อสายเจ้าลาว (ราชวงศ์ลาว) อพยพหลบหนีจากภัยสงครามกลางเมืองและการเปลี่ยนแปลงการปกครองในลาว มาตั้งรกรากอยู่แถบตำบลรอบนอกของจังหวัดลพบุรี ก่อนจะมาพบรักกับ “ปู่ขู” พ่อของพ่อใบ ที่นั่น และอพยพไปอยู่ที่ อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น

แม่ตุ๊กเล่าต่อว่า  เคยเห็นหีบเหล็กใส่สมบัติเก่า — มีผ้าไหม แก้วแหวน เงินทอง ของโบราณลักษณะคล้ายของชาววัง อยู่ที่บ้านของย่าจันทร์  ราวกับเป็นร่องรอยของอดีตอันรุ่งเรืองที่ย่าจันทร์หอบข้ามแผ่นดินมา

ย่าจันทร์ไม่ได้เป็นเพียงผู้หญิงที่ยึดติดกับอดีต แต่ท่านกลับเป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์ก้าวไกล ท่านตัดสินใจพาลูกๆ จากชนบทเข้าสู่เมือง ไปอาศัยใกล้เรือนจำขอนแก่น เพื่อให้ลูกได้รับการศึกษาที่ดีที่สุด และความมุ่งมั่นของท่านก็ผลิดอกออกผล ลูกชายคนหนึ่งของย่าจันทร์สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก “ดร.อุดม คำชา” และเกษียณอายุราชการในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 4

ย่าจันทร์… ผู้หญิงแกร่งแห่งแผ่นดินลาว ผู้ซึ่งเผชิญความพลัดพรากและความเปลี่ยนแปลงในชีวิตอย่างหาญกล้า ได้จากพวกเราไปเมื่อเดือนมีนาคม 2543 สิริอายุ 84 ปี ทิ้งไว้เพียงเรื่องราวและร่องรอยแห่งความทรงจำ

แต่ในเสียงดนตรีหนึ่ง — เพลงของต้นรัก ศิลป์เศียรเกล้า

เสียงกระซิบของท่านเหมือนจะดังขึ้นมาอีกครั้ง

“ลูกหลานเอ๋ย… อย่าลืมเสียงของแผ่นดินที่จากมา”


ขอบคุณน้องต้น Chitti Chantarapromkul หลานย่าจันทร์อีกคนหนึ่ง ลูกผู้พี่ของน้องน้ำค้างที่ส่งภาพถ่ายย่าจันทร์มาให้ครับ

บันทึกจากการสัมภาษณ์แม่ตุ๊ก (อาจารย์ศิริลักษณ์ วงศา)

เมื่อวันที่ 20–26 มิถุนายน 2563

Tuesday, April 15, 2025

#คนไทยพุทธในชายแดนใต้ — #จากสุโขทัยสู่ชายขอบมลายู


 #คนไทยพุทธในชายแดนใต้ — #จากสุโขทัยสู่ชายขอบมลายู



ผมรับราชการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มาหลายอำเภอแล้วครับ ตั้งแต่ บรรจุครั้งแรก ยศ “นายร้อยตำรวจตรี“ ที่อำเภอสายบุรี จากนั้นโยกย้ายไปรับตำแหน่งต่าง ๆ ทั้งในจังหวัดสงขลา ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส ผ่านงานสืบสวน ป้องกันปราบปราม ไปจนถึงสารวัตรใหญ่ และรองผู้กำกับการตามสถานีตำรวจหลากหลายแห่ง หลายพื้นที่  ผมอยู่มาหลายปีจนซึมซับทุกลมหายใจของบ้านของเมือง คนของพื้นที่ กลิ่นฝน กลิ่นดิน วัฒนธรรมที่ยังเต้นอยู่ในจังหวะของชีวิตประจำวัน


ระหว่างทางผมมีโอกาสได้ไปอบรมหลักสูตรอินเตอร์จากหลากหลายประเทศ ทั้งสหรัฐฯ อินเดีย เกาหลีใต้ มีโอกาสเดินทางไปศึกษาดูงานที่ประเทศออสเตรเลีย ผมเคยนอนโรงแรมห้าดาว เคยฟังบรรยายจากผู้เชี่ยวชาญระดับโลก แต่สิ่งที่ทำให้ผมหยุดคิดจริง ๆ ไม่ได้มาจากห้องประชุมหรูเหล่านั้น แต่มาจากการนั่งขับรถคนเดียวระหว่างภารกิจ — บนถนนสายเลียบภูเขาในยะลา หรือทางราบที่ทอดไปสู่ทะเลนราธิวาส


อยู่ ๆ ผมก็นึกถึงห้องเรียนวิชาประวัติศาสตร์ในสมัยเด็ก ผมจำได้ว่าเราเคยเรียนเรื่องอาณาจักรโบราณของไทยอย่างทวารวดี ศรีวิชัย ละโว้ ตามพรลิงค์ แต่ในวันนั้น…ผมไม่เคยถามเลยว่า “คนในอาณาจักรเหล่านั้นคือใคร?” เราถูกสอนให้เชื่อมโยงพวกเขากับ “ความเป็นไทย” โดยอัตโนมัติ ทั้งที่จริงแล้ว คนในอาณาจักรทวารวดีอาจเป็นชาวมอญ คนในอาณาจักรศรีวิชัยก็คือชาวมลายู และพวกเขาพูดภาษาของตน ไม่ใช่ภาษาไทย


ถ้าเช่นนั้น…ทำไมคนภาคใต้ โดยเฉพาะฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรไทย (14 จังหวัดภาคใต้) ซึ่งเคยอยู่ใต้ร่มเงาอาณาจักรศรีวิชัยถึงสูญเสียภาษาและอัตลักษณ์มลายูไปเกือบสิ้น? ทำไมในพื้นที่ที่เคยพูดภาษามลายูเป็นหลัก กลับกลายมาใช้ชื่อไทย พูดไทย และบางทีก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารากเหง้าของตัวเองอยู่ตรงไหน?


คำถามพวกนี้ทำให้ผมนึกถึงคำหนึ่งในวิชามานุษยวิทยา — “#การกลืนกลาย” (assimilation) และนั่นแหละ…คือจุดเริ่มต้นที่ผมอยากจะชวนทุกคนเดินทางย้อนกลับไปสำรวจอดีตที่เราไม่เคยได้มองอย่างลึกซึ้ง


คนไทยพุทธในจังหวัดชายแดนภาคใต้ปัจจุบัน ไม่ได้เป็นกลุ่มเดียวกันทั้งหมด พวกเขามีทั้งคนที่เป็น “#มลายูพุทธที่ถูกกลืนกลาย” และ “#สยามพุทธที่เข้ามาทีหลัง” บางกลุ่มคือชาวมลายูที่เคยนับถือพุทธ แล้วถูกรัฐรวมศูนย์ผ่านศาสนา จนค่อย ๆ เปลี่ยนมาใช้ภาษาไทย มีชื่อไทย และกลายเป็นไทยพุทธ


อีกบางกลุ่มคือคนจากภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคอีสาน ที่รัฐส่งลงมาเพื่อสร้างชุมชนไทยพุทธใหม่ และคานอำนาจในพื้นที่ พวกเขาคือ “สยามพุทธ” ที่รักษาอัตลักษณ์ไทยพุทธแบบภาคกลาง และรวมตัวเป็นชุมชนคนไทยพุทธในชายแดนใต้


ในกลุ่มหลังนี้เองที่รวมถึงคนไทยพุทธในกลุ่มตากใบ–เจ๊ะเห ซึ่งกินพื้นที่อานาบริเวณไปจนถึงชาวสยามพลัดถิ่นใน รัฐต่างๆ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งจากแผนภาพที่ผมได้ดู (ตัวเลขด้านบนระบุปีพุทธศักราช ไม่ใช่คริสต์ศักราช) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการสืบสายของเมืองต่าง ๆ เช่นสงขลา พัทลุง ไชยา ฯลฯ ล้วนเป็นกลุ่มที่รัฐสยามส่งลงมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ผ่านนครศรีธรรมราช


ทว่า ภาษาไทยของกลุ่ม “ตากใบ–เจ๊ะเห” กลับเป็นภาษาไทยที่ถูกนำเข้ามาจากศูนย์กลาง ไม่ได้พัฒนาขึ้นจากภาษาถิ่นในพื้นที่ พวกเขาไม่ได้เคยพูดมลายูแล้วกลายเป็นไทย แต่เป็นคนไทยที่พูดไทยมาตั้งแต่ต้น และลงมาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ชายแดนเพื่อจุดประสงค์ทางการเมืองและวัฒนธรรม


ถึงกระนั้น… แม้พวกเขาจะเป็นผู้ที่ “ลงมาทีหลัง” แต่พวกเขาก็ “ลงมานานแสนนาน” มากแล้ว จนในปัจจุบัน คนกลุ่มเดียวกันนี้ที่อยู่ในฝั่งมาเลเซีย ได้รับการยอมรับว่าเป็น “ภูมิบุตร” (bumiputera) เช่นเดียวกับชาวมาเลย์ เพราะพวกเขาอยู่ที่นั่นก่อนรัฐชาติจะมีพรมแดน และใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างลึกซึ้งกับชุมชนมลายูในพื้นที่


นี่คือความงดงามของประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ในคาบสมุทรมลายู — ไม่มีใครบริสุทธิ์โดยสายเลือด ไม่มีใครเป็นเจ้าของดินแดนโดยกำเนิด มีเพียงผู้คนที่หยั่งราก และฝากวิถีชีวิตไว้กับผืนแผ่นดินนี้เท่านั้น


#ความเข้าใจในศาสนาและประวัติศาสตร์คือหนทางในการดับไฟใต้

Friday, April 4, 2025

ว่าด้วยบ่อนคาสิโน ประชาธิปไตย และภารกิจของประธานรัฐสภา และผู้แทนราษฎร

 

ว่าด้วยบ่อนคาสิโน ประชาธิปไตย และภารกิจของประธานรัฐสภา และผู้แทนราษฎร


ในสังคมไทยซึ่งบ่อนการพนันดำรงอยู่มายาวนานในหลายรูปแบบ ทั้งถูกกฎหมาย (เช่น สลากกินแบ่งรัฐบาล, สลากกาชาด, สนามชนโค, บ่อนไก่ชน) และผิดกฎหมาย (เช่น บ่อนใต้ดิน, บ่อนลอยฟ้า, การพนันออนไลน์) การตั้งประเด็นคำถามเกี่ยวกับการ “เปิดเสรีบ่อนคาสิโน” จึงไม่ใช่เรื่องใหม่  แต่เมื่อเร็วๆ นี้ เมื่อรัฐบาลพยายามผลักดันแนวคิด “คาสิโนคอมเพล็กซ์” เป็นวาระแห่งชาติ โดยมีการผลักดันเข้าสภา กลับมีเสียงวิพากษ์และประณามในนามของศาสนา โดยเฉพาะเมื่อผู้ที่มีบทบาทในการนำกฎหมายเข้าสภาคือ อาจารย์วันมูหะมัดนอร์ มะทา ซึ่งดำรงตำแหน่ง “ประธานรัฐสภา” และเป็นมุสลิม


ผมขอเรียนอย่างตรงไปตรงมาว่า ผมไม่เห็นด้วยกับบ่อนคาสิโน และยังยืนยันว่าการพนันในอิสลามนั้นเป็นสิ่งต้องห้ามชัดเจน (ฮะรอม) อย่างไรก็ดี การโจมตีใครคนหนึ่งด้วยถ้อยคำที่ว่า “เสียดายที่เกิดมาเป็นมุสลิม” หรือ “กลับไปหาพระเจ้าโดยไม่ได้ทำความดี” นั้น เป็นการละเมิดขอบเขตของอิสลาม และขัดต่อหลักเมตตาธรรมของศาสนาอย่างรุนแรง


เราคงจะลืมไปว่า ประเทศมุสลิมหลายประเทศ ก็มีคาสิโนอย่างถูกกฎหมาย เช่น

 ~ เลบานอน: มี Casino du Liban ดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 1959 ในเขตโจนีเยห์ ใกล้กรุงเบรุต

www.casinoduliban.com.lb

 ~ อียิปต์: มีคาสิโนในโรงแรมหรูหลายแห่งในไคโรและชาร์มเอลชีค โดยเปิดให้ชาวต่างชาติใช้บริการ

www.tripadvisor.com/Hotels-g297555-zff14-Sharm_El_Sheikh

 ~ โมร็อกโก: มีคาสิโนที่มีชื่อเสียง เช่น Casino de Marrakech ซึ่งเปิดดำเนินการตั้งแต่ปี 1952

www.essaadi.com/en/casino-marrakech/

 ~ ตูนิเซีย: มีคาสิโนในเขตท่องเที่ยว เช่น Casino La Médina ในเมือง Yasmine Hammamet

www.casinocity.com/tunisia/yasmine-hammamet/casino-la-médina/

 ~ ตุรกี: แม้จะยกเลิกคาสิโนในประเทศตั้งแต่ปี 1998 แต่ยังมีสลากกินแบ่งรัฐบาลและการพนันกีฬาออนไลน์ที่ดำเนินการโดยรัฐ

https://en.wikipedia.org/wiki/Gambling_in_Turkey?wprov=sfti1

 ~ มาเลเซีย: มี คาสิโนเก็นติ้งไฮแลนด์ ดำเนินการภายใต้กฎหมาย แม้ห้ามมุสลิมเข้าเล่น

www.rwgenting.com

 ~ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์: วางแผนเปิด “คาสิโนรีสอร์ท” ในราสอัลไคมาห์โดยบริษัท Wynn Resorts

www.skift.com/2025/02/27/wynn-resorts-confirms-there-will-be-two-gaming-areas-at-uaes-first-casino-resort/


(ขณะที่ ซาอุดีอาระเบีย ยังคงห้ามการพนันทุกรูปแบบภายใต้ระบบชารีอะฮ์อย่างเข้มงวด)


ทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่าอิสลามเห็นด้วยกับคาสิโน แต่คือข้อเท็จจริงที่ว่า การดำรงอยู่ของคาสิโนในประเทศมุสลิม มักเป็นเรื่องของนโยบายรัฐที่ต้องควบคุมภายใต้กฎหมาย ไม่ใช่เรื่องของบุคคลใดคนหนึ่ง


ในบริบทของประเทศไทย การผลักดันกฎหมายว่าด้วย “สถานบันเทิงครบวงจร” หรือ “คาสิโนคอมเพล็กซ์” โดยรัฐบาลชุดปัจจุบันนั้น เกิดขึ้นภายหลังจากการเลือกตั้ง ในระบบประชาธิปไตย พรรคการเมืองซึ่งได้รับเสียงข้างมากและจัดตั้งรัฐบาล ย่อมมีสิทธิในการกำหนดวาระทางนโยบายและเสนอร่างกฎหมายเข้าสู่สภา ไม่ว่ากฎหมายเหล่านั้นจะได้รับเสียงสนับสนุนหรือไม่ ก็ต้องผ่านการกลั่นกรองและอภิปรายตามระบบรัฐสภา


อาจารย์วันมูหะมัดนอร์ มะทา ในฐานะประธานรัฐสภา จึงมีหน้าที่ “ประคับประคองกระบวนการประชาธิปไตย” ให้ดำเนินไปตามครรลอง ไม่ใช่ “เลือกเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย” ตามอารมณ์ส่วนตัว และไม่สามารถ “ตัดสินใจแทนสภา” ได้ เพราะอำนาจแท้จริงอยู่ที่เสียงของผู้แทนราษฎรทุกคน


และสุดท้าย ในระบบประชาธิปไตยที่มีความรับผิดชอบต่อประชาชน หากนโยบายใดของพรรคการเมืองไม่สอดคล้องกับความรู้สึกของสังคม หรือทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย  ก็ย่อมมีผลสะท้อนกลับผ่าน “การเลือกตั้งครั้งต่อไป” เพราะประชาชนคือเจ้าของอำนาจสูงสุด หากพวกเขาไม่เห็นด้วยกับแนวทางของพรรคใด พรรคการเมืองนั้นก็จะ ไม่ถูกรับเลือกเข้ามาเป็นรัฐบาลอีก นั่นคือ “กระบวนการตัดสินใจด้วยเสียงส่วนรวม” อันเป็นหัวใจของประชาธิปไตย


สิ่งที่เราควรทำ คือวิพากษ์วิจารณ์นโยบายด้วยข้อมูล ไม่ใช่ด้วยการสาปแช่งบุคคลผู้ทำหน้าที่ในระบบอย่างซื่อสัตย์



Wednesday, April 2, 2025

หะยีวันอะหมัด ชื่อฉายา “โต๊ะชายนาย” หรือ “โต๊ะหยังนาย”

 


29 มีนาคม 2568

สนธิสัญญาอังกฤษ–สยาม พ.ศ. 2452 (Anglo-Siamese Treaty of 1909) หรือที่รู้จักกันในชื่อ สนธิสัญญาบางกอก เป็นข้อตกลงระหว่างอังกฤษกับสยาม มีการลงนามที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2452 และได้รับสัตยาบันจากรัฐสภาแห่งสหราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคมปีเดียวกัน

สาระสำคัญของสนธิสัญญาฉบับนี้คือ การที่สยามยกสิทธิในการปกครองและบังคับบัญชาเหนือ ไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู และเปอลิส รวมทั้งเกาะใกล้เคียง ให้แก่อังกฤษ

ในเดือนนี้ เป็นวาระครบรอบ 119 ปีของสนธิสัญญาฉบับดังกล่าว—และยังคงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ส่งผลต่ออัตลักษณ์ของผู้คนในคาบสมุทรมลายูจวบจนปัจจุบัน

หากย้อนเวลากลับไปก่อนหน้าวันที่สนธิสัญญานี้จะเกิดขึ้นราว 100 ปี ในสมัยรัชกาลที่ 2 (พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย) หรือเมื่อราว 200 ปีก่อน

“ฮัจญีหวังอาหมัด” ชาวมลายูมุสลิมจากรัฐตรังกานู—ซึ่งขณะนั้นยังเป็นดินแดนหนึ่งในราชอาณาจักรสยาม—ได้อพยพจากบ้านเกิดเมืองนอนด้วยเหตุผลทางการเมืองและความไม่สงบ

ท่านมีฉายาว่า “โต๊ะหยังนาย” หรือ “โต๊ะชายนาย” เนื่องจากดำรงตำแหน่ง “นายกองทหาร” แห่งรัฐตรังกานู และเคยนำกำลังเข้าร่วมกับเมืองสงขลาเพื่อปราบหัวเมืองที่แข็งข้อในพื้นที่ภาคใต้

เมื่อภารกิจทางการทหารเสร็จสิ้น ท่านเลือกที่จะไม่กลับคืนสู่ภูมิลำเนา แต่ตัดสินใจตั้งรกรากในพื้นที่บริเวณที่ราบลุ่มทะเลสาบสงขลา ณ บ้านดอนทิง ซึ่งปัจจุบัน อยู่ในเขตการปกครอง ตำบลปากรอ อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา 

ท่านมีภรรยา 2 คน และมีลูกทั้งหมด 8 คน ซึ่งล้วนถือกำเนิดที่บ้านดอนทิง และเป็นต้นสายตระกูลสำคัญหลายสายในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะในจังหวัดสงขลา และจังหวัดพัทลุง  ลูกหลานของท่านได้แต่งงานสลับสายในหมู่กันเอง เกิดเป็นเครือญาติอันแน่นแฟ้น มีทั้งชื่อสกุลและวัฒนธรรมร่วมกัน ลูกหลานของท่าน เมื่อมีครอบครัวแล้วก็อพยพโยกย้ายไปตั้งรกรากทั่วลุ่มทะเลสาบสงขลา ทั้งที่บ้านหัวปาบ  บ้านม่วงทวน  ดังนี้

1. หะยีสาเม๊าะ (1838–)

เมื่อแต่งงานได้อพยพโยกย้ายไปอยู่บ้านเกาะทาก ตำบลนาหว้า อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ต้นตระกูล “หมานเหม๊าะ” และ “เส็นเด” และอีกหลายตระกูลในอำเภอจะนะ ศพของท่านฝังอยู่ที่บ้านเกาะทาก

2. ปะวะแหละ (1839–)

ลูกหลานใช้นามสกุล “เจ๊ะอาหวัง”, “ปูตีล่า” หรือ “ฤทธิ์โต” และบางสายสมรสกับตระกูล “ยีหวังกอง”

3. หะยีอุมาร์ (ยีหวังกอง) (1840–1915)

เป็นผู้ให้กำเนิดตระกูล “ยีหวังกอง” ซึ่งสืบทอดกันมาอย่างต่อเนื่องถึงรุ่นปัจจุบัน

4. โต๊ะขุนฤทธิ์ (1841–)

ต้นตระกูล “ขุนฤทธิ์” และ “ฤทธิ์โต”

5. หวันยีเต๊ะ (1842–)

ต้นตระกูล “หวันยีเต๊ะ”

6. โต๊ะจูยำ (1843–)

ลูกหลานมีการสมรสไขว้กับสายของปะวะแหละ

7. โต๊ะเหล็บยาว (1844–)

ลูกหลานใช้นามสกุล “ปูตีล่า” หรือ “ฤทธิ์โต” และมีการแต่งงานไขว้สายกันกับลูกหลานของอีกหลายตระกูล

8. โต๊ะชายล่า (1845–)

ต้นตระกูล “ปูตีล่า”

(ตัวเลขแทนคริสต์ศักราชเป็นเพียงค่าประมาณการ)

แม้บทเรียนในห้องเรียนจะสอนให้เรารักชาติและภาคภูมิใจในความเป็น “ไทย” แต่เราก็ไม่ควรลืมรากเหง้าของตนเอง

ผมภูมิใจที่มีสายเลือดมลายู และเป็นคนไทยที่อยู่ใต้พระบรมโพธิสมภารในแผ่นดินนี้…

บรรพบุรุษของผม… หลับใหลอยู่ใต้ผืนดินนี้มาเกือบสองร้อยปีแล้วครับ


*******************************************


Version เขียนใหม่ 29 มี.ค.2568 ซึ่งเป็นวันที่ครบรอบวันเกิดปีที่ 51 ของผม

Sunday, March 30, 2025

#แผ่นดินไหวกับ “#กำทอน” – #เมื่อจังหวะที่พอดีอาจทำลายล้างทุกอย่าง


 #แผ่นดินไหวกับ “#กำทอน” – #เมื่อจังหวะที่พอดีอาจทำลายล้างทุกอย่าง

แผ่นดินไหวในกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568

กลายเป็นข่าวใหญ่ทันที เมื่ออาคารสูงที่กำลังก่อสร้างถล่มลงมาทั้งตึก

ภาพควัน ฝุ่น และซากโครงสร้าง ทำให้หลายคนตกใจ และคำถามก็ตามมาไม่หยุด

“โกงหรือเปล่า?”

“ก่อสร้างผิดแบบไหม?”

“วัสดุไม่ดีหรือยังไง?”

แน่นอนว่าทุกข้อสงสัยต้องตรวจสอบให้ถึงที่สุด

แต่ในฐานะอดีตเด็กสายวิทย์ที่เคยเรียนทั้งที่อิสลามวิทยาลัยและโรงเรียนเตรียมทหาร

ถึงแม้จะหลับๆ ตื่นๆ ในห้องเรียนบ้าง แต่ผมอดนึกถึงบทเรียนในวิชาฟิสิกส์ เรื่อง “กำทอน” (Resonance) หรือ “ลั่นพ้อง” ไม่ได้

“กำทอน” คือปรากฏการณ์ที่วัตถุเกิดการสั่นรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ  เมื่อได้รับแรงกระตุ้นในจังหวะที่ “ตรงกับความถี่ธรรมชาติ” ของมันพอดี

คล้ายการดันชิงช้าให้ถูกจังหวะ—มันจะไต่สูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยใช้แรงแค่นิดเดียว

อาคารก็มีความถี่ของตัวมันเอง

ถ้าแผ่นดินไหวสั่นในจังหวะที่ “เข้าพอดี”

แม้อาคารจะสร้างได้ตามมาตรฐาน ก็อาจสั่นแรงเกินรับไหว และถล่มลงมาได้จริง ๆ

ดังนั้น บางครั้งการพังทลายอาจไม่ใช่เพราะโกง

แต่อาจเป็นเพราะธรรมชาติ… จังหวะพอดีเกินไปต่างหาก

หวังว่าเหตุการณ์นี้จะไม่ใช่แค่บทเรียนเรื่อง “ความผิดพลาด” แต่เป็นบทเรียนเรื่อง “ความเข้าใจ” ที่เราจะใช้เตรียมรับมือสิ่งที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต

Wednesday, March 19, 2025

จากเงามืดสู่การค้นพบ





 


#จากเงามืดสู่การค้นพบ

เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องเล่าที่ผมตามหาร่องรอยข้อมูลตัวตนและเครือญาติของ “แก่หยัง“ (ตาทวด)  พ่อของแก่ม๊ะคุณยายผมจนเจอ ซึ่งทั้งชีวิตที่ผ่านมา พวกเราลูกหลานรู้แต่เพียงชื่อในทะเบียนบ้าน แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าท่านเป็นใคร มีเครือญาติอยู่ที่ไหน และใช้นามสกุลอะไร เพราะท่านเสียชีวิตตอนที่แก่ม๊ะ บุตรคนเล็ก อายุได้เพียงแค่ 4 ปี

ทุกครั้งที่มีโอกาส เมื่อผมกลับไปเยี่ยมท่านที่บ้านลำธาร์ ตำบลโคกสัก อำเภอบางแก้ว จังหวัดพัทลุง  ผมมักจะนั่งสนทนา และหยอกล้อเล่นกับ “แก่ม๊ะ บินหมาด” คุณยายของผมอยู่เสมอ

ท่านเป็นหญิงชราท่าทางใจดี ที่มีลักษณะหน้าตาคล้ายคนจีน ซึ่งไม่น่าแปลกใจ เพราะท่านมีเชื้อสายจีนจากคุณยายของท่าน “แก่ดวง” อดีตหญิงม่าย “มุอัลลัฟ” ลูกครึ่งจีน จากบ้านแพรกหา อำเภอควนขนุน   แก่ม๊ะเสียชีวิตเมื่อปลายปี 2564 ด้วยอายุ 94 ปี

เมื่อผมยังเด็ก ท่านยังมีกำลังวังชา แก่ม๊ะเป็นคนขยันมาก ชอบขุดดินยกร่องปลูกผักสวนครัว และมีงานอดิเรกคือ “การสานตับจาก” โดยไปตัดใบสาคูจากป่าพรุใกล้บ้านมาสานตับจากทำเป็นหลังคา มีทั้งทำซ่อมแซมบ้านของตัวเองบ้าง หรือแบ่งขายแก่ญาติพี่น้องในราคาย่อมเยาบ้าง ตั้งแต่เล็กจนโต ผมไม่เคยเห็นใครมีทักษะนี้อีก

ผมเคยส่องดูสมุดทะเบียนบ้านฉบับเจ้าบ้านของแก่ม๊ะ ทราบว่า ในทะเบียนบ้าน ระบุชื่อพ่อของแก่ม๊ะว่า “นายบ่าว” ไม่ระบุนามสกุล 

#ย้อนกลับไปเมื่อก่อนหน้านั้น

หลังจากแก่สัน โส๊ะสมาคม แต่งงานกับแก่ดวง ม่ายสาวลูกสอง ท่านนำแก่ดวง เข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม พาภรรยาไปตั้งบ้านเรือนเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่บ้านหัวปาบ (ปัจจุบันอยู่ในเขตการปกครอง ตำบลห้วยลึก อำเภอควนเนียง จังหวัดสงขลา) บ้านเกิด ซึ่งเป็นชุมชนมลายูมุสลิมมาแต่โบราณ มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคนคือ “หน๊ะ โส๊ะสมาคม” เมื่อถึงวัยออกเรือน แก่หน๊ะ แต่งงาน 2 ครั้ง

ครั้งแรก ไม่ปรากฏว่าแต่งงานด้วยความรัก หรือโดยการจัดการของผู้ใหญ่ ชีวิตคู่จบลงไม่นาน เพราะ “โต๊ะหีม ราชกิจ” สามี ทิ้งท่านกับบุตรชาย คือ “แก่ฝีน โส๊ะสมาคม” (พี่ชายคนโตของแก่ม๊ะ) ไปมีภรรยาใหม่ที่บ้านตันหยงดาหวัย เมืองชาวประมงเล็กๆ เขตเมืองไทรบุรี  ปัจจุบัน คือรัฐเคดาห์ ประเทศมาเลเซีย  ครั้งที่สองแต่งงานกับนายบ่าว ไม่ทราบนามสกุล ราษฎรบ้านหัวปาบ  ทั้งสองมีบุตรด้วยกัน 3 คน คือ 1.สัน (ตั้งชื่อเหมือนพ่อ) 2.หะเยาะ (เปลี่ยนชื่อเป็น “สมจิตต์”) และ 3.แก่ม๊ะ  

แต่นายบ่าวจากไปก่อนวัยอันควร ทิ้งภรรยาและลูกน้อยทั้งสามให้เผชิญโชคชะตาตามลำพัง   สองตายาย แก่สันและแก่ดวง โส๊ะสมาคม พาหลาน ๆ อพยพไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่บ้านลำธาร์ (ปัจจุบันอยู่ในเขตการปกครอง ตำบลโคกสัก อำเภอบางแก้ว  จังหวัดพัทลุง) ทิ้งความขมขื่นเอาไว้เบื้องหลัง

อาจจะด้วยสาเหตุตรอมใจจากการสูญเสียสามีทั้ง 2 ครั้ง  แก่หน๊ะอายุสั้น  ท่านจากไปหลังจากสามีเสียชีวิตได้ไม่นาน ในขณะที่ลูกทั้ง 4 คนยังเล็ก เป็นภาระของแก่ดวง หญิงมุอัลลัฟ แม่ของแก่หน๊ะ เป็นผู้เลี้ยงดูหลานๆ ทั้ง 4 คนจนเจริญเติบโต ท่านมีอายุยืนถึงเกือบ 100 ปี 

กาลเวลาผ่านไป แก่ม๊ะพบรักกับ “แก่โหด บิลหมาด” สามี (คุณตาของผม)  จนมีแม่มีน้องๆ (น้า 2 คน) จนมีผม ตั้งแต่จำความได้ ผมไม่เคยเห็นเธอกลับไปเหยียบย่างที่บ้านหัวปาบอีกเลย ไม่เคยไปร่วมงานบุญ งานเลี้ยง งานศพ หรืองานแต่งใด ๆ ไม่แม้แต่จะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับบ้านหัวปาบ ให้ลูกหลานฟังทั้งสิ้น

ก่อนที่เธอจะเสียชีวิตไม่นาน ผมเคยถามเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้

เธอจำได้เพียงว่า พ่อชื่อ “บ่าว” หรือมีฉายาว่า “บ่าวอุง” และจากไปเพราะถูกฆาตกรรมเมื่อเธออายุได้เพียง 4 ขวบ

แก่ม๊ะเล่าว่า “คนที่ฆ่าพ่อของแก่ม๊ะ คือ “หวาหนุด” ทะเลาะกันเรื่องที่ดิน  (หมายเหตุ: คำว่า ”หวา“ เป็นสรรพนามใช้เรียก “ลุง” หรือ “ป้า” ในภาษามลายู แต่ผมไม่ทราบความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลทั้งสอง)  หวาหนุด แทงนายบ่าวด้วยมีดกริชยาวคล้ายดาบจนถึงแก่ความตาย

ผมถามเธอต่อ “พ่อของแก่ม๊ะมีนามสกุลว่าอะไร?”

เธอหลับตาลงเหมือนพยายามนึก แต่สุดท้ายก็ส่ายหัวตอบว่า “ไม่รู้”

#ข้อเท็จจริงที่เลือนหาย

ข้อเท็จจริงที่ว่าพ่อของแก่ม๊ะเป็นใคร  ไม่ได้เป็นความลับพิสดาร หรือมหัศจรรย์พันลึกอะไร แต่มันมีอายุความ   ญาติพี่น้องคนรู้จัก นอกจากจะห่างเหินกันไปแล้ว ยังหมดอายุขัยพากันล้มหายตายจากกันไปหมดสิ้น สิ่งนี้จึงกลายเป็นปริศนาเงามืดของลูกหลาน

#การพบปะญาติและการเปิดเผยข้อมูล

1 พฤษภาคม 2566 – จุดเริ่มต้นของการไขปริศนา

วันนั้นผมได้รับข่าวการเสียชีวิตของพี่อารียา (หน๊ะ) สุวรรรส ซึ่งเป็นลูกของหวาเต๊ะ ยีหวังกอง คุณลุง (ลูกผู้พี่ของพ่อผม) ผมจึงเดินทางไปร่วมพิธีศพพี่หน๊ะที่ ต.กำแพงเพชร อ.รัตภูมิ จ.สงขลา

ที่นั่น ผมได้พบกับ หวาสุไหลมาน บาวกูล ซึ่งเป็นญาติทางฝั่งย่าของผู้วายชนม์ ท่านยังเป็นพ่อตาของอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาของผมคนหนึ่งที่ สภ.ตากใบ 

หลังเสร็จพิธีศพ หวาสุไหลมานฯ เชิญผมไปนั่งจิบน้ำชาที่บ้านซึ่งอยู่ใกล้กัน และเล่าให้ฟังว่า ท่านเป็นญาติลูกพี่ลูกน้องของแม่ผม  เมื่อได้ฟังดังนั้นรู้สึกตื่นเต้นเพราะผมสืบสายตระกูลญาติพี่น้องมามากมายแล้วแต่ไม่เคยได้ยินว่ามีญาติฝั่งแม่อยู่ที่นี่

แต่เมื่อถามรายละเอียดเพิ่มเติม หวาสุไหลมานฯ กลับบอกได้แต่เพียงว่ามีพ่อชื่อ  “มูสา บาวกูล” ซึ่งเสียชีวิตไปหลายสิบปีแล้ว  ท่านไม่สามารถระบุ หรือลำดับสายตระกูลอย่างชัดเจนว่าเกี่ยวพันกับแม่ผมอย่างไร

 7 กรกฎาคม 2567 – เบาะแสที่ทำให้ขนลุก

ต่อมา ผมได้รับเชิญไปร่วมงานบุญที่บ้านเกาะหมี ต.คลองแห อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ตามคำเชิญของบังฮับ ญาติลูกพี่ลูกน้อง หลานโต๊ะเดด บิลหมาด พี่ชายคนโตของแก่โหด บิลหมาด คุณตาผู้ล่วงลับของผม

พี่หวันหย๊ะ ภรรยาของบังฮับเข้ามาทักทายและแนะนำตัวว่า เป็นญาติทางฝั่งแม่ของผม คำบอกเล่าของพี่หวันหย๊ะฯ ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้น

แต่เมื่อสอบถามรายละเอียด เธอเล่าให้ฟังว่ามีพ่อชื่อ  “มูสา บาวกูล” แต่ก็ไม่สามารถระบุความสัมพันธ์กับแม่ผมได้อย่างชัดเจน ผมสะดุดใจกับชื่อ “มูสา บาวกูล” เพราะเหมือนกับชื่อ พ่อของ หวาสุไหลมาน บาวกูล ที่ ต.กำแพงเพชร แต่ผมไม่ได้ถามว่าเป็นคนเดียวกันหรือเปล่า (ผมมาทราบในภายหลังว่า หวาสุไหลมาน บาวกูล กับพี่หวันหย๊ะ บินหมาด เป็นพี่น้องกัน มีพ่อคนเดียวกัน คือ “โต๊ะมูสา บาวกูล” แต่คนละแม่)

ต่อมาสักครู่  หวาราลิขอ (ป้าขอ) ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของพี่หวันหย๊ะ เดินเข้ามาแนะนำตัวเอง ว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกับแม่ผม  และได้อธิบายลำดับถึงพ่อแม่ และปู่ย่าตายายของเธอ ว่า  พ่อของเธอเป็นชาวอินโดนีเซียที่ถูกกองทัพญี่ปุ่นบังคับเกณฑ์แรงงานเข้ามาเมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่สอง ชื่อ “นายหวัน“ ใช้นามสกุล “บุญจ่าง” ส่วนแม่ ชื่อ “โต๊ะมิด๊ะ บาวกูล” เป็นน้องสาวของโต๊ะมูสา บาวกูล พ่อของพี่หวันหย๊ะ  ทั้งสองคนเป็นบุตรของ “โต๊ะยูหนุด บาวกูล” และได้เล่ารายละเอียดรายชื่อพี่น้องบุตรโต๊ะยูหนุด บาวกูล ให้ผมทราบทุกคน (ผมได้บันทึกข้อมูลเอาไว้เป็นแผนภูมิต้นไม้เรียบร้อยแล้ว)

ชื่อ “ยูหนุด” ทำให้ ผมสะดุดใจและขนลุกซู่  หวนคิดถึงเหตุการณ์ที่แก่ม๊ะเล่าให้ฟัง

ผมเริ่มสงสัยว่า พ่อของแก่ม๊ะอาจเกี่ยวข้องกับตระกูล “บาวกูล”

เธอยังเล่าต่อว่า เมื่อตอนที่แม่กับพ่อผมแต่งงานกัน ท่านได้มาร่วมงานที่บ้านลำธาร์ ตำบลโคกสัก ด้วย

 19 ตุลาคม 2567 – ความจริงที่เริ่มปรากฏ

ขณะที่เดินทางไปเยี่ยมบังฮับ อีกครั้ง ที่บ้านท่ามะปราง  เนื่องจากวางแผนไว้ว่าจะไปสัมภาษณ์หวาราลิขอ กับพี่หวันหย๊ะฯ อย่างละเอียดอีกครั้ง  ระหว่างทางผมแวะเยี่ยมคุณลุงของผมสองท่าน “หวาหมาน หวาหมีด ยีหวังกอง” ซึ่งเป็นลูกชายของ โต๊ะหมัด ยีหวังกอง พี่ชายปู่ บ้านอยู่ที่บริเวณสามแยกท่าชะมวง  ผมได้พบกับ “หวาเจะหวา” ภรรยาของหวาหมีด ผมเล่าให้หวาเจะหวาฟังว่าจะไปทำอะไร

เธอเล่าให้ฟังว่า พื้นเพเดิมของท่านเป็นคนบ้านหัวปาบ  ท่านเคยได้ยินตำนานเรื่องเล่าโบราณ ระหว่างสองพี่น้องบ้านหัวปาบ  “นายหนุด หรือยูหนุด เป็นพี่ชายของนายบ่าว บาวกูล” ทั้งสองทะเลาะเบาะแว้งกันเรื่องเขตแดนที่ดิน จนนายหนุด หรือยูหนุด ใช้มีดแทงนายบ่าวน้องชายเสียชีวิต ญาติได้นำเอามีดนั้นขึ้นไปซุกซ่อนไว้บนยอดมะพร้าว ต่อมาต้นมะพร้าวต้นนั้นแห้งตายในภายหลัง

ผมคิดในใจว่า เหตุการณ์นี้คงเกิดขึ้นราวปี พ.ศ. 2475 ตอนที่แก่ม๊ะยังเป็นเพียงเด็กน้อยวัย 4 ขวบ ในยุคนั้น การติดต่อสื่อสารแทบไม่มี กระบวนการยุติธรรมก็อยู่ห่างไกลเหลือเกิน สำหรับคนในชนบทอย่างบ้านหัวปาบ ความจริงจึงอาจดับสูญไปพร้อมกับความเงียบของคนในชุมชน และไม่มีใครสามารถเอ่ยถึงความเป็นธรรมได้เลย

นอกจากนี้ เธอยังเล่าว่า มีเรื่องเล่าในหมู่บ้านอีกเรื่องหนึ่ง “โต๊ะยูหนุด หรือนายหนุด คนเดียวกัน ได้มอบหมายให้บุตรชายคนเล็ก อายุเพียง 7 ขวบ ไปเลี้ยงวัวในทุ่ง ปรากฏว่าฝูงวัวไปกินข้าวในทุ่งนาของเพื่อนบ้านที่กำลังแตกยอด เกิดความเสียหาย เจ้าของที่นามาต่อว่าโต๊ะยูหนุดฯ ท่านลงโทษบุตรชายด้วยการเฆี่ยนตีข้ามวันจนเสียชีวิต”

เมื่อได้ยินเรื่องนี้ หัวใจผมเหมือนถูกบีบแน่น ความเจ็บปวดที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนแล่นขึ้นมาจุกอยู่ที่อก น้ำตาไหลเอ่อไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว

 23 พฤศจิกายน 2567 – การยืนยันจากญาติที่บ้านหัวปาบ

ผมเดินทางไปบ้านหัวปาบ และได้พบกับ “พี่ฉ๊ะ” อาฉ๊ะ เบ็ญฤทธิ์ ลูกสาวของ นางหะลิม๊ะ บาวกูล ซึ่งเป็นหลานของโต๊ะหมัด บาวกูล ได้ข้อมูลญาติพี่น้องสายตระกูล “บาวกูล” มาอีกสายหนึ่ง  เธอเล่าให้ฟังถึงเรื่องเล่าโบราณของบ้านหัวปาบ ว่า

 “นายหนุด หรือ ยูหนุด แทงนายบ่าวเสียชีวิต ด้วยมีดกริชยาวคล้ายดาบ  หลังเกิดเหตุญาติได้นำมีดกริชยาวเล่มนั้น ไปซุกซ่อนไว้บนยอดต้นมะพร้าว ต่อมาต้นมะพร้าวต้นนั้นแห้งตายยืนต้น โดยไม่ทราบสาเหตุ”

ข้อมูลนี้ สอดคล้องกับที่หวาเจะหวาเล่า  ทำให้ผมเริ่มมั่นใจว่า พ่อของยายมีนามสกุล “บาวกูล” และถูกโต๊ะยูหนุด หรือหนุด บาวกูล พี่ชายแท้ๆ ของตัวเองฆ่าตาย

จากเรื่องนี้ทำให้ผมฉุกใจคิดได้ขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่ง คือ  ถึงแม้ว่าแก่สัน โส๊ะสมาคม ได้พาครอบครัวอพยพโยกย้ายออกจากบ้านหัวปาบมานานแสนนานมากแล้ว ด้วยกาลเวลาและระยะทาง ทำให้พวกเราไม่รู้จักญาติพี่น้องที่นั่นอีกต่อไป แม้เวลาจะผ่านไป ความทรงจำของคนหัวปาบที่มีต่อครอบครัวเรายังคงถูกเล่าขาน มีคนรู้จักผม เสมือนผมเดินอยู่ท่ามกลางไฟสปอร์ตไลท์ โดยมีสายตาของญาติพี่น้องเฝ้ามองดูอยู่เงียบๆ ตลอดมา

#การสืบค้นที่ประสบความสำเร็จ

จากการสืบค้นและการพบปะญาติ ๆ ทำให้ผมสามารถคลี่คลายปมปริศนาเกี่ยวกับตัวตน นามสกุลของพ่อของแก่ม๊ะได้

แม้จะใช้เวลานานและต้องเผชิญกับความยากลำบาก แต่ ความพยายามนี้ทำให้ผมได้รู้จักรากเหง้าของตนเองมากขึ้น และสามารถส่งต่อเรื่องราวนี้ให้กับลูกชายและคนรุ่นหลังได้

#บทสรุปแห่งการให้อภัย

ปริศนาเกี่ยวกับพ่อของแก่ม๊ะ ที่เคยเป็นเงามืดมาหลายทศวรรษ ในที่สุดก็คลี่คลายลงจนกระจ่าง  สิ่งที่ผมค้นพบ ไม่ใช่แค่ ‘#นามสกุลบาวกูล’ แต่ยังรวมถึงรากเหง้าและเรื่องราวของบรรพบุรุษที่ไม่มีใครเคยพูดถึง

เมื่อทุกอย่างกระจ่างชัด ผมกลับ ไม่รู้สึกโกรธ ไม่รู้สึกอาฆาตแค้น

เพราะทันทีที่ผมได้รับรู้ว่า “โต๊ะยูหนุด บาวกูล” คือคนที่ลงมือปลิดชีวิตน้องชายของตัวเอง หัวใจของผมกลับไม่ได้เต็มไปด้วยความคั่งแค้นเหมือนที่เคยจินตนาการไว้

มีเพียงแต่ ความเงียบ ความเข้าใจ และความสงบในจิตใจ

โต๊ะยูหนุดอาจเป็นคนใจร้อน อาจเต็มไปด้วยโทสะ อาจถูกครอบงำด้วยอารมณ์เพียงชั่วขณะหนึ่ง แต่นั่นคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมานานเกินกว่าที่จะย้อนกลับไปแก้ไข สิ่งที่เกิดขึ้น เปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว ทุกคนที่เกี่ยวข้องต่างลาลับจากโลกนี้ไป ทิ้งไว้เพียงเรื่องราวและเงาของอดีต

และผมเลือกจะไม่ปล่อยให้เงานั้นเป็นเงาแห่งความโกรธแค้น

ผมให้อภัยโต๊ะยูหนุด บาวกูล ตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้รับรู้ความจริง

เพราะท้ายที่สุดแล้ว เขาก็คือพี่ชายของนายบ่าว คือสายเลือดเดียวกันที่เคยเติบโตมาใต้ชายคาเดียวกัน กินข้าวจากหม้อเดียวกัน

ผมไม่ได้ค้นพบแค่นามสกุล “#บาวกูล” ของแก่หยัง (ตาทวด) แต่ผมค้นพบ “หัวใจของตัวเอง”

#ขออัลลอฮ์ทรงเมตตาและให้อภัยต่อทุกดวงวิญญาณที่เคยเดินอยู่บนโลกนี้

Wednesday, March 12, 2025

ชาวมลายูพุทธ: อัตลักษณ์ที่เปลี่ยนไป แต่วัฒนธรรมที่ยังฝังรากในคนใต้







ชาวมลายูพุทธ: อัตลักษณ์ที่เปลี่ยนไป แต่วัฒนธรรมที่ยังฝังรากในคนใต้

แม้วันนี้คนใต้ไทยพุทธจะมองว่าตัวเองเป็นไทยโดยสมบูรณ์ พูดภาษาไทย นับถือพุทธศาสนา และใช้ชีวิตแบบไทยทุกประการ แต่เชื่อหรือไม่ว่า รากเหง้ามลายูยังคงอยู่ในทุกมิติของวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นภาษา ศิลปะ อาหาร และขนบธรรมเนียมที่พวกเขาสืบทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษ

ร่องรอยของมลายูในภาษาไทยปักษ์ใต้

สำเนียงปักษ์ใต้มีจังหวะการพูดที่รวดเร็ว หนักแน่น และแตกต่างจากไทยกลางอย่างชัดเจน คำศัพท์หลายคำที่ใช้กันเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน ล้วนมีรากจากภาษามลายู เช่น

 “เกลอ” (เพื่อน) จาก Keluluh
 “ตะเบะ” (วันทยหัตถ์) จาก Tabei
 “บูดู” (น้ำปลาหมัก) จาก Budu
 “ดะ” (อย่า) จาก Tak
 “อาจาด” (แตงกวาดอง) จาก Acar

ทำไมภาษาไทยปักษ์ใต้ถึงแตกต่างจากไทยกลาง?

เมื่อรัฐสยามขยายอำนาจลงมาสู่ภาคใต้ ลูกหลานชาวมลายูต้องเรียนรู้ภาษาไทยเป็นภาษาที่สอง (L2) เพื่อใช้ในการปกครองและสื่อสารกับทางการไทย ด้วยพื้นฐานเสียงจากภาษามลายู ทำให้ภาษาไทยสำเนียงปักษ์ใต้มีเอกลักษณ์ เช่น
 เสียงสระถูกลดรูปและกระชับขึ้น เช่น “ไปไหน” → “ไปไน”
 จังหวะการพูดที่รวดเร็วและหนักแน่น คล้ายกับภาษามลายู
 เสียง “ร” ยังชัดเจนและกลิ้งลิ้น เช่น “โรงเรียน”, “ร้อน”, “รถไฟ” ซึ่งแตกต่างจากบางสำเนียงไทยกลาง

#สำเนียงจากทั่วโลก: #ประสบการณ์ตรงจากห้องเรียนที่อินเดีย

กระบวนการนี้ คล้ายกับสิ่งที่ผมได้สัมผัสระหว่างการอบรมฝึกอบรมภาษาอังกฤษที่กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย ในปี 2559 ผมได้พบเพื่อนร่วมชั้นเรียนจากหลายประเทศ และทุกคน พูดภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงที่สะท้อนรากภาษาแม่ของตนเอง

 #เอเชียใต้: อินเดีย ศรีลังกา ภูฏาน และเนปาล มีจังหวะการพูดที่ได้รับอิทธิพลจากสันสกฤตและฮินดี

 #เอเชียกลาง: คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน และอุซเบกิสถาน มีสำเนียงที่สะท้อนรากของภาษาตระกูลเตอร์กิก

 #แอฟริกา: ไอวอรีโคสต์ คองโก เอธิโอเปีย แคเมอรูน ซิมบับเว เซียร่าลีโอน มีจังหวะการพูดที่สะท้อนรากของภาษาท้องถิ่น

 #ตะวันออกกลาง: เพื่อนจากโอมาน มีสำเนียงที่สะท้อนเอกลักษณ์ของภาษาอาหรับ

#แคริบเบียน: เพื่อนจากเฮติ มีสำเนียงที่ได้รับอิทธิพลจากภาษาฝรั่งเศสและครีโอล (Haitian Creole) ทำให้บางเสียงออกเสียงแตกต่างจากภาษาอังกฤษมาตรฐาน โดยเฉพาะการออกเสียงตัว “h” และจังหวะการพูดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

 #โอเชียเนีย: เพื่อนจากปาปัวนิวกินี มีสำเนียงที่สะท้อนรากภาษาออสโตรนีเซียนของชนเผ่าพื้นเมือง

#ยุโรปตะวันออกและบอลข่าน: รัสเซีย: ภาษาอังกฤษของเพื่อนจากรัสเซียมีจังหวะการพูดที่หนักแน่น และมักไม่มีเสียง “th” ในภาษาอังกฤษ ทำให้บางคำถูกออกเสียงใกล้เคียงกับ “z” หรือ “d” แทน  ลิทัวเนีย: เพื่อนจากลิทัวเนียพูดภาษาอังกฤษด้วยจังหวะของภาษาบอลติก ซึ่งมีเสียงสระที่หนักแน่นและจังหวะการพูดที่มั่นคง  เบลารุส: สำเนียงภาษาอังกฤษของเพื่อนจากเบลารุสได้รับอิทธิพลจากรัสเซีย มีเสียงพยัญชนะที่เด่นชัดและการออกเสียงที่เน้นหนักในพยางค์ต้นของคำ

#เอเชียตะวันออก: มองโกเลีย: เพื่อนจากมองโกเลียพูดภาษาอังกฤษด้วยจังหวะที่สะท้อนลักษณะของภาษามองโกลิก ซึ่งเป็นภาษาที่มีเสียงพยัญชนะหนักแน่นและมีการลงน้ำหนักในพยางค์ต้นของคำ สำเนียงของพวกเขามักจะมีเสียงที่แน่นและชัดเจนมากกว่าภาษาอังกฤษสำเนียงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

#เอเชียตะวันออกเฉียงใต้:  เพื่อนจากเวียดนาม กัมพูชา (รุ่นผมไม่มีพม่า) มีสำเนียงที่สะท้อนรากภาษาออสโตรเอเชียติก  ลาว: ภาษาอังกฤษของเพื่อนจากลาวได้รับอิทธิพลจากภาษาลาว ซึ่งมีโครงสร้างเสียงคล้ายกับภาษาไทย มีโทนเสียงสูงต่ำที่ชัดเจน และบางครั้งออกเสียง “r” เป็น “l”

แม้แต่ผมเอง ก็พูดภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงไทยโดยไม่รู้ตัว เช่นเดียวกับที่สำเนียงไทยปักษ์ใต้เกิดขึ้นจากการที่ลูกหลานมลายูต้องเรียนรู้ภาษาไทย แล้วพูดออกมาด้วยจังหวะและเสียงของตนเอง

#ย้อนกลับมาดูที่รากเหง้าของตัวเอง

ศิลปะ วัฒนธรรม และขนบธรรมเนียมที่เราสืบทอดมาไม่ใช่สิ่งที่เราได้รับจากมลายู แต่มันเป็นของเราเองมาตั้งแต่ต้น

 หนังตะลุง มีรากเดียวกับ “วายัง กูลิต” ของมลายู แต่เราไม่ได้รับมาในภายหลัง เพราะมันเป็นของเรามาตั้งแต่บรรพบุรุษ
 มโนราห์ เดิมเป็นพิธีกรรมเกี่ยวกับจิตวิญญาณของชาวมลายู และแม้ว่าวันนี้มันถูกมองว่าเป็นศิลปะของไทยพุทธ แต่มัน ฝังอยู่ในรากของเรา

อาหารใต้ก็เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น  ข้าวยำกับบูดู ที่เรากินมาตั้งแต่เด็ก  แกงกะทิและเครื่องเทศ ที่เป็นรสชาติของบ้านเรา

ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เรารับมา ไม่ใช่สิ่งที่เราหยิบยืมมาจากใคร แต่มันเป็นสิ่งที่เรา “เป็น”

แม้ว่าวันนี้คนใต้ไทยพุทธจะมองว่าตัวเองเป็นไทยโดยสมบูรณ์ แต่แท้จริงแล้ว ความเป็นมลายูไม่เคยหายไปจากสายเลือด

เราไม่ได้รับสิ่งเหล่านี้มาจากมลายู แต่ “เรา” คือมลายูมาตั้งแต่ต้น เราคือผู้สืบทอดวัฒนธรรมเหล่านี้มาโดยสายเลือด เราเติบโตมากับมันโดยไม่เคยรู้สึกว่าเป็นของแปลกแยก  นี่คือร่องรอยของความเป็นมลายูที่ยังคงอยู่ในคนใต้ โดยที่หลายคนอาจไม่เคยรู้ตัวมาก่อน

#ลูกหลานปู่ย่าตายายมรดกจากอาณาจักรศรีวิชัย

Friday, March 7, 2025

“รำลึกถึงครูจูหลิง ปงกันมูล”

 “รำลึกถึงครูจูหลิง ปงกันมูล”





วันนี้ผมมีโอกาสเดินทางมายังสถานที่แห่งหนึ่งที่เป็นอนุสรณ์ของเหตุการณ์สำคัญในอดีต “มัสยิดบ้านกูจิงลือปะ และ อาคารเรียนศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านกูจิงลือปะ” พร้อมทั้งได้ร่วมละหมาดวันศุกร์กับพี่น้องชาวบ้านในพื้นที่ที่ครั้งหนึ่งเคยเกิดโศกนาฏกรรมขึ้น

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ ครูจูหลิง ปงกันมูล เป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น และวันนี้ ผมได้เห็นกับตาตัวเองว่าชาวบ้านที่นี่ต่างรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ในอดีต พวกเขาล้วนเป็นคนดี มีน้ำใจ และใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุข

สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นไม่ได้สะท้อนตัวตนของชุมชนทั้งหมด แต่เป็นการกระทำของคนเพียงกลุ่มน้อย… กลุ่มที่มีอาวุธและอิทธิพลในหมู่บ้าน ณ เวลานั้น ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ต้องตกอยู่ในความหวาดกลัว

วันนี้แม้เวลาจะผ่านไป 14 ปี แต่เรื่องราวของครูจูหลิงยังคงอยู่ในใจของพวกเราทุกคน ขอรำลึกถึงเธอ ผู้ที่อุทิศชีวิตเพื่อการศึกษา และขอเป็นกำลังใจให้ครูทุกคนที่ยังคงปฏิบัติหน้าที่ด้วยหัวใจที่ยิ่งใหญ่

“ขอให้เรื่องราวในอดีตเป็นบทเรียน และขอให้สังคมเราเดินไปข้างหน้าด้วยสันติและความเข้าใจ”

#ครูจูหลิงปงกันมูล #รำลึกถึงครูผู้เสียสละ #สามจังหวัดชายแดนใต้ #ความดีไม่มีวันตาย #สันติภาพและความเข้าใจ

จากมลายูพุทธสู่ไทยพุทธ และมลายูมุสลิมที่เปลี่ยนแปลงไป

 

จากมลายูพุทธสู่ไทยพุทธ และมลายูมุสลิมที่เปลี่ยนแปลงไป

คนไทยพุทธในภาคใต้แทบทั้งหมดในปัจจุบันมีบรรพบุรุษเป็นชาวมลายูพุทธมาก่อน ย้อนกลับไปเมื่อกว่าพันปีที่แล้ว ดินแดนภาคใต้เคยเป็นส่วนหนึ่งของโลกมลายู ซึ่งเคยถูกปกครองโดยอาณาจักรสำคัญสองแห่ง ได้แก่ อาณาจักรศรีวิชัย และ อาณาจักรตามพรลิงก์

ศรีวิชัย เป็นอาณาจักรมลายูพุทธที่รุ่งเรืองในช่วง ศตวรรษที่ 7-13 ค.ศ. (พ.ศ. 1143-1843) โดยมีศูนย์กลางอำนาจอยู่ที่บริเวณเกาะสุมาตราและคาบสมุทรมลายู อาณาจักรแห่งนี้มีอิทธิพลครอบคลุมดินแดนที่เป็นภาคใต้ของไทยในปัจจุบัน เช่น นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และสงขลา ภาษามลายูเป็นภาษาหลักของอาณาจักรนี้ ซึ่งถูกใช้ในการติดต่อค้าขาย ศาสนา และการปกครอง

หลังจากที่อาณาจักรศรีวิชัยเสื่อมลง อาณาจักรตามพรลิงก์ ก็เข้ามามีบทบาทแทน โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่นครศรีธรรมราช ตามพรลิงก์ยังคงสืบทอดวัฒนธรรมมลายูพุทธไว้ก่อนที่อิทธิพลของอาณาจักรไทยจากภาคกลางจะแผ่ขยายลงมาในช่วง ศตวรรษที่ 14-15 ค.ศ. (พ.ศ. 1843-2043)

เมื่อรัฐไทยเข้ามาปกครอง กระบวนการกลืนกลายของมลายูพุทธสู่ไทยพุทธเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากศาสนาพุทธเป็นปัจจัยร่วมที่ทำให้ทั้งสองกลุ่มสามารถอยู่ร่วมกันได้โดยไม่มีความขัดแย้ง ในที่สุดชาวมลายูพุทธก็ผนวกรวมเป็นไทยพุทธโดยสมบูรณ์ อัตลักษณ์ดั้งเดิมค่อยๆ เลือนหายไปจนแทบไม่มีใครระลึกได้ว่าบรรพบุรุษของพวกเขาคือมลายู

ในขณะที่มลายูพุทธสูญหายไปจากประวัติศาสตร์ มลายูมุสลิมยังคงสามารถรักษาอัตลักษณ์ของตนไว้ได้เนื่องจากศาสนาอิสลามเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พวกเขาแตกต่างจากไทยพุทธ อย่างไรก็ตาม มลายูมุสลิมในหลายจังหวัดที่อยู่นอกสามจังหวัดชายแดนใต้ เช่น สงขลา นครศรีธรรมราช พัทลุง กระบี่ และสตูล ค่อยๆ สูญเสียภาษามลายูไป คนรุ่นใหม่พูดภาษาไทยเป็นหลักและผสมผสานเข้ากับวัฒนธรรมไทยมากขึ้น

ภาพลักษณ์ของคนใต้ กับร่องรอยทางพันธุกรรมจากอดีต

รูปร่างหน้าตาของคนใต้ในปัจจุบันสะท้อนให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ของการผสมผสานทางชาติพันธุ์มาอย่างยาวนาน คนใต้จำนวนมากมีลักษณะ ผิวสองสี ตาคม จมูกโด่ง ซึ่งเป็นลักษณะที่พบได้ในกลุ่มประชากรมลายูและชาติพันธุ์อื่นๆ ในคาบสมุทรมลายู

แม้ว่าผลการศึกษาดีเอ็นเอจะพบว่าคนไทยในปัจจุบันมีร่องรอยทางพันธุกรรมของกลุ่มชาวไท-กระไดและชาวมอญอยู่บ้าง แต่โครงสร้างทางกายภาพของคนใต้ก็แตกต่างจากคนไทยในภาคเหนือและภาคอีสานอย่างชัดเจน ซึ่งอาจเป็นผลมาจากอิทธิพลของชาวมลายู ชาวอินเดียตอนใต้ และชนกลุ่มอื่นๆ ที่เคยมีบทบาทในภูมิภาคนี้

ชาติพันธุ์ไม่มีความบริสุทธิ์ ไทยและมลายูต่างก็เป็นลูกผสมทางประวัติศาสตร์

หากมองให้ลึกลงไป ประวัติศาสตร์ของทั้งไทยและมลายูต่างก็เต็มไปด้วยการผสมผสานของผู้คนและวัฒนธรรม ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ เคยกล่าวไว้ว่า “คนไทยมาจากคนไม่ไทยหลายชาติพันธุ์” เช่นเดียวกับ อ.สุจิตต์ วงษ์เทศ ที่กล่าวว่า “คนไทยมาจากชาวสยาม ซึ่งเป็นลูกผสมหลายชาติพันธุ์”

ในลักษณะเดียวกัน ไม่มีมลายูแท้ในปัจจุบัน เพราะชาวมลายูก็เป็นลูกผสมของกลุ่มชนต่างๆ ที่เข้ามาตั้งรกรากและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันตลอดหลายพันปี

ดังนั้น ไม่ว่าภูมิหลังของเราจะเป็นไทยหรือมลายู แท้จริงแล้วเราทุกคนล้วนเป็นผลลัพธ์ของประวัติศาสตร์แห่งการผสมผสาน ไม่มีชาติพันธุ์ใดที่บริสุทธิ์สมบูรณ์ เพราะทุกสังคมล้วนเกิดจากการหลอมรวมของผู้คนที่เดินทางและเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา

คนไทยพุทธในภาคใต้ทุกวันนี้อาจไม่มีความรู้สึกว่าตัวเองเกี่ยวข้องกับมลายูอีกแล้ว แต่ในแง่ของเชื้อสาย บรรพบุรุษของพวกเขาก็คือชาวมลายูที่ครั้งหนึ่งเคยนับถือศาสนาพุทธมาก่อน เช่นเดียวกับที่ชาวมลายูในปัจจุบันเองก็สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษที่มาจากหลากหลายแหล่งเช่นกัน


Friday, February 28, 2025

ลูกหลานชาวมลายูโบราณในภาคใต้ของไทย: พวกเขาหายไปไหน?

 


ลูกหลานชาวมลายูโบราณในภาคใต้ของไทย: พวกเขาหายไปไหน?

ภาคใต้ของไทยในอดีตเคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรมลายูโบราณ เช่น ศรีวิชัย ลังกาสุกะ และตามพรลิงค์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรม ศาสนา และการค้าของชาวมลายู ก่อนที่ศาสนาอิสลามจะแพร่เข้ามาในช่วงศตวรรษที่ 13-15 อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ชาวมลายูที่ยังคงพูดภาษามลายูได้ในไทยเหลืออยู่เพียงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้และบางส่วนของสงขลา

คำถามสำคัญคือ แล้วประชากรมลายูในจังหวัดอื่นๆ หายไปไหน? ทำไมหลายคนที่มีเชื้อสายมลายูกลับไม่มีอัตลักษณ์มลายูหลงเหลืออยู่เลย? 

มาครับผมจะเล่าให้ฟัง

1. การผสมกลมกลืนเข้ากับสังคมไทย

ในอดีต ภาคใต้ของไทยเต็มไปด้วยประชากรที่เป็นชาวมลายูพุทธและมุสลิม ซึ่งอาศัยอยู่ร่วมกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป ประชากรมลายูจำนวนมาก ถูกหลอมรวมเข้าสู่สังคมไทยโดยสมบูรณ์

 - ชาวมลายูพุทธ: อาณาจักรมลายูโบราณ เช่น ตามพรลิงค์ (นครศรีธรรมราช) เคยมีศาสนาพุทธมหายานเป็นศาสนาหลัก ก่อนที่พุทธเถรวาทจากสยามจะเข้ามา เมื่อรัฐไทยขยายอำนาจลงใต้ กลุ่มมลายูพุทธ ค่อยๆ ผสมกลมกลืนกับประชากรไทยพุทธที่เข้ามาภายหลัง พวกเขาเริ่มใช้ภาษาไทย เปลี่ยนไปใช้ชื่อไทย และแต่งงานข้ามเชื้อชาติ ทำให้อัตลักษณ์มลายูเลือนหายไป

 - ชาวมลายูมุสลิมนอกสามจังหวัดชายแดนใต้: ชาวมุสลิมในจังหวัดอื่นๆ เช่น นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี พังงา ตรัง และกระบี่ แม้ว่ายังคงถือศาสนาอิสลาม แต่ ส่วนใหญ่ไม่สามารถพูดภาษามลายูได้อีกแล้ว พวกเขาค่อยๆ เปลี่ยนไปใช้ภาษาไทยในชีวิตประจำวัน ทำให้สูญเสียเอกลักษณ์ความเป็นมลายูไป

2. การกวาดต้อนและอพยพโยกย้ายจากสงคราม

ในอดีต การทำสงครามไม่ได้มีเป้าหมายแค่การยึดดินแดน แต่ยังรวมถึง การกวาดต้อนประชากรเพื่อนำไปเพิ่มพลเมืองขยายอาณาจักร

 - ช่วงอยุธยา - รัตนโกสินทร์ตอนต้น ไทยทำสงครามกับหัวเมืองมลายูหลายครั้ง เช่น ปัตตานี เคดะห์ และตรังกานู  ชาวมลายูจำนวนมากถูกกวาดต้อนเข้ามาในสยาม และถูกกระจายไปยัง กรุงเทพฯ ธนบุรี นครศรีธรรมราช และสงขลา  (คุณพ่อของย่าผมเป็นลูกหลานเชลยศึกชาวกลันตัน) เมื่อพวกเขาถูกย้ายเข้ามาในพื้นที่ที่คนไทยพุทธเป็นประชากรหลัก พวกเขาค่อยๆ กลายเป็นคนไทยพุทธโดยสมบูรณ์  บางส่วนอพยพหนีออกจากไทย  หลังสงครามและเหตุการณ์ความไม่สงบ ประชากรมลายูจำนวนมากอพยพไปอยู่ในรัฐมลายู เช่น กลันตันและตรังกานู  ทำให้จำนวนประชากรมลายูในภาคใต้ของไทยลดลง (ในปัจจุบัน เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย) ราชวงศ์สุลต่านรัฐกลันตัน ถือว่าเป็นญาติใกล้ชิดกับเครือญาติอดีตราชวงศ์รัฐปัตตานี) 

3. นโยบายผสมกลมกลืนของรัฐไทย

ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการปฏิรูประบบปกครองแบบรวมศูนย์ ทำให้หัวเมืองมลายูถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของสยาม และอัตลักษณ์มลายูค่อยๆ เลือนหายไป  การบังคับใช้ภาษาไทยเป็นภาษาราชการ:  ระบบโรงเรียนไทยแทนที่โรงเรียนที่ใช้ภาษามลายู ทำให้คนรุ่นใหม่ต้องเรียนภาษาไทย  โรงเรียนสอนศาสนาอิสลามถูกควบคุมโดยรัฐ ทำให้การเรียนภาษามลายูลดลง  การเปลี่ยนชื่อเมืองและชื่อบุคคล:  หลายเมืองที่เคยมีชื่อเป็นภาษามลายูถูกเปลี่ยนเป็นชื่อไทย เช่น “ปะลิส” กลายเป็น “สตูล”  ชาวมลายูเริ่มใช้ชื่อไทยและนามสกุลไทย ทำให้แยกไม่ออกจากคนไทยทั่วไป

4. ร่องรอยของมลายูที่ยังคงเหลืออยู่

แม้ว่าภาษามลายูจะเลือนหายไปจากหลายพื้นที่ แต่บางขนบธรรมเนียมและคำศัพท์จากภาษามลายูยังคงอยู่ในวัฒนธรรมภาคใต้ของไทย โดยเฉพาะใน สงขลา พัทลุง สตูล ตรัง กระบี่ พังงา ภูเก็ต และสุราษฎร์ธานี

สถานที่ที่ยังมีร่องรอยของภาษามลายูในชื่อเมืองหรือหมู่บ้าน:

 “บาราโหม” (สงขลา) – มาจาก baruh ในภาษามลายู แปลว่า “ที่ลุ่ม”

 “เกาะตะลุเตา” (สตูล) – มาจาก telu laut แปลว่า “สามทะเล”

 “กะเปอร์” (ระนอง) – คล้ายกับ kapur แปลว่า “ปูนขาว”

 “ละงู” (สตูล) – มาจาก langkawi หรือ lagu ซึ่งหมายถึง “นกอินทรี”

คำศัพท์จากภาษามลายูที่ยังคงใช้ในภาษาถิ่นใต้:

 “โตฮัน” – หมายถึง พระเจ้า หรือ อัลลอฮฺ

 “บุหลัน” – หมายถึง ดวงจันทร์ (bulan)

 “ละมัย” – หมายถึง อ่อนเยาว์ สาวรุ่น (lemah แปลว่าอ่อนโยน)

 “เกลอ” – หมายถึง เพื่อนสนิท (kawan ในมลายู)

สรุป

ลูกหลานของชาวมลายูโบราณ ไม่ได้หายไปไหน แต่เกิดการเปลี่ยนแปลงผ่าน การผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม การโยกย้ายถิ่นฐานจากสงคราม และนโยบายของรัฐไทย

 - ชาวมลายูพุทธส่วนใหญ่กลายเป็นไทยพุทธโดยสมบูรณ์

 - ชาวมลายูมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงรักษาอัตลักษณ์มลายูได้

 - ชาวมุสลิมนอกพื้นที่ดังกล่าว แม้จะยังเป็นมุสลิม แต่ก็สูญเสียอัตลักษณ์มลายูไป

 - บางขนบธรรมเนียม และคำศัพท์จากมลายูยังคงหลงเหลือในภาคใต้ของไทยจนถึงปัจจุบัน

และสุดท้าย… ถ้าเพื่อน พี่ น้อง ที่กำลังอ่านบทความอยู่นี้ เป็นคนใต้ หน้าคม ผิวสองสี แล้วสงสัยว่าทำไมหน้าตาไม่เหมือนคนไทยไท-กระได แบบคนภาคเหนือสุโขทัย คนภาคกลาง หรืออีสาน เลย… คำตอบก็คือ ท่านอาจเป็นลูกหลานชาวมลายูโบราณอย่างแน่นอน!

ประชากรชาวมลายูในอาณาจักรโบราณยังคงอยู่หรือไม่ หรือหายไปไหนกันหมด

 


ตามข้อมูลในประวัติศาสตร์ พื้นที่จังหวัดภาคใต้ของประเทศไทย เดิมเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรศรีวิชัย ซึ่งเป็นอาณาจักรของคนมลายู เมื่อครั้งที่ยังนับถือศาสนาฮินดู-พุทธมหายาน เช่นเดียวกันกับอาณาจักรลังกาสุกะ ตามพรลิงค์ หรืออาณาจักรมลายูอื่นๆ

ในปัจจุบันประชากรในภาคใต้ของไทยนอกจากในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4อำเภอของจังหวัดสงขลาแล้ว จังหวัดอื่นแทบจะไม่เหลือคนที่พูดภาษามลายูได้อีกต่อไป

สงสัยไหมครับว่า ลูกหลานคนมลายูจากอาณาจักรมลายูโบราณเดิมหายไปไหนกันหมด พวกเขาถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หรือถูกขับไล่จนพ้นออกไปจากแผ่นดิน หรืออพยพถอยร่นออกไป  หรือถูกกวาดก้อน เทครัวมา เอาผู้คนไปไว้ ในภูมิภาคต่างๆ ในกรุงเทพหรือปริมณฑล หรือผสมกลมกลืนเข้ากับคนไทยหรืออย่างไร 

หรือ อย่างผมเป็นคนมลายู โดยเชื้อสาย แต่อัตลักษณ์ภายนอกเป็นคนไทยไปแล้วเพราะได้รับการศึกษาการกล่อมเกลามาตั้งแต่เด็ก

ผมจะทยอยเล่าให้ฟังครับ InshaAllah أَن يَشَاءَ اللَّهُ

Tuesday, February 25, 2025

ชนชาติมลายู “นักเดินเรือผู้ยิ่งใหญ่”

 ชนชาติมลายู “นักเดินเรือผู้ยิ่งใหญ่”



หลายครั้งที่ผมมีได้ไปเยี่ยมเยียนพบปะพี่น้องประชาชนตามหมู่บ้านหรือตามมัสยิดต่างๆ เมื่อมีโอกาสมักจะเล่าให้พี่น้องฟังอยู่เสมอว่า ผมภูมิใจที่เป็นลูกหลานชาวมลายู แม้กาลเวลาและระยะทางจะทำให้ผม และญาติพี่น้องที่ อ.บางแก้ว จ.พัทลุง ในปัจจุบัน ไม่สามารถพูดมลายูได้อีกต่อไปแล้ว แต่เมื่อสืบค้นบรรพบุรุษย้อนหลังกลับไป พบว่า ปู่ย่าตายาย ที่แม้บางสายอาจจะเป็นคนจีน (อำแดงสร้อย ณ สงขลา, แก่ดวง ณ ไพรี) คนสยาม หรือแม้แต่เปอร์เซียบ้าง (ณ พัทลุง) แต่บรรพบุรุษส่วนใหญ่ของผมมาจาก 4 รัฐมาลัยในอดีต  ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศมาเลเซีย คือ “ปะลิศ (แก่หรอ บิลยีหลี) กลันตัน (แก่แอ ดลระหมาน) ตรังกานู (หะยีอุมาร์ บินหะยีวันอะหมัด (โต๊ะชายนาย)) และไทรบุรี (บิลหมาด-เพ็ญอำมาศ)

หลายคนคงจะสงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไร???

เหตุผลที่ชาวมลายูเป็นนักเดินเรือที่ยิ่งใหญ่:

-ชนชาติมลายู มีต้นกำเนิดจากหมู่เกาะและชายฝั่งทะเล

-ชาวมลายูตั้งถิ่นฐานบริเวณคาบสมุทรมลายู อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเดินเรือ

-ชาวมลายูในยุคบรรพกาล ใช้เรือแบบดั้งเดิม (Perahu และ Jong) – สามารถเดินทางข้ามมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิกได้ 

-เป็นผู้ควบคุมเส้นทางการค้าสำคัญ – อาณาจักรศรีวิชัย (ศตวรรษที่ 7-13) ควบคุมช่องแคบมะละกา ทำให้ชาวมลายูเป็นผู้เชื่อมโยงการค้าระหว่างจีน อินเดีย และโลกอาหรับ 

-อีกทั้งได้รับอิทธิพลจากชาวอาหรับและอินเดีย – พัฒนาเทคนิคการเดินเรือและการค้า

ตัวอย่างความสามารถของชาวมลายูในประวัติศาสตร์:

-อาณาจักรศรีวิชัย (ศตวรรษที่ 7-13) – เป็นศูนย์กลางการเดินเรือและพุทธมหายาน

-อาณาจักรมะละกา (ศตวรรษที่ 15-16) – เป็นศูนย์กลางการค้าทางทะเลและการเผยแพร่อิสลาม

-ชาวมลายูในมาดากัสการ์ – เป็นหลักฐานว่าชาวมลายูสามารถเดินเรือข้ามมหาสมุทรไปตั้งถิ่นฐานในแอฟริกาได้

ด้วยเหตุนี้ ชาวมลายูจึงได้รับฉายาว่าเป็น “นักเดินเรือผู้ยิ่งใหญ่” เพราะเป็นผู้ควบคุมเส้นทางการค้าทางทะเลที่สำคัญที่สุดของเอเชีย และสามารถเดินเรือไปยังดินแดนไกลโพ้นได้

RevolverMap