Leh in my memory...

As we are entering the new era, where nations are becoming one community, I, as well as my PTI 27th session’s member friends have the mutual vision that we, and other friends of the Asia-Pacific nations, will become closer than ever.
ยินดีต้อนรับสู่โลกใบเล็กของผม โลกของคนทำงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ชีวิตในวัยเด็กผมเคยใฝ่ฝันอยากจะเป็นสถาปนิก แต่เมื่อยามต้องเลือกทางเดินของชีวิต ผมกลับเลือกที่จะสวมเครื่องแบบสีกากี โดยสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารเหล่าตำรวจ หลังสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ผมเลือกลงบรรจุรับราชการในตำแหน่งพนักงานสอบสวนที่อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี ชีวิตราชการวนเวียนโยกย้ายอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตลอดมา ถึงแม้จะอยู่ห่างไกลจากศูนย์อำนาจรัฐ และการทำงานในหลายโอกาสอาจพบพานกับอุปสรรคภยันตรายต่าง ๆ บ้าง แต่ที่นี่คือ “บ้าน” ผมจึงยังทำงานอยู่ที่นี่ ทุกวันนี้ผมมีความสุขกับงานที่ทำอยู่เสมอ...

Wednesday, December 15, 2010

ตร.คลองลึก รวบเขมรมุสลิม ซุกอุปกรณ์ประกอบบึมลงใต้

ที่มา: Thairath 12 มิ.ย. 50 - 13:54


เมื่อเวลา 11.00 น. วันนี้ (12 มิ.ย.) ขณะเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ศุลกากร ตั้งจุดตรวจค้นบริเวณหน้าด่านพรมแดนอรัญประเทศ จ.สระแก้ว พบชาวเขมรมุสลิม 15 คน ถือกระเป๋าสัมภาระเดินทางผ่านด่านตรวจ จากฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชา เจ้าหน้าที่จึงขอตรวจค้น พบว่าในกระเป๋าเสื้อผ้าของนายแมน มัตอารี อายุ 29 ปี ชาวจ.กระแจะ ประเทศกัมพูชา มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซุกซ่อนอยู่ เช่น แผงวงจรไฟฟ้า 2 ชุด ตัวรีเลย์ไฟฟ้า 1 ชุด พร้อมด้วยกล่องไม้แยกส่วน ขนาดกว้าง 8 ซม. สูง 6 ซม. และยาว 18 ซม. จำนวน 5 แผ่น ด้านข้างกล่องไม้มีการเจาะรูต่อวงจรไฟฟ้าไว้ด้วย เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวมาสอบสวน ซึ่งนายแมน ให้การอ้างว่า เพื่อนชาวเขมรมุสลิมฝากวัตถุดังกล่าวไปให้เพื่อนชาวเขมรมุสลิมด้วยกันที่ชายแดนประเทศมาเลเซีย โดยไม่ทราบว่าเป็นอุปกรณ์อะไร บอกเพียงว่าเอาไปใช้ระเบิดจับปลา

ต่อมา เจ้าหน้าที่ได้ประสานขอเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดจาก กก.ตชด.ที่ 12 มาตรวจสอบอย่างละเอียด ซึ่งเจ้าหน้าที่ระบุว่า อุปกรณ์ดังกล่าวเป็นแผงวงจรไฟฟ้าและแผงวงจรเอสซีอาร์ (SCR) ซึ่งเป็นวงจรรีเลย์สัญญาณสามารถต่อพ่วงกับโทรศัพท์มือถือได้ โดยหากมีการต่อพ่วงครบวงจรจะสามารถทำเป็นระเบิดแสวงเครื่องได้ ส่วนกล่องไม้เมื่อประกอบแล้วสามารถบรรจุระเบิดได้ประมาณ 1 ปอนด์ รัศมีการทำลายประมาณ 100 เมตร

ร.ต.อ.วิชาญ จิตตยานันท์ รอง สว.สส. สภ.ต.คลองลึก กล่าวว่า ในชั้นต้นนี้ ยังไม่สามารถเอาผิดอะไรได้ เนื่องจากเป็นแค่อุปกรณ์เท่านั้น ไม่ได้มีการต่อวงจรทำเป็นวัตถุระเบิดที่สมบูรณ์ เพียงแต่สงสัยในพฤติกรรมที่ไม่น่าไว้วางใจ จึงทำการตรวจยึดอุปกรณ์ดังกล่าวไว้ พร้อมทั้งสอบประวัติและถ่ายภาพเก็บไว้ก่อนปล่อยตัวไป เนื่องจากชาวเขมรมุสลิมทุกคนมีพาสปอร์ต และประทับวีซ่าเข้าประเทศมาอย่างถูกต้อง

ขณะที่สถานการณ์ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังรุนแรงต่อเนื่อง โดยเมื่อเวลา 10.00 น. ตำรวจ สภ.อ.รามัน จ.ยะลา รับแจ้งเหตุคนร้ายใช้อาวุธสงครามกราดยิงนายอับดุลเราะมาน สะมะ อายุ 60 ปี อุสตาซโรงเรียนสอนศาสนาบ้านบาลอ และที่ปรึกษาคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดยะลา เสียชีวิต ขณะขับรถกระบะมาตามถนนสายรามัน-บาลอ หมู่ 1 บ้านลีนา ตำบลกายูบอเกาะ เพื่อไปสอนหนังสือ สภาพศพถูกกระสุนปืนเอ็ม 16 เข้าที่ใบหน้า ศีรษะ และลำตัวจำนวนหลายนัด เจ้าหน้าที่เก็บปลอกกระสุนปืนตกอยู่ในที่เกิดเหตุจำนวน 21 ปลอก ไว้เป็นหลักฐาน เพื่อติดตามจับกุมคนร้ายต่อไป ซึ่งเชื่อว่าเป็นพวกกลุ่มก่อความไม่สงบที่ต้องการสร้างสถานการณ์ในพื้นที่

Tuesday, November 9, 2010

วาดฝัน “ปัตตานีมหานคร” นครแห่งความหวังสู่อนาคต

image
ข้อมูลจาก สำนักข่าวมุสลิมไทยดอทคอม
ดาวน์โหลด: ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบบริหารราชการปัตตานีมหานคร พ.ศ. ...
นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่เป็นไปอย่างยากลำบาก ผู้คนต่างมีชีวิตอยู่ด้วยความหวาดผวา อาณาจักรแห่งความกลัว และความหวาดระแวง แผ่ขยายออกไปทุกหย่อมหญ้า  รัฐบาลทุ่มเทงบประมาณจำนวนมหาศาล ทังกำลังเงิน คน อาวุธยุทโธปกรณ์ ระดมมันสมองนักคิด นักยุทธศาสตร์ นักวิชาการหาวิธียุติเหตุร้ายเพื่อสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในเร็ววัน
แนวคิดในการจัดรูปแบบการปกครองพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเขตปกครองพิเศษ รูปแบบต่าง ๆ เป็นอีกมรรควิธีหนึ่งในการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนที่รัฐบาลควรให้ความสนใจศึกษาถึงความเป็นไปได้อย่างจริงจัง ซึ่งในปัจจุบันมีผู้เสนอแนวคิดไว้หลายรูปแบบ
ในขณะที่ประชาชนยังคงรอความหวังอยู่ต่อไป  เป็นเวลาเดียวกันกับที่ “คณะทำงานเพื่อเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้” ของพรรคเพื่อไทยกำลังวาดฝัน “มหานครปัตตานี” ฟื้นชีวิตชีวาของ “ระเบียงแห่งมักกะห์” คืนสีสันให้นครปัตตานี

มหานครปัตตานี” เกิดจากการระดมความคิดจากเวทีภาคประชาสังคมในพื้นที่ เริ่มต้นด้วยการสร้างศูนย์ราชการที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยในพื้นที่ 3 อำเภอที่เป็นเขตเชื่อมต่อ 3 จังหวัด คือ อ.กะพ้อ จ.ปัตตานี อ.รามัน จ.ยะลา และ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส เนื่องจากพื้นที่นี้อยู่กึ่งกลางระหว่างจังหวัดทั้งสาม ซึ่งเป็นเขตรอยต่อที่สามารถพัฒนาร่วมกันได้ ใช้พื้นที่ขั้นต้นประมาณ 10,000 ไร่ มีการวางผังเมืองอย่างดี เทียบได้ หรือเหนือกว่าเมืองปุตราจาญา (Putra Jaya) ในรัฐเซอลางอ ประเทศมาเลเซีย”  จะมีการสร้างคลองเชื่อมเพื่อทดน้ำมาจากแหล่งน้ำที่ใกล้ที่สุด ทั้งจากแม่น้ำปัตตานี หรือเขื่อนบางลาง ทำทะเลสาบขนาดใหญ่เพื่อกักเก็บน้ำ เป็นสวนสาธารณะและแหล่งบันเทิงที่ฮาลาล image
สร้างศูนย์ราชการที่ทันสมัยครบวงจรบนเนื้อที่ 10,000 ไร่ มีมหาวิทยาลัยใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สร้างมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่จุคนได้ไม่น้อยกว่า 30,000 คน

จำลองวัดช้างไห้และศาลเจ้าแม่กวนอิมเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับฝ่ายพี่น้องที่นับถือศาสนาพุทธและชาวไทยเชื้อสายจีนที่อยู่ในบริเวณนี้   สร้างท่าเรือน้ำลึกเชื่อมสองฝั่งทะเล สร้างนิคมอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลครบวงจร

มหาวิทยาลัยแห่งใหม่ ระดับนานาชาติ เป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ และการศึกษาทั้งทางโลกและทางธรรม เป็นตักศิลาแห่งความเป็นเลิศในศาสตร์ทุกสาขา โดยเฉพาะสาขาวิทยาศาสตร์ฮาลาล มีคณะวิทยาศาสตร์ฮาลาลเพื่อผลิตบุคลากรป้อนให้โรงงานเพื่อจัดระบบต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมฮาลาลปัตตานีและโลก  ฟื้นฟูความเป็นศูนย์กลางทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นทางด้านวิชาการศาสนา ศิลปะวิทยาการ หรือศูนย์กลางทางการค้าให้สอดรับกับความยิ่งใหญ่ในอดีตของปัตตานี ซึ่งเป็นศูนย์รวมแห่งวิชาการ ที่เคยได้รับขนานนามว่า “เป็นระเบียงแห่งมักกะห์

สร้างท่าเรือน้ำลึกขนาดใหญ่ที่ จ.ปัตตานี  และ จ.สตูล ให้เป็นศูนย์กลางแห่งภูมิภาค ดั่งที่ปัตตานีเคยเป็นมาในอดีต เป็น “นูซันตารา” (Nusantara) สุวรรณภูมิ หรือแผ่นดินทอง มีเครือข่ายการคมนาคมเป็นรางเชื่อมต่อทั้ง 3 จังหวัด สู่ จ.สงขลา และ จ.สตูล ซึ่งจะทำให้คนในพื้นที่มีศักยภาพในการค้าขายมากยิ่งขึ้น  ทำแลนด์บริดจ์เชื่อมโยง 2 จังหวัดดังกล่าวให้เป็นเส้นทางคมนาคมเชื่อมโยง 2 ฝั่งทะเล เป็นศูนย์กลางทางทะเลทั้งชายฝั่งทะเลตะวันออกและตะวันตกที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย

ท่าเรือน้ำลึกฝั่งตะวันออกสร้างที่ จ.ปัตตานี เพื่อคืนชีวิตของนครปัตตานีให้กลับมามีชีวิตชีวาดั่งเดิม ส่วนฝั่งตะวันตกสร้างที่ จ.สตูล ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของรัฐปัตตานีในอดีต แต่ จ.สตูล เป็นเมืองหน้าด่านของชายฝั่งทะเลตะวันตกของมหานครปัตตานี จึงต้องสร้างท่าเรือน้ำลึกเพื่อเป็นประตูไปสู่นครมักกะห์ และโลกอาหรับ
imageในอนาคตประชาชนชาวไทยมุสลิมสามารถเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ โดยเรือสำราญขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับผู้โดยสารได้ครั้งละ 3,000 - 4,000 คน เสียค่าใช้จ่ายเพียง 60,000-80,000 บาท ใช้เวลาเดินทางเพียง 3 วัน

ในเรือมีห้องประชุมขนาดใหญ่ มีสถานที่พักผ่อนอำนวยความสะดวกครบถ้วนเช่นเดียวกับในโรงแรมระดับห้าดาว ระหว่างเดินทางจึงสามารถจัดฝึกอบรมหรือสัมมนาเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับการประกอบพิธีฮัจญ์ที่ถูกต้องได้ ทั้งยังสามารถนำสินค้าโอทอป หรืออาหารฮาลาลที่ผลิตในมหานครปัตตานีไปขายได้อีกด้วย

ปัตตานีในอนาคตจะเป็นศูนย์กลางของผลิตภัณฑ์ฮาลาลเพื่อป้อนให้กับโลกอย่างครบวงจร มีฟาร์มไก่ระบบปิดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีโรงเชือดที่ถูกต้องตามหลักศาสนบัญญัติ มีโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับไก่อย่างครบวงจร  ส่วนสินค้าจากการทำประมง ก็จะนำมาแปรรูปเป็นอาหารกระป๋องและอาหารแห้งอย่างครบวงจร มีแบรนด์เป็นของตัวเองเป็นสัญลักษณ์ของมหานครปัตตานีให้ทั่วโลกได้รู้จักและอุดหนุนสินค้า
imageนอกจากนี้จะจัดตั้งศูนย์กลางทางการเงินและการลงทุนตามหลักชะรีอะห์จุดประสงค์เพื่อสร้างการเชื่อมโยงกับแหล่งเงินทุนมหาศาลในตะวันออกกลาง และโลกมลายู ตลอดจนความร่วมมือในการพัฒนาเศรษฐกิจกับรัฐทางตอนเหนือและตะวันออกของมาเลเซีย คือ รัฐเปอร์ลิส เคดาห์ กลันตัน และตรังกานู

University of Nusantara จะเป็น Center of excellence หรือ ตักศิลาแห่งฮาลาลไซนส์ (Halal Science) เป็นสำนักคิดที่มีความร่วมมือกันระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกับองค์กรภาคเอกชน ทำนิคมอุตสาหกรรมฮาลาล Logistic Halal  และ Marketing

การจะเดินไปสู่จุดหมายปลายทางแห่งฝันดังกล่าวได้  จะต้องร่วมกันร่างสัญญาประชาคมกับประชาชนในพื้นที่ 3 อำเภอนี้ ว่าต่อไปจะไม่มีการเกิดเหตุร้ายในพื้นที่อีก เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจของชาวบ้านจะร่วมระวังป้องกันไม่ให้ใครเข้ามาทำลายความสงบสุขอีกต่อไป

ทั้งนี้การตั้งมหานครปัตตานี ต้องออกเป็นกฎหมาย ลักษณะเป็นการปกครองพิเศษ เช่นเดียวกัน กรุงเทพมหานคร ที่ประชาชนเลือกผู้ว่าราชการจังหวัด อาณาเขตอาจครอบคลุมพื้นที่ 3 - 4 จังหวัดภาคใต้ แต่นโยบายนี้จะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล

“มหานครปัตตานี  เป็นเพียงรูปแบบการปกครองส่วนท้องถิ่นที่เหมือน กทม. และ เมืองพัทยา จ. ชลบุรี เท่านั้น และน่าจะเป็นทางออกของการมีส่วนร่วมในการกระจายอำนาจในการดูแลตัวเองที่ดี ที่สุด เหมือนที่ กทม.และพัทยา  ที่ประสบผลสำเร็จมาแล้ว”













Wednesday, September 22, 2010

ครั้งแรกกับการโดดเฮลิคอปเตอร์

Helicopter Skydive หลังจากฝึกสำเร็จหลักสูตร “การโดดร่มแบบกระตุกเอง” จาก บก.สอ.บช.ตชด.หรือ “ตำรวจพลร่ม ค่ายนเรศวร” รับประกาศนียบัตร ไปเมื่อ 9 ส.ค. 2553 แล้ว  ผมคิดว่าคงมีโอกาสริบหรี่ที่จะได้มีโอกาสโดดร่มดิ่งพสุธาท้าทายความกล้าและความสูงอีก 

แต่แล้วโอกาสอันริบหรี่ที่ว่านั้นก็วิ่งกระโจนเข้ามาหาผมอย่างไม่คาดฝัน  เมื่อ “น้าบัง” น้าชายผมซึ่งเป็นทหารรบพิเศษ และเป็นนักกีฬาโดดร่มแบบกระตุกเอง หรือดิ่งพสุธา ของกองทัพบก ทราบข่าวว่า ผมเพิ่งฝึกสำเร็จหลักสูตร จึงโทรมาชวนไปโดดร่มดิ่งพสุธาร่วมกับพี่ ๆ น้อง ๆ ทหาร  ที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ซึ่งมักจะมีฝึกซ้อมโดดร่มฯ กันที่นี่เป็นประจำ และในวันที่ 19 ก.ย. 2553 จะมีการฝึกซ้อมโดดร่มฯ กันอีก เพื่อไปโดดโชว์เชื่อมความสัมพันธ์กับชาวบ้านในพิธีเปิดงานแข่งขันกีฬาตำบลที่ ร.ร.บ้านมะหุด ต.ประโด อ.มายอ จ.ปัตตานี ด้วยอารามดีใจ ผมรีบตอบตกลงน้าบังไปทันทีโดยไม่ชักช้า


Read More: ครั้งแรกกับการโดดเฮลิคอปเตอร์

Sunday, September 12, 2010

พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. เดินทางปฏิบัติราชการในพื้นที่ จชต. ระหว่างวันที่ 12-13 กันยายน 2553

ผบ.ตร.รับมอบตำแหน่ง

หลังการเปลี่ยนแผ่นดินของเหล่าสีกากี เมื่อ 7 ก.ย. 2553 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้จัดพิธีส่งมอบตำแหน่ง ผบ.ตร. โดย พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รรท.ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี รอง ผบ.ตร. เข้าพิธีรับความเคารพจากแถวกองเกียรติยศ ก่อนที่ พล.ต.อ.ปทีปฯ จะส่งมอบตราประจำตำแหน่ง ผบ.ตร.

ภารกิจแรก ๆ ที่ พล.ต.อ.วิเชียรฯ ให้ความสำคัญ คือการเดินทางลงมาตรวจเยี่ยมกำลังพลให้กำลังใจข้าราชการตำรวจในพื้นที่ จชต. อันจะเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาของท่าน ที่ทำงานแทนท่านในพื้นที่อันตรายและห่างไกล


ตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ รู้สึกดีใจและอุ่นใจที่ผู้บังคับบัญชาระดับสูง ไม่ทอดทิ้งเขา พวกเราไม่หวังอะไรมากหรอกครับ นอกเสียจาก ขอให้ท่านปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ ผบ.ตร.ให้ดีที่สุดอย่างเต็มความสามารถ นำพาองค์กรตำรวจฝ่าพายุ และคลื่นลมแรงที่โหมกระหน่ำไปโดยตลอดรอดฝั่ง โดยที่ไม่ตกเป็นเบี้ยล่าง หรือเครื่องมือของนักการเมืองน้ำเน่าทั้งหลาย   พวกเราพร้อมจะก้าวเดินไปกับท่านครับ…

Thursday, August 19, 2010

จับตา...ภารกิจลับ นักรบมาเลเซียโผล่กรุงเทพฯ

a3404507052234833qr3

ที่มา: คมชัดลึก 21 พฤษภาคม 2550 23:39 น.

แกะรอยจับ 2 พันตรีกับ 14 นักรบมาเลเซียสังกัดทหารราบที่ 11 โผล่กลางกรุงเทพฯ เมื่อตำรวจไทยได้กลิ่นตามสะกดรอยจนพบพฤติกรรมต้องสงสัย นี่คือท่องเที่ยวหรือปฏิบัติการลับ
น่าสนใจอย่างยิ่งเกี่ยวกับการปรากฏตัวของทหารหน่วยรบพิเศษ สังกัดทหารราบที่ 11 ประเทศมาเลเซีย 16 นาย ในโรงแรมใจกลาง กทม. โดยมี "นูรดิน มะเย็ง" ชาวไทยมุสลิมอยู่เคียงข้าง ก่อนที่ทั้งหมดจะถูกเฝ้าจับตามองอย่างใกล้ชิด และนำมาสู่การจับกุมในเวลาต่อมา
บ่าย 3 โมง 40 นาที วันที่ 9 พฤษภาคม ที่ผ่านมา มีชาวมาเลเซีย 3 คน ได้แก่ นายซัมซุล ไรซาล บิน มูซา นายเช นอร์ บิน เช นอร์ และนายกามาไลซาร์ บิน โมห์ ราซาลี เข้าพักที่ห้อง 362 รร.นครพิงค์ เลขที่ 9/1 ซอยสามเสน 6 เขตพระนคร กทม.

สายข่าวตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) แจ้งเบาะแสให้ พ.ต.ต.ชัยพร บุญเจริญ สว.กก.ปส.1 ก่อนจะประสานต่อไปยังตำรวจสันติบาลเฝ้าติดตามสังเกตพฤติกรรม
ร.ต.อ.ณัฎฐ์พัชร์ โฆษิตเลิศ รอง สว.กก.3 บก.ส.2 กับ ด.ต.ทินกร พงษ์ศักดิ์ศิลป์ ผบ.หมู่ กก.3 บก.ส.2 เข้าตรวจสอบที่ รร.นครพิงค์ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

บ่ายโมงครึ่งวันรุ่งขึ้นนับตั้งแต่ชาวมาเลเซียกลุ่มแรกเข้าพัก มีชาวมาเลเซียอีกกลุ่มหนึ่ง 13 คน เมื่อรวมกับนูรดินซึ่งเป็นชาวไทยมุสลิมจึงเป็น 14 คน ทุกคนไว้ผมยาว ตามมาสมทบ ทั้งหมดเข้าพักที่ชั้น 4 แยกกันห้องละ 2 คน รวม 8 ห้อง ได้แก่ 406, 408, 410, 412, 416, 420, 424 และ 426 ส่วนชาวมาเลย์ 3 คนแรก ขอเปลี่ยนจากห้อง 362 มาเป็น 426 แทน
ตอนนี้ชาวมาเลย์ทั้ง 16 คน กับนูรดีน จึงพักอาศัยอยู่ชั้น 4 รร.นครพิงค์ ทั้งหมด !!!

สิ่งที่น่าสนใจอีกประการก็คือ เย็นวันที่ 10 พฤษภาคม ทั้งหมดออกไปตัดผมสั้นจนเกรียนเหมือนกับทหาร ยกเว้นนูรดินที่ไถด้านข้างจนเกรียนปล่อยตรงกลางแล้วรวบเป็นจุกไว้ด้านหลัง
นอกจากทรงผมแล้วตลอดเวลาที่พักอยู่ใน รร.นครพิงค์ ทั้งหมดก็มีพฤติกรรมไม่ต่างจากทหารเลย คือ จัดเวรยามคอยสอดส่องบุคคลที่เข้าออกโรงแรม ขณะเดียวกัน ก็ตีสนิทกับพนักงาน โดยใช้ภาษาไทยที่กระท่อนกระแท่นในการสื่อสาร ตลอดจนเฝ้าจับจ้องมองแต่กล้องวงจรปิดของโรงแรม ?

เช้าวันที่ 11 พฤษภาคม ทั้ง 17 คน ออกจาก รร.นครพิงค์ โดยไม่ทราบว่าเดินทางไปไหนกันแน่ กว่าจะกลับก็ปาเข้าไป 5 โมงเย็น หลังจากนั้นก็เก็บตัวเงียบอยู่แต่ภายในห้อง แต่ก็ยังไม่วายจัดเวรยามคอยสังเกตความเคลื่อนไหวบริเวณห้องพัก...เช่นเดิม

8 โมงครึ่งของวันต่อมา ทั้งหมดออกจากโรงแรมอีกครั้ง ร.ต.อ.ณัฎฐ์พัชร์ จึงประสานพนักงานโรงแรมตรวจสอบในห้องพัก พบว่าทุกคนมีเสื้อผ้ามากันแค่คนละ 2 ชุด บุหรี่ และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังพบโล่สัญลักษณ์คล้ายเครื่องหมายเสือคาบดาบเป็นภาษามาเลเซีย ตั๋วเรือด่วนเจ้าพระยาไปลงท่าน้ำนนทบุรี เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2550 และตั๋วรถไฟจากสถานีรถไฟหัวลำโพงไป จ.กาญจนบุรี

คนกลุ่มนี้กลับเข้าห้องพักอีกครั้งตอน 11 โมงครึ่ง ก่อนจะเก็บตัวเงียบและออกไปอีกครั้งตอน 2 ทุ่มครึ่ง โดยเดินเท้าตรงไปที่ถนนข้าวสาร โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มย่อย แล้วก็หายไปตลอดทั้งคืน กลับเข้าโรงแรมอีกทีตอนตี 4 ของอีกวัน

หลังจากกลับเข้าที่พักได้เพียงชั่วโมงเศษ ชาวมาเลเซียกับนูรดิน รวม 16 คน ออกจาก รร.นครพิงค์ โดยใช้รถแท็กซี่ 4 คัน เป็นยานพาหนะตรงไปสถานีรถไฟหัวลำโพง ร.ต.อ.ณัฎฐ์พัชร์ จึงรายงานผู้บังคับบัญชา กระทั่งมีการประสานงานระหว่างตำรวจสันติบาล ตำรวจนครบาล และตำรวจรถไฟ เข้าควบคุมตัวกลุ่มผู้ต้องสงสัยชาวมาเลเซีย ขณะรวมกลุ่มอยู่ที่สถานีรถไฟหัวลำโพง

ส่วนที่เหลืออีกคน ด.ต.ทินกร ควบคุมตัวได้ ขณะอยู่ในห้องพักเลขที่ 426 รร.นครพิงค์ ทราบชื่อภายหลังคือ นายซัมซุล ไรซาล บิน มูซา

14 พฤษภาคม พล.ต.ท.อดิศร นนทรีย์ ผบช.น. พล.ต.ท.ระพีพัฒน์ ปาละวงศ์ ผบช.ส. พล.ต.ท.สุวัฒน์ จันทร์อิทธิกุล ผบช.ปส. และทหารจากกองทัพภาคที่ 1 ร่วมกันสอบปากคำผู้ต้องสงสัย โดยทราบชื่อทั้งหมด คือ นายซัมซุล ไรซาล บิน มูซา นายอับดุล ราฮิมบิน อับดุล ราห์มัน นายเชนอร์ บิน เช โนห์ นายทาจัล อานัว บิน กาเซ็ม นายกามาไลซาร์ บิน โมห์ ราซาไล นายการูดดิน บิน ไชริ นายดอนนี บิน มารักกัล นายรอมลิ บิน ฮัสซัน นายริคกี บิน มูลิง นายราฮิม บิน ยาห์ยา นายซูกรี บิน อาวัง นายซาดิง บิน ฮาซัง นายโมห์รูซี บิน อาวัง นายโมห์ริดวน บิน ซัลเลาะห์ นายโมห์ ซาเลฮูดิน บิน โอห์มาน นายโมห์ นาซิรัม บิน โมห์ ตาลิบ และนายนูรดิน มะเย็ง

ทั้งหมดอ้างว่าเข้ามาหางานทำใน กทม.ซึ่งขัดกับพฤติกรรมที่ตำรวจสันติบาลติดตามความเคลื่อนไหวมาตลอดระยะเวลาที่พักอาศัยอยู่ใน รร.นครพิงค์ ทั้งหมดมีเงินมากพอที่จะเช่าห้องพักแทบยกฟลอร์ แถมยังเดินทางไปไหนต่อไหนอีกหลายแห่ง

ระหว่างการสอบสวนมีการประสานไปยังสถานทูตมาเลเซียประจำประเทศไทย ซึ่งได้ส่ง พ.อ.ซาเฮร์ บิลอับดุลรเฮิด ผู้ช่วยทูตทหารมาเลเซีย เข้าร่วมรับฟังการสอบสวนด้วย

น่าสนใจว่าเมื่ออยู่กับผู้ช่วยทูตทหาร ชาวมาเลเซียทั้ง 16 คน กลับให้การว่า "เป็นทหาร" และเข้ามาพักผ่อนในประเทศไทย โดยระดับหัวหน้าหน่วย มียศ พ.ต.ถึง 2 คน ได้แก่ พ.ต.ซัมซุล ไรซาล บิน มูซา อายุ 33 ปี ถือหนังสือเดินทางเลขที่ A 15651181 และ พ.ต.อับดุล ราฮิม บิน อับดุล รามัน อายุ 35 ปี ถือหนังสือเดินทางเลขที่ A 17699787

เป็นที่น่าสังเกตว่าเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม ที่ทหารกลุ่มนี้ปรากฏตัวใน กทม.นั้น เป็นวันเดียวกับที่กลุ่มก่อการร้ายได้วางระเบิดและจ่อยิงหัวทหารรบพิเศษเสียชีวิต 7 นาย ใน จ.นราธิวาส
ภายหลังการจับกุมไม่มีการดำเนินคดีใดๆ และเจ้าหน้าที่ทูตมาเลเซียขอนำตัวทั้ง 16 คน กลับประเทศ !?!

อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่มีหลักฐานว่าทั้งหมดมีส่วนร่วมกับเหตุการณ์ความวุ่นวายในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่หน่วยงานด้านการข่าวเชื่อมั่นว่า การปรากฏตัวของทหารมาเลย์ทั้ง 16 คน ต้องมีเป้าหมายทำงานบางอย่างแน่นอน

ขณะที่ตำรวจระดับสูงในสันติบาล บอกกับ "คม ชัด ลึก" ว่า หลังจากควบคุมตัวทหารกลุ่มนี้แล้ว ได้เชิญเจ้าหน้าที่จากสถานทูตมาเลเซียประจำประเทศไทย มาร่วมสอบปากคำพบว่า ทั้งหมดเดินทางเข้ามาประเทศไทยทางชายแดนภาคใต้ โดยมีนายนูรดินเป็นไกด์นำทาง ซึ่งชัดแย้งกับข้อมูลของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ที่มีหลักฐานว่าทหารมาเลย์กลุ่มนี้ เดินทางจากมาเลเซียเข้ามาโดยสายการบินนกแอร์มาลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ

แม้ในชั้นนี้จะยังพิสูจน์ไม่ได้ว่า ทหารมาเลย์กลุ่มนี้เข้ามาประเทศไทยโดยมีวัตถุประสงค์ใด ทว่าท่าทีพิรุธนับตั้งแต่คำให้การที่ดูปกปิดซ่อนเร้น ลึกลับ ก็ยิ่งชวนให้สงสัยมากขึ้นเท่านั้น ?

398235cmykfq5

398236cmykrw1

398234cmykah2

398238cmykmo1

Saturday, July 31, 2010

ก้าวแรกของนักดิ่งพสุธามือสมัครเล่น

ผมดั้นด้นเดินทางมาฝึกหลักสูตร skydiving ที่ตำรวจพลร่ม ค่ายนเรศวร อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ได้เดือนเศษแล้ว  เหลืออีกเพียงสัปดาห์เดียวก็จะฝึกสำเร็จตามหลักสูตร ได้รับประกาศนียบัตร และมีสิทธิที่จะประดับปีกเครื่องหมายนักโดดร่มชั้นพิเศษ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่เรียกกันติดปากว่า “ปีกร่มดาวดำ” ที่เครื่องแบบบริเวณหน้าอกด้านซ้ายเหนือแพรแถบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ 

skydivingโดด skydiving ครั้งที่ 11 เมื่อ วันพุธ ที่ 28 ก.ค. 2553 ที่ความสูง 4,000 ฟิต

การฝึกอันเข้มข้นที่ผ่านมาเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อ 28 มิ.ย. 2553  เรื่อยมาจนถึงวันศุกร์ที่ 30 ก.ค. 2553  ผมและเพื่อน ๆ รุ่นเดียวกันรวม 30 ชีวิต ได้ผ่านการฝึกทั้งภาคทฤษฎี  ภาคพื้นดิน และโดด skydiving มาแล้วจำนวน  13 - 14 ครั้ง  การฝึกทวีความเข้มข้น ยากและอันตรายมากยิ่งขึ้นตามลำดับ

ถึงจะกลัวอันตราย และความสูงมากแค่ไหน  แต่ผมก็หันหลังกลับไปไม่ได้อีกแล้ว  มีทางเดียวคือต้องมุ่งหน้าเดินต่อไป และเข้ารับการฝึกจนสำเร็จหลักสูตร…

Wednesday, June 23, 2010

ผมจะบิน…

free-fall-heaven

ระหว่างวันที่ 28 มิถุนายน ถึง 23 กรกฎาคม 2553 ที่จะถึงนี้ ผมจะได้มีโอกาสครั้งหนึ่งในชีวิตไปฝึกโดดร่มแบบกระตุกเอง (free fall, skydiving) รุ่นที่ 1/2553 ของตำรวจพลร่ม ค่ายนเรศวร (กองบังคับการสนับสนุนทางอากาศ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน) อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี

ระยะเวลาการฝึกประมาณ 4 อาทิตย์  อาทิตย์แรกฝึกภาคพื้นดิน  อาทิตย์ถัดไปจนจบหลักสูตรโดดจริงจากเครื่องบิน ประมาณ 35 ครั้ง

หลังจากฝึกสำเร็จหลักสูตร เดือนหน้า คงมีเรื่องราวสนุกปนเสียวมาเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังกันอีก……

Tuesday, June 1, 2010

IOs: ไอโอ การปฏิบัติการทางทหารกลับดำเป็นขาว กลับขาวเป็นดำ

image
“ความได้เปรียบทางการเมืองของทหารต่อพลเรือนมีอยู่มาก ทหารมีองค์กรที่เหนือกว่า และทหารมีอาวุธ”

ท่ามกลางกระแสอันเชี่ยวกรากของการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยในประเทศไทยจากอำนาจในมือ “อำมาตย์” ตลอดช่วงหลายปีมานี้  ได้สร้างความแตกแยกขึ้นในหมู่ประชาชนชาวไทยอย่างกว้างขวาง ที่สำคัญ กล่าวได้ว่าเป็นผลสืบเนื่องมาจากเกิดการแข่งขันด้านข้อมูลข่าวสารของขั้วการเมืองของทั้งสองฝ่าย ทั้งจากฝ่าย นปช. อันมี “สามเกลอ” เป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน โดยมีอดีตนายกรัฐมนตรี “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” เป็น “Master Mind”  และจากฝ่าย “อำมาตยาธิปไตย” ซึ่งมี “พรรคประชาธิปัตย์” เป็นหมากในกระดาน  มี “กองทัพ” เป็นแบคอัพ และมีเงามืดดำทะมึนของ “ผู้มากไปด้วยบารมี” เป็น “Master Mind

ในเกมส์แห่งอำนาจนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างสาดโคลนเข้าใส่กัน ทั้งด้วยข้อมูลทั้งที่เป็นจริงและเท็จ อย่างชนิดที่เรียกว่า “ไม่อาจคืนดีกันได้อีกแล้วในชาตินี้

หากมองแต่เพียงผิวเผิน ประชาชนผู้เสพสื่ออาจรับทราบแต่เพียงข้อมูลที่ทั้งสองฝ่ายต่างงัดออกมาซัดใส่กัน และเชื่อว่าเป็นการต่อสู้ที่ดำเนินไปอย่างเป็นปกติธรรมชาติ ส่วนใหญ่แทบจะไม่ได้ฉุกคิดเลยว่า ท่ามกลางการต่อสู้ด้านข้อมูลข่าวสารอย่างเผ็ดร้อนของนักการเมืองทั้งสองฝ่ายนั้น กลับมีการปฏิบัติการทางทหารแฝงเร้นอยู่อย่างเข้มข้น

ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า  สภาวะบ้านเมืองในปัจจุบัน  “กองทัพ” ได้กลับเข้ามามีบทบาทต่อการเมืองไทยเป็นอย่างสูง ทั้งในเบื้องหน้า และเบื้องหลัง  “ทหาร” กลายเป็นเครื่องมือสำคัญของผู้ครองอำนาจรัฐในการจัดการกับฝ่ายตรงข้าม

การปฏิบัติการทางทหาร (Military Operation) ที่ผมกำลังกล่าวถึง นั้น ก็คือ “การปฏิบัติการข่าวสาร” หรือ “Information Operation: IOs (ไอโอ)”  นั่นเอง

การปฏิบัติการข่าวสาร (Information Operation: IOs) ในทางการทหารนั้น  คือ การสนธิการปฏิบัติต่าง ๆ เพื่อทำให้มีอิทธิพล ทำลาย ลดประสิทธิภาพ หรือชิงการตกลงใจของฝ่ายตรงข้าม (ซึ่งหมายความรวมถึงฝ่ายข้าศึกศัตรู ฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง หรือแม้แต่กระทั่งประชาชนชาติเดียวกันที่มีแนวคิดทางการเมืองแตกต่างกันจากผู้ปกครอง ฯลฯ) ทั้งที่กระทำโดยมนุษย์ และระบบอัตโนมัติ รวมทั้งดำเนินการป้องกันการกระทำของฝ่ายตรงข้ามต่อฝ่ายผู้ปฏิบัติในลักษณะเดียวกัน

หลักการ IOs ดังกล่าวนั้น มีการอธิบายถึงการปฏิบัติการด้านมวลชน (Public affairs) ที่เป็นการปฏิบัติการในการส่งข่าวสารสู่สื่อสารมวลชน การปฏิบัติการจิตวิทยา (Psychological operations) ที่เป็นการปฏิบัติการที่ฝ่ายผู้ปฏิบัติพยายามสร้างอิทธิพลผลในแง่ความคิดความเชื่อและการตกลงใจต่อฝ่ายตรงข้าม (หรือแม้แต่ประชาชน)  ให้เป็นไปตามที่ผู้ปฏิบัติต้องการ  การปฏิบัติการโจมตีเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer network attack) เพื่อทำลายระบบเครือข่ายของฝ่ายตรงข้าม และการรักษาความปลอดภัยในการปฏิบัติการ เพื่อสร้างความได้เปรียบด้านการสารสนเทศ หรือการครองความเหนือกว่าในด้านข่าวสารข้อมูล (Information Superiority)

พูดให้ง่ายเข้า  การปฏิบัติการข่าวสาร (Information Operation: IOs) เป็นการปฏิบัติการทางทหารโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อจัดการข้อมูลข่าวสารทั้งของฝ่ายตนเองและฝ่ายตรงข้ามให้เป็นเครื่องมือสร้างความได้เปรียบในการทำศึกสงคราม เพื่อต่อสู้เพื่อเอาชนะฝ่ายข้าศึกศัตรู นั่นเอง

สิ่งที่ปรากฎท่ามกลางสงครามสื่อก็คือ การปล่อยข่าวลับ แพร่ข่าวลวง การบิดเบือนข่าวสาร รวมทั้งการปิดกั้นการเผยแพร่ข่าวสารของฝ่ายตรงข้าม ไม่ให้โอกาสฝ่ายตรงข้ามได้เผยแพร่ข่าวสารของฝ่ายตน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ฝ่ายตนได้ประโยชน์จากปฏิบัติการข่าวสารนั้นมากที่สุด ทำให้สามารถควบคุมประชาชนผู้รับสารได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

อันที่จริง “การปฏิบัติการข่าวสาร (IOs)” แต่เพียงประการเดียวยังไม่สามารถที่จะเอาชนะฝ่ายตรงข้าม หรือข้าศึกได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด   การปฏฺิบัติการข่าวสาร (IOs) จะต้องสนธิการปฏิบัติอย่างประสานสอดคล้อง (Synchronization) และผสมกลมกลืน เข้ากับการปฏิบัติการทางทหารอื่น ๆ เช่น การทำลายทางกายภาพ การโจมตี การเข้ายึดครองพื้นที่ (อำนาจการยิง การขอคืนพื้นที่ การกระชับวงล้อม ฯลฯ) การต่อต้านการโฆษณาชวนเชื่อ การรักษาความปลอดภัย การต่อต้านข่าวกรอง การต่อต้านการลวง การประชาสัมพันธ์ รวมถึงการการปฏิบัติการกิจการพลเรือน ฯลฯ เหล่านี้ หากปฏิบัติร่วมกับงานด้านยุทธการก็จะเป็นการเพิ่มโอกาสแห่งความสําเร็จของภารกิจอย่างยิ่งยวด

หากสังเกตดี ๆ ตัวอย่างของการปฏิบัติการข่าวสาร (IOs) ที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนล่าสุดในยุคปัจจุบัน ก็จะพบว่า ก่อนการล้อมปราบมวลชนคนเสื้อแดง กองทัพได้มีการปฏิบัติการข่าวสาร โดยการโหมโฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda) ผ่านทางสื่อโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ วิทยุ รวมทั้งสื่อยุคใหม่อย่างอินเตอร์เน็ต สร้างมวลชนคนเสื้อแดงให้กลายเป็นปิศาจร้ายที่น่าสะพรึงกลัวในสายตาประชาชนชาวไทย รวมทั้งในหมู่ทหารด้วยกันเองเสียก่อน จากนั้น เมื่อสถานการณ์สุกงอมได้ที่แล้ว มวลชนคนเสื้อแดงกลายเป็นปิศาจร้ายน่าเกลียดน่ากลัวที่ต้อง “กำจัด” จึงมี “การปฏิบัติการขอคืนพื้นที่” หรือ “การกระชับวงล้อม” หรือถ้อยคำสวยหรูอื่น ๆ ตามแต่จะประดิษฐ์ประดอยกันออกมา โดยมันสมองฝ่ายเสนาธิการของกองทัพที่ฉลาดปราดเปรื่อง ทำให้การฆ่าหมู่ (Massacre) “คนไทย” ด้วยกัน เป็นเรื่องที่ยอมรับได้มากที่สุด

หลายคนจึงเริ่มฉุกใจคิดกันบ้างแล้วว่า เหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองหลายต่อหลาย เหตุการณ์ที่ผ่านมา เหตุใดคนกลุ่มใหญ่ถึงได้มีความเชื่ออย่างฝังหัวว่า คนเสื้อแดงเป็นผู้ก่อการร้าย ประดุจปิศาจที่ต้องกำจัด นอกจากนี้ หลายคนเชื่อว่า การปฏิบัติการ “ขอคืนพื้นที่” หรือ “กระชับวงล้อม” ของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นั้น เป็นการปฏิบัติการที่มีอารยะ   การสูญเสีย “คนเสื้อแดง” ปิศาจร้ายน่าเกลียดน่ากลัวในจำนวนเรือนร้อยนั้น เป็นเรื่องที่ “ยอมรับได้”  แต่นั่นเป็นเรื่องจริงที่ยอมรับได้ล่ะหรือ ?  และเรารู้ได้อย่างไรทั้งที่เรามิได้สัมผัสหรือมีประสบการณ์ตรงกับสิ่งที่เราเชื่อนั้นเลย ?

เพราะในอีกด้านหนึ่งที่ปิดมืดของเสรีภาพนี้ คือ กระบวนการสร้างข้อมูลอันเป็นเท็จ บิดเบือนข้อมูลจริง ผสมผสานไปด้วยองค์ประกอบ ยุทธวิธี และเล่ห์เหลี่ยมแต้มคูมากมายทำให้ผู้เสพสื่อหลงเชื่อในเรื่องที่มิใช่ความจริง

ในโลกยุคโลกาภิวัตน์ ที่การสื่อสารคมนาคมสามารถส่งผ่านข้อมูลปริมาณมหาศาลทำได้อย่างรวดเร็วในพริบตา ข้อมูลความรู้ต่าง ๆ เปิดกว้างกระจายตัวออกให้ใครก็ได้ มีโอกาสเข้าถึงและรับรู้นั้น กลับไม่ได้นำไปสู่ยุคทองของการเข้าใจปรากฏการณ์ทุกอย่างในโลกอย่างถูกต้องตามที่ทุกคนปรารถนา

นอกเหนือไปจากการที่ “การปฏิบัติการข่าวสาร(IOs)”   เป็นเครื่องมือในการพยายามนำความจริงไปสู่ผู้คนยุคใหม่ ด้วยวิธีการที่น่าประทับใจ แปลกใหม่ และเร้าใจแล้ว นี่กลับเป็น ด้านมืดที่น่าสะพรึงกลัวอีกด้านหนึ่งของการปฏฺบัติการทางทหารที่เรียกกันว่า “การปฏิบัติการข่าวสารหรือไอโอ (IOs)”

ถ้าหากตอบว่า เรารู้ได้ ผ่านกระบวนการความคิดที่เป็นเหตุเป็นผลของตัวเอง วินิจฉัยข้อมูลข่าวสารที่ปรากฏออกมาจากสื่อที่น่าเชื่อถือแล้วละก็ โปรดเผื่อใจไว้สักหน่อยเถิดว่า เราอาจหลงเชื่อในการปฏิบัติการข่าวสาร (Information Operations: IOs) อันเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติการทางทหารที่ได้ออกแบบการปฏิบัติการไว้เพื่อเป็นเครื่องมือนำไปสู่การเอาชนะข้าศึกศัตรูในยามทำศึกสงครามนั่นเอง


Wednesday, May 12, 2010

“การก่อการร้าย” ต่างจาก “การก่อความไม่สงบ” อย่างไร...?

image

หลาย ๆ คน ติดตามอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ก็ยังงง ๆ อยู่ว่า  คำทั้งสองคำมีความเหมือนและแตกต่างกันอย่างไร…?

สุรชาติ บำรุงสุข ได้อธิบายว่า การก่อเหตุรุนแรงของกลุ่มก่อความไม่สงบมักใช้วิธีการความรุนแรงที่แตกต่างกันออกไป มีการจัดตั้งองค์กร ประกอบด้วยกองกำลังติดอาวุธ อาวุธ ยุทธวิธีและมีเป้าหมายที่ชัดเจน โดยแบ่ง (การก่อเหตุรุนแรง) ออกได้เป็น 3 รูปแบบ ดังนี้

1. การก่อการร้าย (Terrorism) เป็นรูปแบบของการสร้างความรุนแรงโดยตรงต่อผู้ที่มิใช่ทหาร หรือหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า/การเข้าปะทะโดยตรงกับกองกำลังตำรวจและทหาร แต่มุ่งใช้ความรุนแรงไปที่เป้าหมายสาธารณะและเป้าหมายทางเศรษฐกิจ หน่วยปฏิบัติการมีขนาดเล็กกว่าสงครามก่อความไม่สงบ การปฏิบัติการมักใช้วิธีการลอบสังหาร วางระเบิด ขว้างระเบิด ลอบวางเพลิง ใช้การทรมาน จี้เครื่องบิน และลักพาตัว บางครั้งใช้รูปแบบปฏิบัติการเพียงเพื่อสร้างผลสะเทือนทางการเมือง ปฏิบัติการเหล่านี้มักดำเนินการโดยกลุ่มที่ต้องการปกครองตนเอง และกลุ่มที่ไม่ใช่รัฐ (Non – State actors)

ส่วน การก่อการร้ายก่อความไม่สงบ (Insurgency Terrorism) นั้น มีจุดมุ่งหมายในการสร้างความรุนแรงเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและการโค่นล้มรัฐบาล พร้อมทั้งสร้างความหวาดกลัวให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ และผู้ที่ให้การสนับสนุนทั้งภายในและภายนอกประเทศ ทั้งนี้การก่อการร้ายได้ถูกปรับให้สอดคล้องกับการปฏิบัติการของแต่ละกลุ่ม

2. สงครามก่อความไม่สงบ (Insurgency Warfare) หลักการทำสงครามก่อความไม่สงบก็คือ การโจมตีโฉบฉวย (hit and run) ด้วยกองกำลังติดอาวุธเบาจนถึงขนาดกลาง เพื่อสร้างความหนักใจ และค่อย ๆ ทำลายเจตนารมณ์ และขีดความสามารถของฝ่ายตรงข้าม ความเคลื่อนไหวของฝ่ายก่อความไม่สงบจะต้องมีประสิทธิภาพสูงสุดในด้านความชำนาญภูมิประเทศ ความยืดหยุ่น พลิกแพลง ความรวดเร็ว และการหลอกล่อในการปฏิบัติการ

เหมาเจ๋อตุง” ได้ให้ข้อสรุปของการทำสงครามก่อความไม่สงบไว้ว่า “ยุทธศาสตร์สูงสุดของฝ่ายก่อความไม่สงบอยู่บนพื้นฐานของความตื่นตัว เคลื่อนที่เร็วในการเข้าโจมตี แต่จะต้องปรับให้เข้ากับสถานการณ์ของฝ่ายศัตรู ภูมิประเทศ การสื่อสารโทรคมนาคม กำลังสนับสนุน สภาพอากาศ และประชาชน

ทั้งนี้ สงครามก่อความไม่สงบ “แตกต่าง” จากการก่อการร้าย ในแง่ของการเน้นเป้าหมายขั้นต้น กล่าวคือ สงครามก่อความไม่สงบ “เน้น” การโจมตีกองกำลังติดอาวุธของฝ่ายรัฐบาล ตำรวจ ทหาร หน่วยสนับสนุน รวมถึงเป้าหมายทางเศรษฐกิจ ในขณะที่การก่อการร้าย “เน้น” เป้าหมายที่เป็นสาธารณะ ขณะที่การประกอบกำลังของสงครามก่อความไม่สงบมีขนาดใหญ่กว่าการก่อการร้าย มีการส่งกำลังบำรุง และมีฐานที่่มั่นชัดเจน โดยพื้นที่เคลื่อนไหวส่วนใหญ่อยู่ในชนบท ส่วนประเด็นที่สงครามก่อความไม่สงบและการก่อการร้าย “เหมือนกัน” ก็คือ การใช้จุดอ่อนของฝ่ายรัฐที่ไม่สามารถนำทรัพยากรที่พอเหมาะมาใช้แก้ปัญหาในจุดขัดแย้งได้

นอกจากนี้ ปัจจัยที่ชี้ขาดความสำเร็จของสงครามก่อความไม่สงบ ยังขึ้นอยู่กับการเชื่อมโยงสงครามก่อความไม่สงบเข้ากับการสร้างความรุนแรง หรือการปรับเปลี่ยนรูปแบบไปสู่สงครามตามแบบ

3. การใช้กำลังตามแบบ หรือ สงครามตามแบบ (Conventional Warfare) เป็นการเผชิญหน้ากันโดยตรงของกำลังขนาดใหญ่ในสนามรบ ซึ่งการก่อความไม่สงบส่วนใหญ่มักไม่ใช้สงครามตามแบบ เนื่องจากให้ความสำคัญกับการเคลื่อนที่เร็วมากกว่า จึงใช้หน่วยขนาดเล็ก (small unit) ในการปฏิบัติการ ทั้งนี้การทำสงครามตามแบบของกลุ่มก่อความไม่สงบขึ้นอยู่กับยุทธศาสตร์ของกลุ่มและการตัดสินใจเกี่ยวกับสมรรถนะในการทำลายกองกำลังติดอาวุธฝ่ายรัฐบาลที่ใช้การรบตามแบบ

บางยุคสมัย  "การก่อความไม่สงบ"  ก็กลายเป็น "แนวคิด" หรือ “เป้าหมาย” โดยใช้ "การก่อการร้าย" เป็นยุทธศาสตร์หรือยุทธวิธีของ "การปฏิบัติ"  เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการก่อความไม่สงบทางการเมือง  การศาสนา เศรษฐกิจ และสังคม

การก่อการร้าย” ยังเป็นคำที่ใช้ในทางลบและไม่ดีเสมอ และมีความหมายที่กว้างขึ้นตั้งแต่สหรัฐอเมริกามีการประกาศสงครามกับการก่อการร้ายจนครอบคลุมไปถึงทุก ๆ กิจกรรมที่ใช้ความรุนแรง นอกจากนี้ยังเป็นคำที่ใช้เฉพาะเพื่อเรียก “ฝ่ายตรงข้าม” เท่านั้น

น่าสังเกตุว่า ไม่มีกลุ่มใดเรียกตัวเองว่าเป็น "ผู้ก่อการร้าย" เลย (บางกลุ่มลงมือกระทำการอันเป็นการก่อการร้ายสากลเสียด้วยซ้ำ กลับเรียกตัวเองว่า “ผู้ก่อการดี” ????)

ข้อเท็จจริง  เหตุรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีทั้งรูปแบบ “การก่อความไม่สงบ” และ “การก่อการร้าย” เพราะมีการก่อเหตุรุนแรงต่อเป้าหมายทั้งทางทหารตำรวจซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ “อำนาจรัฐ” และเป้าหมายที่เป็นพลเรือน แต่เพราะเหตุผลทางการเมืองระหว่างประเทศ ทำให้รัฐบาลต้องกำหนดกรอบให้เหตุการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็น “การก่อความไม่สงบ”  ซึ่งเป็นปัญหาภายในประเทศ

สำหรับความคิดเห็นของผม รูปแบบการก่อเหตุรุนแรงทั้งสองรูปแบบ ไม่ได้มีความแตกต่างกันในสาระสำคัญ ขึ้นอยู่กับเจตนารมย์ของรัฐบาลผู้ปกครองนั่นเองที่จะเลือกใช้ถ้อยคำใดเรียกฝ่ายต่อต้่าน เพราะในอดีต รัฐบาลเคยใช้คำว่า “ขบวนการโจรก่อการร้าย” หรือ “ขจก.” แทนกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้  ต่อมาเปลี่ยนเป็น “โจรก่อการร้าย” (จกร.) และ “กลุ่มก่อความไม่สงบ” ในปัจจุบันตามลำดับ  (ในอนาคตอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งเป็น “กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง” ก็เป็นไปได้)

Sunday, May 9, 2010

การก่อการร้าย

images

การก่อการร้าย

ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Terrorism” ซึ่งเป็นคำที่มีรากฐานมาจากภาษาฝรั่งเศสที่กล่าวถึงเหตุการณ์ปฏิวัติฝรั่งเศษในช่วงปี พ.ศ. 2336 – 2337 ที่มีกลุ่มก่อความไม่สงบใช้วิธีการที่รุนแรงทำให้เกิดการเสียชีวิตของผู้บริสุทธิ์เป็นจำนวนมาก

เนื่องจากการก่อการร้ายเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการใช้ความรุนแรง และผิดกฏหมาย ทำให้การก่อการร้ายมีความใกล้เคียงต่ออาชญากรรม แต่ประเด็นที่ทำให้การก่อการร้ายมีความแตกต่างจากอาชญากรรมก็คือ “วัตถุประสงค์”  ตรงที่การก่อการร้ายจะกระทำเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ทางการเมือง ศาสนา หรือความเชื่อในลัทธิอุดมการณ์  ส่วนอาชญากรรมจะกระทำเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่ผู้กระทำต้องการเช่น มุ่งประสงค์ต่อชีวิต หรือทรัพย์สินของผู้อื่น


สำหรับสาเหตุของการก่อการร้ายนั้นมีพื้นฐานมาจากเรื่องหลัก 2 ประการคือ

  1. การดำเนินการการทางการเมืองภายในรัฐชาติ หรือ รัฐต่อรัฐ เช่น การล่าอาณานิคมของประเทศมหาอำนาจทำให้เกิดกลุ่มต่อต้านเพื่อหาทางประกาศเอกราช หรือ ความขัดแย้งทางการเมืองที่นำไปสู่การกระทำที่รุนแรงมีผลต่อชีวิตและทรัพย์สิน เป็นต้น
  2. การดำเนินทางเศรษฐกิจ และสังคม จิตวิทยา เช่น ความเหลือมล้ำทางชนชั้นทางสังคมหรือเชื้อชาติที่บานปลายไปสู่การดำเนินการต่อสู้ด้วยความรุนแรง หรือ การใช้มาตรการกีดกันทางเศรษฐกิจจากประเทศมหาอำนาจจนขยายผลสู่การเรียกต้องที่ใช้ความรุนแรง เป็นต้น เมื่อการก่อการร้ายที่กระทำโดยผู้ก่อการร้ายหรือที่เรียกว่า “Terrorist” นั้นเป็นการกระทำที่มุ่งหวังในเรื่องทางการเมือง ความเชื่อ ฯลฯ การก่อการร้ายจึงกระทำเพื่อให้เกิดการยอมรับจากการกระทำที่รุนแรงเพื่อให้เกิดอำนาจในการต่อรอง กดดัน หรือ ข่มขู่ต่อกลุ่มเป้าหมายที่ผู้ก่อการร้ายต้องการ 

ความหมายของการก่อการร้ายที่ใช้ใน “ประเทศสหราชอาณาจักร” เมื่อ ปี 2000 ได้แก่ “การใช้กำลัง หรือภัยคุกคามที่เกิดขึ้นจากการใช้กำลัง ซึ่งมุ่งเน้นสร้างอิทธิพลกดดันต่อรัฐบาล หรือขู่เข็ญต่อสาธารณะ หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของสาธารณะ ซึ่งการใช้กำลังหรือภัยคุกคามดังกล่าวถูกดำเนินการเพื่อวัตถุประสงค์ให้มีการแพร่หลาย หรือให้เป็นที่ยอมรับในเหตุปัจจัยทางการเมือง ศาสนา และลัทธิความคิด และการกระทำนั้นเกี่ยวข้องกับความรุนแรงอย่างยิ่งต่อบุคคล เกี่ยวข้องกับการทำลายล้างที่รุนแรงต่อทรัพย์สิน ทำให้ชีวิตของบุคคลตกอยู่ในอันตราย ยกเว้นชีวิตของบุคคลที่เป็นผู้ก่อการร้าย ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพ ชีวิต และความปลอดภัยของสาธารณะ แทรกแซงหรือขัดขวางระบบอิเล็คโทรนิคส์”

ความหมายของการก่อการร้ายใน “กลุ่มประเทศยุโรป (EU)” ซึ่งบังคับใช้เมื่อปี 2001 ระบุว่า “กิจกรรมการก่อการร้ายคือ การกระทำที่มีเจตนาที่จะทำลายและสร้างความไม่มั่นคงต่อโครงสร้างพื้นฐานทางการเมือง รัฐธรรมนูญ เศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ”

สำหรับความหมายของการก่อการร้ายที่ “หน่วยสืบสวนสอบสวนกลาง FBI” ของสหรัฐอเมริกาใช้ได้แก่ “การใช้กำลังและความรุนแรงที่ผิดกฎหมายต่อบุคคลหรือทรัพย์สิน เพื่อขู่เข็ญหรือบังคับรัฐบาลหรือพลเมือง หรือส่วนหนึ่งส่วนใดของรัฐบาลและพลเมือง เพื่อสนับสนุนวัตถุประสงค์ทางการเมืองและทางสังคม”

ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น คือ ความหมายของการก่อการร้ายของประเทศมหาอำนาจต่าง ๆ ส่วนความหมายของการก่อการร้ายในทางสากลนั้น ด้วยความที่การก่อการร้ายมีมิติทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงเป็นการยากที่องค์การสหประชาชาติเองจะหาคำนิยามที่เหมาะสมสำหรับคำนี้ในทางสากลได้

ทั้งนี้เนื่องจาก “การก่อการร้าย” นั้น สามารถมองได้สองมิติ ผู้ก่อการร้ายในมุมมองของฝ่ายหนึ่งอาจเป็นวีรบุรุษของอีกฝ่ายหนึ่ง ตัวอย่างเช่น นายยัสเซอร์ อาราฟัต อาจเป็นผู้ก่อการร้ายในสายตาของชาวอิสราเอล แต่เป็นวีรบุรุษผู้กล้า หรือผู้ปลดปล่อยปาเลสไตน์ในสายตาของชาวปาเลสไตน์  หรือแม้กระทั่งนายโอซามะ บินลาเดนก็ตาม ที่พยายามต่อสู้ทุกวิถีทางต่อชาติมหาอำนาจที่จะคิดทำลายล้างศาสนาอิสลาม ก็อาจจะเป็นวีรบุรุษในสายตาของชาวมุสลิมบางกลุ่ม  ในขณะที่อดีตประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช แห่งสหรัฐอเมริกา อาจเป็นผู้ก่อการรร้ายในสายตาของชาวมุสลิมทั่วโลกก็เป็นได้   นอกจากนี้การยึดสนามบินของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อปลายปี 2552  กลับกลายเป็น “การก่อการดี” ไปเสี่ยนี่….

Monday, May 3, 2010

การก่อความไม่สงบ

IMG_3645ก่อนอื่น เราย้อนกลับมาดูคำนิยามของถ้อยคำแต่ละคำก่อนครับว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร..?

“การก่อความไม่สงบ” (Insurgency) ความหมายโดยทั่ว ๆ ไป เป็นการเคลื่อนไหวของขบวนการ ที่มุ่งประสงค์ที่จะล้มล้างอำนาจรัฐที่มีอยู่เดิม เป้าหมายอาจต้องการเพียงแยกตัวออกจากการควบคุมของรัฐบาล ถึงการเข้ายึดอำนาจและเข้าแทนที่รัฐบาลปัจจุบัน โดยการใช้การบ่อนทำลายหรือการต่อสู้ด้วยอาวุธ ความรุนแรงไม่ถึงขั้นสงครามกลางเมือง

พูดให้ง่ายเข้าก็คือ เป็นการต่อสู้ระหว่างกลุ่มผู้อยู่ใต้ปกครองกับกลุ่มที่มีอำนาจในการปกครอง โดยมีเป้าหมายสุดท้ายเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ทางการเมืองตามความต้องการของตน

ในการปฏิบัติการก่อความไม่สงบนั้น “จุดมุุ่งหมายหลักของกลุ่มก่อความไม่สงบจึงมิใช่การเอาชนะทางการทหาร แต่มุ่งเอาชนะด้วยการทำลายอำนาจและการบริหารประเทศของรัฐบาล ซึ่งถือเป็นอำนาจที่ถูกต้องตามกฎหมาย รวมทั้งขีดความสามารถของรัฐในการรักษาความปลอดภัยให้กับประชาชน”

เป้าหมายปลายทางของการก่อความไม่สงบจะมีลักษณะเหมือนกันทั่วโลกคือ การล้มล้างอำนาจรัฐที่อาจนำไปสู่การแบ่งแยกดินแดน  หรือ การทำสงครามปฏิวัติ ดังตัวอย่างที่เราได้เห็นจากการต่อสู้ในอดีต  การก่อความไม่สงบเป็นการดำเนินการที่มีขั้นตอน ตามที่ปรากฏอยู่ในหลักนิยมการปราบปรามการก่อความไม่สงบของกองทัพสหรัฐฯ 3 ขั้น ได้แก่

  1. ขั้นเริ่มต้นและซ่อนเร้น (Latent and Incipient): ในขั้นนี้จะเป็นเริ่มต้นดำเนินกิจกรรมต่าง โดยทั่วไปแล้วจะเป็นการบ่อนทำลายเพื่อสร้างเงื่อนไขให้มีระดับความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
  2. ขั้นสงครามกองโจร (Guerrilla Warfare): เมื่อได้รับการสนับสนุนอย่างเพียงพอแล้วจะจัดตั้งกองโจรเข้าดำเนินการก่อความไม่สงบด้วยความรุนแรงอย่างเป็นระบบ (เน้นการต่อสู้ด้วยกองโจร)
  3. ขั้นสงครามขบวนการ (War of Movement): เมื่อฝ่ายก่อความไม่สงบมีความเข้มแข็งมากขึ้น จะทำสงครามขบวนการโดยใช้กำลังที่เตรียมไว้เข้าสู้ต่อสู้กับกองกำลังของฝ่ายรัฐบาลโดยตรง เช่น การเข้ายึดพื้นที่สำคัญ การเข้าตีหน่วยทหารด้วยกำลังขนาดใหญ่ (มีการทำสงครามตามแบบ  มีการยึดพื้นที่)

หากยึดถือตามหลักนิยมข้างบนนี้ อาจกล่าวได้ว่า การก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังอยู่ในขั้นที่ 2  “ขั้นสงครามกองโจร (Guerrilla Warfare)” นั่นเอง ลักษณะการต่อสู้ของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น มีการสะสมกำลังพล ตระเตรียมอาวุธ มุ่งที่จะทำสงครามประชาชน แย่งชิงความคิด แย่งชิงประชาชน ทำสงครามกองโจรอย่างยืดเยื้อ ไม่ได้มุ่งหวังจะเอาชนะการรบให้แตกหักในทันทีทันใด ในขณะเดียวกันก็พยายามยกระดับการต่อสู้ขึ้นไปสู่เวทีสากล เช่น “OIC” หรือองค์การการประชุมอิสลาม (Organisation of The Islamic Conference : OIC) เรียกง่าย ๆ ว่า "องค์กรมุสลิมโลก" ที่มีสมาชิกจากชาติมุสลิม 57 ประเทศ  หรือองค์การสหประชาชาติ ให้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ เพื่อนำไปสู่การเจรจาแก้ปัญหาโดยจัดการแบ่งแยกดินแดนปกครองตนเองในที่สุด

เหตุรุนแรงที่เกิดขึ้น มีทั้งลอบฆ่าเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ใช้อาวุธโจมตีที่ตั้งหน่วยทหารตำรวจ ฆ่าครู ฆ่าพระเผาวัด ฆ่าแล้วตัดศีรษะ ลอบวางระเบิด ฯลฯ เหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นความรุนแรงที่รัฐบาลให้คำนิยามไว้ว่าเป็น “การก่อความไม่สงบ” ทั้งสิ้น

Sunday, May 2, 2010

การก่อการร้าย กับ การก่อความไม่สงบ (ตอนที่ 1)

terroristz ตลอดระยะเวลาแห่งความวุ่นวายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยช่วงหลายปีที่ผ่านมา คนไทยเราคงคุ้นเคยกับคำว่า “การก่อความไม่สงบ” มาพอสมควร  เนื่องจากรัฐบาลได้ให้คำนิยามต่อความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่นี้ว่า “การก่อความไม่สงบ” และกำหนดให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวมทั้งสื่อมวลชนใช้คำว่า “ผู้ก่อความไม่สงบ” แทนผู้ก่อเหตุรุนแรงดังกล่าว

คนไทยส่วนใหญ่คงจะคุ้นชินกับคำดังกล่าวอยู่ต่อไป หากไม่มีคำอื่นมาเปรียบเทียบ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 10 เมษายน ที่ผ่านมาเกิดความรุนแรงจากการปะทะกันระหว่างมวลชนคนเสื้อแดงกับกองทหาร  เมื่อกองทหาร “บูรพาพยัคฆ์” ใช้อาวุธปืนซึ่งบรรจุกระสุนจริงเข้าปราบปราบมวลชนคนเสื้อแดง แล้วถูกกองกำลังติดอาวุธไม่ทราบฝ่ายใช้อาวุธปืน/เครื่องยิงลูกระเบิดแบบ M79 ยิงถล่มคุ้มกันจนมีทหารใหญ่บาดเจ็บล้มตาย เป็นเหตุให้กองทหารบูรพาพยัคฆ์แตกพ่ายไป ซึ่งต่อมาเพียงชั่วข้ามคืน รัฐบาลอภิสิทธิ์ฯ ได้นิยามการกระทำของกองกำลังติดอาวุธไม่ทราบฝ่ายดังกล่าวว่าเป็น “การก่อการร้าย” และเรียกกองกำลังนั้นว่า “ผู้ก่อการร้าย”   ??

หลายต่อหลายคนจึงงุนงง และสงสัยกับการให้คำนิยามต่อเหตุการณ์ความรุนแรงทั้ง 2 รูปแบบดังกล่าว ว่า “เหมือน” หรือ “แตกต่างกัน” อย่างไร..?  ทั้ง ๆ ที่เหตุการณ์ทั้ง 2 รูปแบบนั้นเกิดความสูญเสียในลักษณะเดียวกัน  และการขีดเส้นแบ่งประเภทก็ทำได้ยากยิ่งเหลือเกิน….

โอกาสต่อไปเรามาคุยกันครับ…

Sunday, April 11, 2010

ครูเสดไม่เคยสิ้น

CS010471 โลก" ที่เกิดปัญหาอีรุงตุงนังทุกวันนี้  บางทีมีเหตุปัจจัยหลาย ๆ ประการที่ซ่อนอยู่อย่างเร้นลับจนเราเองคาดไม่ถึง... 

ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ชาติมหาอำนาจใช้ความได้เปรียบในทุก ๆ ด้าน ข่มเหงรังแกชาติที่ด้อยกว่า...?? 

เพื่อแย่งชิงทรัพยากร และวางหมากสำคัญในการเมืองและยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศ ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมขึ้นอย่างกว้างขวาง การต่อสู้ของผู้ที่ด้อยกว่า ต่อผู้ที่แข็งแกร่งกว่าจึงเป็นไปในลักษณะที่ไม่เท่าเทียมกัน

ในทางการทหาร เราเรียกการต่อสู้หรือสงครามที่มีลักษณะนั้นว่า "สงครามอสมมาตร" (Asymmetric Warfare) สงครามแบบนี้เกิดขึ้นทั่วไป ทุก ๆ สถานที่ที่ความไม่เป็นธรรมยังไม่ได้รับการแก้ไขเยียวยา ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนหนึ่ง ก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากความไม่เป็นธรรมที่ว่านี้ 

ผมได้รับฟอเวิร์ดเมล์จากกัลยาณมิตรท่านหนึ่งนานแล้ว  เห็นว่าน่าสนใจดีสำหรับเพื่อน ๆ ที่สนใจศึกษาความเป็นไปของโลก จึงนำมาลงไว้เผื่อใครมีความคิดดี ๆ จะได้แชร์กัน...

"ครูเสดไม่เคยสิ้น"

ผ่านไปแล้วหลายปีสำหรับเหตุการณ์เครื่องบินถล่มตึกเวิร์ลเทรดกลางเมืองนิวยอร์ค เมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ด้วยตัวเลขว่า 9/11 ในวันเกิดเหตุ ผู้คนทั่วทั้งโลกต่างตื่นตระหนกตกใจที่ได้เห็นภาพเครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่พุ่งชนตึกสูงระฟ้าจนถล่มลงมาจากมุมมองต่าง ๆ เหมือนกับได้ชมภาพยนตร์ที่ถูกเขียนบทไว้และมีการกำกับอย่างดี


911-attack หลังจากคลายอารมณ์ตกใจและได้เห็นภาพดังกล่าวจนชินตาจากการที่สื่อยักษ์ใหญ่ของโลกนำมาแพร่ทางโทรทัศน์ครั้งแล้ว ครั้งเล่านานนับสัปดาห์ ความสงสัยและคำถามต่าง ๆของผู้คนก็ติดตามมามากมายจนถึงทุกวันนี้ อาทิ

เป็นไปได้อย่างไรที่เครื่องบินโดยสารถูกจี้จากสนามบินพร้อมกันถึง 3 ลำ ?

เป็นไปได้อย่างไรที่กองทัพอากาศของสหรัฐที่ทันสมัยในด้านการสื่อสารและทรงพลัง อำนาจพร้อมที่จะปฏิบัติการในทุกพื้นที่ทั่วโลกได้ทันทีที่ได้รับคำสั่งไม่ สามารถสกัดกั้นเครื่องบินที่ถูกจี้ทั้งสามลำได้ทั้ง ๆ ที่ได้รับการแจ้งเตือนแล้ว ?

ถ้าสมรรถภาพของกองทัพอากาศสหรัฐไม่สามารถสกัดเครื่องบินโดยสารที่ถูกจี้ไป สหรัฐอเมริกาจะเหลืออะไรถ้าศัตรูคิดจะโจมตีสหรัฐ ? และคุ้มไหมกับภาษีจำนวนมากมายมหาศาลที่ชาวอเมริกันจ่ายไปเพื่อกองทัพ ?

ตึกเวิร์ลเทรดถล่มลงมาในลักษณะเหมือนกับถูกระเบิดทำลายจากภายในได้อย่างไรใน เมื่ออุณหภูมิเผาไหม้ของน้ำมันเครื่องบินไม่เพียงพอที่จะละลายเหล็กเสาตึก ได้ ?

911_treason เป็นไปได้อย่างไรที่ประธานาธิบดียอร์จ ดับเบิลยู บุช รู้ว่าอุซามะฮฺ บินลาดิน เป็นผู้อยู่เบื้องหลังและขณะนั้นเขาอยู่ในอาฟกานิสถาน ?

จริงหรือ..??  ที่ผู้ก่อการร้ายพยายามจะโจมตีสหรัฐอเมริกาจนรัฐบาลต้องออกกฎหมายรักชาติ ให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐบาลดักฟังการสนทนาทางโทรศัพท์หรือบุกจู่โจมเพื่อตรวจ ค้นบ้านของชาวอเมริกันได้โดยไม่ต้องมีหมายค้น ? ประธานาธิบดีบุชอ้างว่าพวกผู้ก่อการร้ายเกลียดชังเสรีภาพ แต่ทำไมชาวอเมริกันต้องสูญเสียสิทธิเสรีภาพถึงขนาดนี้ ?

ยิ่งรัฐบาลสหรัฐตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนเหตุการณ์ดังกล่าว ปรากฏว่า แทนที่จะได้รับคำตอบ กลับมีคำถามต่างๆเพิ่มขึ้นมากมายจนทุกวันนี้ก็ยังตอบไม่ได้หมด และคำตอบที่ได้ก็ไม่มีเหตุผลเพียงพอ อีก ทั้งสิ่งที่พอจะเป็นเบาะแสความจริงอย่างเช่นบันทึกข้อมูลการติดต่อสื่อสาร ระหว่างนักบินกับหอบังคับการในกล่องดำก็ไม่มีการนำมาเปิดเผยทั้ง ๆ ที่กล่องดำมิได้ถูกไฟไหม้  แต่ขณะที่ฝุ่นของซากตึกเวิร์ลเทรดยังไม่ทันจะจาง โลกก็ได้ยินเบาะแสอย่างหนึ่งจากถ้อยคำของประธานาธิบดี ยอร์จ บุช ที่หลุดคำว่า “สงครามครูเสด” ออกมาในคำปราศรัยจนบรรดาที่ปรึกษาต้องออกมาแก้ต่างให้เป็นพัลวัน

คำพูดเป็นสิ่งที่สะท้อนความคิดหรือความในใจลึก ๆ ของคนที่พูด ถึงแม้ที่ปรึกษาจะออกมาช่วยกันแก้ต่างอย่างไรก็ตาม แต่ความในใจของประธานาธิบดียอร์จ ดับเบิลยู บุชก็สะท้อนออกมาให้โลกได้เห็นแล้วเมื่อเขาส่งกำลังทหารเข้าโจมตีอัฟกานิสถาน โดยเชื่อมั่นว่าอุซามะฮฺบินลาดินอยู่ที่นั่นโดยที่ยังไม่มีการสอบสวน

สงครามครูเสดคืออะไร ?

ครูเสด”  คือ สงครามที่เกิดขึ้นในช่วงสมัยกลางโดยคริสตจักรคาธอลิกในยุโรปตะวันออกต่อพวกนอกศาสนาหรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ “มุสลิม” นั่นเอง ทั้งนี้เพราะความศรัทธาของบรรดามุสลิมขัดกับคำสอนของคริสตจักร สงครามครูเสดเริ่มมีขึ้นครั้งแรกโดยโป๊ปเออร์บันChildrensCrusade03-lที่ 2 ใน ค.ศ.1095 และดำเนินต่อมาเป็นสงครามใหญ่ถึง 8 ครั้ง กินเวลานานถึง 175 ปี และสมรภูมิของการต่อสู้ทุกครั้งล้วนอยู่ในดินแดนตะวันออกกลางทั้งสิ้น
เป้าหมายของสงครามครูเสดตามที่อ้างก็คือการยึดดินแดนปาเลสไตน์ที่ชาวคริสเตียน ถือว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์และเป็นดินแดนแห่งการเดินทางไปแสวงบุญของพวกตน กลับคืนมา โป๊ปได้ประกาศว่าดินแดนแห่งนี้ถูกพวกนอกศาสนายึดครอง แต่วาระการเมืองที่แอบแฝงอยู่เบื้องหลังก็คือความต้องการจะโจมตีสกัดกั้นมิให้รัฐอิสลามขยายตัวลึกเข้าไปในยุโรปมากขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากในเวลานั้น อิสลามได้แผ่ขยายไปถึงประตูเวียนนาและฝรั่งเศสแล้ว ดังนั้น คริสตจักรจึงเกิดความหวั่นกลัวว่าอิสลามจะแผ่ขยายมากไปกว่านั้นอีก

สงครามครูเสดครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1270 และโลกก็คิดว่าสงครามครูเสดคงเสร็จสิ้นลงไปแล้ว แต่เมื่อวันที่ 9ธันวาคม ค.ศ.1917 เมื่อนายพลอัลเลนบีแม่ทัพอังกฤษเข้าเมืองเยรูซาเล็มหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เขาได้กล่าวว่า “สงครามครูเสดได้สิ้นสุดแล้ว”

ครูเสดสิ้นสุดจริงหรือ ?

คำพูดดังกล่าวบ่งบอกให้โลกรู้ว่าผู้นำและขุนศึกในชาติตะวันตกยังคงฝังใจอยู่กับคำ ว่า “ครูเสด” ไม่เสื่อมคลาย แม้รัฐคิลาฟะฮฺ ภายใต้การปกครองของสุลต่านแห่งออตโตมานจะถูกชาติมหาอำนาจตะวันตก ฉีกเป็นประเทศเล็กประเทศน้อย และตกอยู่ภายใต้อิทธิพลทางการเมืองของชาติมหาอำนาจตะวันตกมายาวนาน แต่ในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา กระแสเรียกร้องการปกครองแบบอิสลามในประชาคมมุสลิมกำลังหวนคืนกลับมาอีกจนคำ ว่า “ครูเสด” หลุดออกมาจากปากของประธานาธิบดียอร์จ ดับเบิลยู บุช
Knights_and_Soldiers_First_Crusade (รัฐคิลา ฟะฮฺคือรัฐที่ปกครองด้วยกฎหมายอิสลามโดยมีคัมภีร์กุรอานเป็นธรรมนูญ มีผู้นำสูงสุดที่เรียกว่า “คอลิฟะฮ์” หรือ "กาหลิบ")

ในคำปราศรัยครั้งหนึ่ง ประธานาธิบดียอร์จ ดับเบิลยู บุช ได้กล่าวว่า “พวกเขา (มุสลิม) หวังที่จะสถาปนาอุดมการณ์ทางการเมืองที่รุนแรงขึ้นมาทั่วตะวันออกกลางซึ่ง พวกเขาเรียกว่า “คิลาฟะฮฺ' ซึ่งทุกคนจะต้องถูกปกครองตามอุดมการณ์ที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังของพวกเขา ข้าพเจ้าไม่ยอมที่จะให้สิ่งนี้เกิดขึ้นและไม่มีประธานาธิบดีอเมริกันคนใดจะยอมให้มันเกิดขึ้น”
หลังจากโจมตีอาฟกานิสถานเพื่อไล่ล่าอุซามะฮฺ บินลาดินโดยใช้ถ้อยคำที่สวยหรูว่า “สงครามต่อต้านการก่อการร้าย” แล้ว รัฐบาลสหรัฐก็ส่งกำลังทหารเข้าโจมตีและยึดครองอิรักทั้ง ๆ ที่ชาติพันธมิตรอื่น ๆ คัดค้าน

นายดิค เชนีย์ รองประธานาธิบดีสหรัฐสายเหยี่ยวผู้มีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายต่างประเทศของสหรัฐได้ให้เหตุผลในการโจมตีอิรักซึ่งคนไทยไม่เคยได้ยิน ว่า “อิรักจะเป็นฐานของรัฐคิลาฟะฮฺอิสลามใหม่ที่จะขยายตัวไปทั่วตะวันออกกลางและ จะเป็นการคุกคามรัฐบาลตามกฎหมายในยุโรป อาฟริกาและเอเซีย”

Friday, April 9, 2010

การฝึกอบรมหลักสูตร “Cyber Crime Management Consultation”

 IMG_1318
เมื่อระหว่างวันที่ 8 มีนาคม – 12 มีนาคม 2553  ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสเดินทางไปฝึกอบรมหลักสูตร Cyber Crime Management Consultation ที่ศูนย์ฝึกอบรมคอมพิวเตอร์ ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรุงเทพฯ เป็นหลักสูตรการฝึกอบรมที่สนับสนุนโดยสำนักงานรักษาความมั่นคงทางการฑูต สถานเอกอัครราชฑูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย (The Antiterrorism Assistance Program Bureau of Diplomatic Security, U.S.Department of State - ATA)

วิทยากรเป็นเจ้าหน้าที่ของ ATA 3 คน  มี Mr.Michele Webber จนท.กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ  Mr.Gary Kessler ที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ด้าน IT และ Mr.Mack Fischer (อดีตแฮกเกอร์มือฉมัง) จนท.สถานฑูตสหรัฐฯ

เนื้อหาของหลักสูตรมุ่งเน้นเกี่ยวกับการสร้างหน่วยสืบสวนสอบสวน และตรวจพิสุูจน์นิติวิทยาศาสตร์ด้าน Cyber และ IT ให้มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล อีกทั้งการดำเนินคดีต่อผู้ต้องหานั้นจะหาพยานหลักฐานทางดิจิตอลได้จากที่ใดบ้าง มีวิธีการเก็บรวบรวมพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์อย่างไร รวมทั้งความเป็นกลางและความเป็นอิสระในการตรวจพิสูจน์พยานหลักฐาน ฯลฯ

พอพูดถึง “นิติวิทยาศาสตร์” หลาย ๆ คนก็อาจคิดเลยไปถึง คุณหมอยอดนักสืบท่านหนึ่ง ที่พยายามทำตัวเป็นดาวเด่นออกมาเป็นข่าวตามหน้าสื่อต่าง ๆ อยู่เสมอ ๆ ทำตัวเป็นทั้้่งนักสืบ เป็นทั้งหมอ เป็นทั้งผู้ชำนาญการด้านนิติวิทยาศาสตร์แขนงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องครอบจักรวาล  คุณหมอเธอคงจะดูมินิซีรี่ส์ชุด “C.S.I” มากเกินไป 

ผมได้พูดคุยสอบถามวิทยากรทั้ง 3 ท่าน ว่า  “หน่วยสืบสวนสอบสวนที่่เป็นทั้งตำรวจนักสืบ เป็นทั้งผู้ตรวจพิสูจน์ทางด้านนิติวิทยาศาสตร์อย่างในมินิซี่รี่ส์ “C.S.I” นั้น มีจริงหรือไม่ ? 

ก็ได้รับคำตอบยืนยันว่า  เป็นเพียงเรื่องสมมุติในหนังเท่านั้น  หน่วยที่มีทั้งอำนาจสืบสวนสอบสวน และอำนาจในการตรวจพิสูจน์พยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์นั้นเป็นหน่วยที่มีอำนาจมากเกินไปจนน่ากลัว 

โดยหลักการคานอำนาจ จะต้องแบ่งอำนาจให้อยู่กันคนละหน่วย  ในอเมริกา หน่วยตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ก็เป็นตำรวจนั่นแหละ แต่แบ่งแยกไว้คนละหน่วยเพื่อป้ัองกันข้อครหาที่จะฝ่ายสืบสวนไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน   พอมองย้อนกลับมาที่ประเทศไทย กลายเป็นว่า  มีคุณหมอบางท่านอยากจะเป็นซุปเปอร์แมน ทำเองทุกเรื่อง อยากเป็นนักสืบด้วย บอกได้เลยว่า ผิดหลักการครับ

Tuesday, April 6, 2010

ลิงสองตัว

ผมได้รับอีเมล์จากกัลญาณมิตรท่านหนึ่งเมื่อวานนี้ อ่านดูแล้วเห็นว่าน่ารักดี จึงนำออกมาเผยแพร่ต่อ ขอบคุณ คุณ “master_pol799@hotmail.com” ที่ส่งอีเมลให้ครับ…

“…ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เองขณะตะลอนอยู่ในพื้นที่จังหวัดปัตตานี  ผมได้เจอ"ลิงกัง"สองตัว แต่อยู่กันคน (ตัว) ละสถานภาพ...

...ลิงตัวแรก เป็นลิงกังเผือกเพศผู้ อายุประมาณ 4-5ปี เจ้าของชื่อนายตอและ ยาแม อายุ 33 ปี เป็นชาวบ้านกาเยาะมาตี ต.จะกั๊วะ อ.รามัน จ.ยะลา อาชีพรับจ้างกรีดยาง ได้วางกับดักได้ลิงเผือกตัวนี้ที่เทือกเขาบูโดเมื่อประมาณ ต้นปี 2552



...ลิงตัวที่สอง  เป็นลิงกังเพศผู้เช่นเดียวกันอายุประมาณ 6 ปี มีชาวบ้านนำมาให้ตำรวจ ที่ฐานฯนปพ.บ้านช่องแมว สภ.สายบุรี จ.ปัตตานี เมื่อปลายปี 2552 ในสภาพบาดเจ็บแขนหัก พ.ต.อ.วัลลพ  จำนงค์อาษา ผกก.สภ.สายบุรี ส่งไปรักษาที่รพ.สัตว์ปัตตานี เป็นเวลากว่า 2 เดือนถึงจะหายเป็นปกติ




...ลิงตัวแรก ตอนจับได้มาใหม่ ๆ พอชาวบ้านทราบข่าวต่างแห่กันมาจากทั่วทุกสารทิศเพื่อดู"ลิงเผือก" ของแปลกที่ถูกขังไว้ในกรงเหล็กอย่างดี วันละหลายพันคน หมู่บ้านกาเยาะมาตี จากที่เคยเงียบเหงาห่างไกลชุมชนเมือง กลับมาคึกคักเกิดตลาดนัดชุมชน สร้างรายได้ให้ประชาชนสวนกระแสไฟใต้ที่กำลังลุกโชน



...ลิงตัวที่สอง พอรักษาหายจากอาการบาดเจ็บ ผู้กำกับฯ วัลลพ ส่งให้ไปอยู่ในการเลี้ยงดูของ ส.ต.ต.ยุทธพล พรมดาว สายตรวจ นปพ.บ้านช่องแมว เหมือนเดิม เนื่องจากนิสัยค่อนข้างจะดุ ไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ คนที่จะบังคับมันได้มีแต่ หมู่ฯ ยุทธพลคนเดียว เนื่องจากเป็นคนที่เจอครั้งแรกในสภาพบาดเจ็บ



...ลิงตัวแรก พอกระแส "ลิงเผือก" เริ่มซาลงชาวบ้านเลิกเห่อ เจ้าของต้องนำไปออกงานโชว์ตัวตามสถานที่ต่างๆ โดยมี"ตู้รับบริจาค"วางอยู่หน้ากรงเหล็ก ภาพนี้บันทึกได้ขณะ ของแปลกมีลมหายใจ เดินได้ ถูกนำมาโชว์ตัวในงาน เปิดอาคารที่ทำการอำเภอไม้แก่น จ.ปัตตานี หลังใหม่ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา



...ลิงตัวที่สอง หลังจากถูกนำกลับมาเลี้ยงอยู่ในฐานฯนปพ.บ้านช่องแมว ได้สักพักมันเริ่มคุ้นเคยกับเครื่องแบบตำรวจนปพ.สีเขียวขี้้ม้า คลายอาการดุลงไปเยอะ เนื่องจากตำรวจทุกคนต่างเอาใจเป็นอย่างดีโดยมี นมไวตามิลล์ เป็นสื่อนำทาง



...ลิงตัวแรก คล้ายกับจะคุ้น ๆ เชื่อง ๆ เนื่องจากถูกขังอยู่ในกรงมานาน ยิ่งช่วงนี้ถูกนำออกงานนอกพื้นที่บ่อย ๆ รู้สึกว่ามันไม่ค่อยจะตื่นเต้นหรือตกใจกลัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ ที่เจอในแต่ละวัน


 

...ลิงตัวที่สอง พอปรับสภาพตัวเองได้ หมู่ฯ ยุทธพล ผู้เลี้ยงดู มักนำขึ้นรถสายตรวจ นปพ.สายบุรี ออกลาดตระเวนในพื้นที่เป็นประจำ ที่นั่งประจำที่มันชอบมากที่สุดคือ บนหลังคา ที่มีไฟแว็ป ๆ



...ลิงตัวแรก หมดหวังในอนาคต นั่งจ้องกุญแจล็อค อันเขื่องที่จองจำเสรีภาพของมัน สุดปัญญาลิงที่ช่วยเหลือตัวเองให้รอดพ้นจากพันธนาการได้



...ลิงตัวที่สอง ผู้กำกับฯ วัลลพ เริ่มเห็นแววลิงตัวนี้ ส่งเงินให้ลูกน้อง 1,000 บาท ไปตัดชุด นปพ.ให้เจ้าลิง บรรจุเข้าเป็นสายตรวจ ร่วมกับ นปพ.ชุดนี้ ในนาม "Monkey Police" ชื่อเรียกขาน "สันติสุข  พรมดาว" โดยนามสกุลนั้นใช้ร่วมกับ หมู่ฯ ยุทธพล ผู้ที่เลี้ยงดู



...ลิงตัวแรก แม้จะอยู่ดีกินดีไม่อด ๆ อยาก ๆ เพราะทำเงินให้เจ้าของได้เป็นจำนวนมาก แต่ก็อยู่เหมือนเหมือนไร้ศักดิ์ศรี



...ลิงตัวที่สอง จากเดิมที่ประชาชนในพื้นที่เคยหมางเมินกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ พอมีเจ้าลิง"สันติสุข"มาอยู่ด้วย เริ่มมีคนเข้ามาทักทายด้วย แม้จะเน้นหนักไปทาง"ลิง"ก็ยังดี



...ลิงตัวแรก ความเป็นอยู่ดีเหมือนเดิม แล้วแต่นายจะส่งไปอยู่ที่ไหน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น โรงพักเกรด A เอ้ย ไม่ใช่ ..



...ลิงตัวที่สอง เริ่มเป็นขวัญใจของประชาชนในพื้นที่สายบุรี เพราะนอกเหนือจากจากหน้าที่หลักงาน"มวลชน"ในบทบาทของตำรวจลิงแล้ว มันยังไม่ลืมพื้นเพเดิม ยังคงช่วยเก็บมะพร้าวให้หลวงพ่อที่วัด และชาวบ้านทั่วไปที่มาร้องของ ค่าแรงขอแค่ไวตามิลล์ ขวดเดียว



...ลิงตัวแรก ยังอยู่ดีกินดีเหมือนเดิม ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ขนขาวมันแผล่บ เพราะนั่งอยู่แต่ในโรงพัก เอ้ย ไม่ใช่ ในกรงเหล็ก ไม่เคยลงพื้นที่  คอยหาเงินให้นาย(เจ้าของ) เป็นหน้าที่หลัก



...ลิงตัวที่สอง งานหนักขึ้นทุกวัน แต่ไม่ย้อท้อ  นายไปไหน มันไปด้วย แม้ช่วยอะไรได้ไม่มาก แค่เห็นรอยยิ้มของผู้คนที่ผ่านทาง ก็ภูมิใจแล้ว ตอนนี้กลัวอยู่อย่างเดียวคือ พวก นัก...บ้องตื้นทั้งหลาย จะมาหาเรื่องกล่าวหา ผู้กำกับฯ ว่า ทรมานสัตว์



 

สรุป ...เรื่องเล่าของลิงสองตัวนี้ ท่านนึกถึงอะไรครับ..
ส่วนผม นึกถึง"จ่าเพียร"..
สวัสดีครับ..........”

Friday, March 26, 2010

เรื่องของ...ยาสี่คูณร้อย (ตอนที่ 1)

ซาแนกซ์ หากถามว่า ปัญหาภาคใต้เกิดจากปัจจัยสาเหตุอะไร คำตอบ ก. ข. ค. ง. อาจจะไม่เพียงพอสำหรับคำถาม ก็คงต้องมีตัวเลือก จ.ถูกทุกข้อ เป็นคำตอบสุดท้าย แบบเกมเศรษฐีของคุณไตรภพ ลิมปะพัทธ์ เพราะปัญหาภาคใต้เกิดจากหลายปัจจัยสาเหตุ ทั้งเรื่องของอดีต ชาติพันธุ์ การศึกษา และล่าสุดกำลังมีผู้พยายามชักนำปัญหาไปสู่ความขัดแย้งทางศาสนา เถียงกันไม่จบไม่สิ้น  ปัญหาหนึ่งที่มีส่วนสำคัญเป็นไฟสุมขอนทำให้ภาคใต้ของเราลุกเป็นไฟก็คือ “ปัญหายาเสพติด”   สำหรับในภูมิภาคอื่น ๆ ปัญหายาเสพติดอาจระบาดตามผับตามเธคดังเช่นการระบาดของ “ยาอี”  ยายอดนิยมของวัยรุ่นทั้งหลาย แต่ด้วยความที่ยาตัวนี้มีราคาแพงและหาได้ค่อนข้างยากพอสมควร วัยรุ่นในจังหวัดชายแดนภาคใต้จึงได้ประยุกต์ใช้ยาตัวหนึ่งนำมาบดผสมกับน้ำที่เคี่ยวจากใบกระท่อม ผสมกับส่วนผสมอื่นอีก 2 – 3 ชนิด เรียกว่า “ยาสี่คูณร้อย” ยาตัวที่ว่าซึ่งรัฐบาลจะต้องหันมาให้ความสนใจมากขึ้นกว่านี้คือ “Zanax” ยาตัวนี้อาจจะฤทธิ์ไม่เท่ายาอี แถมยังหาได้ง่ายและราคาถูกกว่ามาก

Xanax”  เป็นชื่อทางการค้าของยาที่ออกฤทธิ์ต่อประสาทส่วนกลางมีผลในการกล่อมประสาท ซึ่งสารที่ออกฤทธิ์ก็คือ “สารอัลปราโซแลม (Alprazolem)” จัดอยู่ในกลุ่ม “Benzodiazepine” เป็นยาที่การแพทย์ใช้กันมานานแล้ว เพื่อวัตถุประสงค์ในการรักษา

จัดเป็นยาที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภทที่ 4 เป็นยาควบคุม จะซื้อจะขายได้ต้องมีใบสั่งยาจากแพทย์ แต่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยาชนิดนี้หาได้ไม่ยากครับ
ลักษณะของเม็ดยาเป็นเม็ดรีเล็ก ๆ สีฟ้าหรือม่วงอ่อน ๆ ปกติแพทย์จะใช้ยานี้รักษาอาการซึมเศร้า โรคเครียดในผู้ป่วย แต่มักจะใช้ในระยะสั้น เนื่องจากยาตัวนี้ทำให้เสพติดทั้งร่างกายและจิตใจ ถ้าหยุดยากระทันหันจะทำให้มีอาการเหงื่อออก ใจสั่นนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย บางคนกินยาร่วมกับการดื่มสุรา ก็จะยิ่งทำให้ออกฤทธิ์เพิ่มขึ้น มีอาการเคลิบเคลิ้ม คึกคะนอง กล้าทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ และทำให้มีเพศสัมพันธ์ได้ง่ายจึงจัดเป็นยาเสียตัวเหมือนกับยาอี

เนื่องจากเป็นยาที่หาได้ง่ายกว่าและราคาไม่แพง  เม็ดหนึ่งราคาไม่เกิน 50 บาท จึงเป็นที่นิยมของบรรดาวัยรุ่นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่เพราะความที่ฤทธิ์ยาแรงไม่เท่ายาอีจึงทำให้วัยรุ่นเพิ่มยาขึ้นเรื่อย ๆ จนมีผลทำให้กระทบกระเทือนถึงสมองอย่างรุนแรงในบั้นปลาย

การที่จะแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัญหายาเสพติดจึงเป็นปัญหาสำคัญปัญหาหนึ่งที่รัฐบาลจะต้องไม่ละเลยในการจัดการกับปัญหา ซึ่งจะต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาในด้านอื่น ๆ ไปพร้อม ๆ กัน
ในโอกาสต่อไป ผมจะมาเล่ารายละเอียดของส่วนผสม หรือสูตรของยาสี่คูณร้อยให้ฟังครับ..

Thursday, March 18, 2010

ป่วนวางบึ้มปลอมติดรูป ผกก.บันนังสตา ข้างเสาปูน

วันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 11:24 น.  ข่าวสดออนไลน์
IMG_1478_resize
ค้นบ้าน ต.บาเจาะ ยึดปืน 4 กระบอก
     เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 16 มี.ค. ศูนย์วิทยุ สภ.บันนังสตา รับแจ้งมีวัตถุต้องสงสัยวางอยู่ข้างเสาปูนริมถนน ที่บนถนนสาย 410 (บันนังสตา-ธารโต) หมู่ 3 บ.เงาะกาโป ต.บันนังสตา อ.บันนังสตา จ.ยะลา จึงแจ้ง ร.ต.ท.ธาม  ลอยสะเทื้อน รอง สวป.สภ.บันนังสตา ประสานกำลังเจ้าหน้าที่เก็บกู้วัตถุเข้าตรวจสอบโดยได้ปิดกั้นเส้นทางเนื่อง จากเกรงว่าจะเกิดอันตราย ที่บริเวณเสาปูนริมถนนพบกลุ่มคนร้ายได้นำธงชาติไทยมาคลุมเอาไว้ พร้อมนำรูปของ พ.ต.อ.สมเพียร  เอกสมญา  อดีต ผกก.สภ.บันนังสตา ที่เสียชีวิต มาติดเอาไว้ และเขียนถ้อยคำหยาบคายเอาไว้ โดยที่บริเวณโคนเสาพบกล่องต้องสงสัยพันด้วยเทปกาว เจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้จึงได้ทำลายทิ้ง พบว่าไม่ใช่ระเบิดแต่อย่างใด เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ทราบว่าเมื่อเวลาประมาณ 04.00 น. ที่ผ่านมา ได้มีรถจักรยานยนต์และรถยนต์ วิ่งเข้ามาจอดตรงจุดดังกล่าว ก่อนที่จะขับออกไป เชื่อว่าเป็นฝีมือของกลุ่มก่อเหตุรุนแรงที่ต้องการสร้างความปั่นป่วนใน พื้นที่
     ก่อนหน้านี้เวลา 05.30 น. พ.ต.ท.ศุภชัช ยีหวังกอง  สารวัตรงานสืบสวนสอบสวน ศูนย์ปฎิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศชต.) นำกำลังเข้าปิดล้อมบ้านเป้าหมายที่หมู่ 3 บ.บางลาง ต.บาเจาะ อ.บันนังสตา หลังจากสืบทราบว่ากลุ่มคนร้ายใช้โทรศัพท์โทรมาข่มขู่การทำงานของเจ้าหน้าที่ เมื่อวันที่ 13 มี.ค. ที่ผ่านมาพบนายดอรอแม ปูตะ จึงได้ขอโทรศัพท์มือถือมาตรวจสอบว่าเป็นหมายเลขเดียวกันที่ใช้โทรศัพท์ โทรมาข่มขู่เจ้าหน้าที่หรือไม่ จากนั้นจึงตรวจค้นบ้านเลขที่ 153/2  ซึ่งอยู่ติดกัน พบนายอับดุลรอนี เลาะราแม อายุ 47 ปี เจ้าของบ้าน ตรวจค้นภายในบ้านพบอาวุธปืนลูกซอง จำนวน 1 กระบอก อาวุธปืนยาวขนาด .22  จำนวน 1 กระบอก อาวุธปืนพกสั้นขนาด .38 ซุปเปอร์ จำนวน 1 กระบอก  อาวุธปืนขนาด .38  ลูกโม่ จำนวน 1 กระบอก  แมกกาซีนปืนจำนวน 3 อัน และเครื่องกระสุนขนาดต่างๆ จำนวนมาก  เจ้าหน้าที่จึงได้ตรวจยึดปืนทั้งหมดมาตรวจสอบ นายอับดุลรอนีให้การว่าตนเองเป็น ชรบ.ของหมู่บ้าน  เจ้าหน้าที่จึงได้เชิญตัวมาสอบสวนว่าจะเกี่ยวข้องกับกลุ่มก่อเหตุรุนแรงใน พื้นที่หรือไม่

------------------------------------------------------

 

ค้นบันนังสตายึดอาวุธปืน 4 กระบอกพร้อมเครื่องกระสุนเพียบ ขณะที่คนร้ายวางบึ้มปลอมป่วน

วันพุธที่ 17 มีนาคม 2010 เวลา 10:43 น.  สมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย
เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2553 เวลา 08.30 น. ศูนย์วิทยุ สภ.บันนังสตา ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า มีวัตถุต้องสงสัยวางอยู่ข้างเสาปูนริมถนน ที่บนถนนสาย 410 (บันนังสตา - ธารโต) หมู่ 3 บ.เงาะกาโป ต.บันนังสตา อ.บันนังสตา จ.ยะลา
     จึงได้แจ้ง ร.ต.ท.ธาม ลอยสะเทื้อน รอง สวป.สภ.บันนังสตา ประสานกำลังเจ้าหน้าที่เก็บกู้วัตถุระเบิด ฉก.อโนทัย เจ้าหน้าที่ทหาร ฉก.ยะลา 15 เข้าตรวจสอบทันที
เมื่อมาถึงจุดดังกล่าวเจ้าหน้าที่ได้ปิดกั้นเส้นทางไม่ให้รถวิ่งผ่าน เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดอันตราย โดยที่บริเวณเสาปูนริมถนนดังกล่าวพบว่า กลุ่มคนร้ายได้นำธงชาติไทยมาคลุมเอาไว้ พร้อมนำรูปของ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา อดีต ผกก.สภ.บันนังสตา ที่เสียชีวิต มาติดเอาไว้ และเขียนถ้อยคำหยาบคายเอาไว้ โดยที่บริเวณโคนเสาพบกล่องต้องสงสัยพันด้วยเทปกาว เจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้จึงได้ทำลายทิ้ง พบว่า ไม่ใช่ระเบิดแต่อย่างใด 
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ทราบว่า เมื่อเวลาประมาณ 04.00 น. ที่ผ่านมา ได้มีรถจักรยานยนต์ และรถยนต์ วิ่งเข้ามาจอดตรงจุดดังกล่าวก่อนที่จะขับออกไป เชื่อว่าเป็นฝีมือของกลุ่มก่อเหตุรุนแรงที่ต้องการสร้างความปั่นป่วนในพื้นที่บันนังสตา 
โดยก่อนหน้านี้เมื่อเวลา 05.30 น. พ.ต.ท.ศุภชัช ยีหวังกอง สารวัตรงานสืบสวนสอบสวน ศูนย์ปฎิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศชต.) พร้อมด้วย ร.ต.ท.ธาม ลอยสะเทื้อน รอง สวป.สภ.บันนังสตา นำกำลังเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนสอบสวน ศชต. ชุดสืบสวน ภ.จว.ยะลา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บันนังสตา สนธิกำลังเจ้าหน้าที่ทหาร ฉก.ยะลา15 เข้าปิดล้อมบ้านเป้าหมายที่หมู่ 3 บ.บางลาง ต.บาเจาะ อ.บันนังสตา จ.ยะลา หลังจากสืบทราบว่าในบริเวณดังกล่าว กลุ่มคนร้ายใช้โทรศัพท์โทรมาข่มขู่การทำงานของเจ้าหน้าที่เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 53 ที่ผ่านมา
     ซึ่งที่บ้านเลขที่ 153 บ้านบางลาง เจ้าหน้าที่พบ นายดอรอแม ปูตะ จึงได้ขอโทรศัพท์มือถือมาตรวจสอบว่าเป็นหมายเลขเดียวกันที่ใช้โทรศัพท์โทรมาข่มขู่เจ้าหน้าที่หรือไม่
นอกจากนั้นเจ้าหน้าที่ยังเข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 153/2 ซึ่งอยู่ติดกัน พบ นายอับดุลรอนี เลาะราแม อายุ 47 ปี เจ้าของบ้าน ตรวจค้นภายในบ้านพบอาวุธปืนลูกซองจำนวน 1กระบอก อาวุธปืนยาวขนาด .22 จำนวน 1 กระบอก อาวุธปืนพกสั้นขนาด .38 ซูปเปอร์ จำนวน 1 กระบอก อาวุธปืนขนาด .38 ลูกโม่ จำนวน 1 กระบอก แมกกาซีนปืนจำนวน 3อัน และเครื่องกระสุนขนาดต่างๆ จำนวนมาก เจ้าหน้าที่จึงได้ตรวจยึดปืนทั้งหมดมาตรวจสอบว่าเป็นปืนที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ 
โดย นายอับดุลรอนี ให้การว่า ตนเองเป็น ชรบ. ของหมู่บ้าน เจ้าหน้าที่จึงได้เชิญตัวมาซักถามที่หน่วยเฉพาะกิจยะลาที่ 15 เพื่อตรวจสอบว่าจะเกี่ยวข้องกับกลุ่มก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่หรือไม่
------------------------------------------------------

Monday, March 15, 2010

“สมเพียร เอกสมญา” วีรบุรุษตำรวจชายขอบ

news_img_50135_2 พล.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา (ยศที่ได้รับพระราชทาน) หรือ “จ่าเพียร” อดีต ผู้กำกับการ สภ.บันนังสตา ภ.จว.ยะลา ผู้วายชนม์ ผู้ซึ่งไม่เคยคาดหวังว่าจะได้เป็นวีรบุรุษ ได้แต่ขอเพียงทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ความหวังว่าจะได้พบกับความสงบสุขกับครอบครัวในบั้นปลายของชีวิตยามเกษียนอายุราชการ กลับกลายเป็นความฝันของคนข้างหลังไปตลอดกาล…


แม้วันนี้ “สมเพียร เอกสมญา” จะเหลือเพียงนามอันยิ่งใหญ่ฝากไว้ในแผ่นดิน ให้คนไทยได้จดจำรำลึกถึงในฐานะวีรบุรุษตำรวจชายขอบ ท่านได้ยืนหยัดต่อสู้เพื่อประเทศชาติจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต  ความตายของท่านไม่เสียเปล่า  แต่ได้จุดประกายให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของ “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” ที่กำลังทะเลาะชิงตำแหน่งกันอยู่ในส่วนกลาง ได้หันกลับมาเหลียวแลสภาพความเป็นอยู่ขวัญและกำลังใจของข้าราชการตำรวจในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้  ผมเชื่อว่า เพื่อนตายสหายศึกที่ร่วมกันต่อสู้เคียงบ่าเคียงใหล่อยู่ในพื้นที่ทุกคน ไม่มีใครอยากจะเป็นวีรบุรุษในยามที่ตัวเองหมดลมหายใจ แต่เมื่อสถานการณ์บีบบังคับให้ต้องอยู่ ด้วยวินัยและหน้าที่ที่ค้ำคอ ทุกคนจึงต้องอยู่เพื่อสู้โดยไม่มีบิดพลิ้ว

พล ต.อ.สมเพียร เอกสมญา”  เมื่อยามที่ได้สละชีพเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินอันเป็นที่รัก ชีวิตที่สูญสิ้นไปคงจะคุ้มค่ากับสิ่งที่ได้ปกป้อง  หลับเถิดครับ หลับให้สบาย

Thursday, March 4, 2010

“Los Angeles County Sheriff's Department” หรือ “LASD”

BACA8X10T2-COPY
คราวที่แล้วผมได้เล่าถึงการฝึก CQB ที่มีเจ้าหน้าที่จาก “LASD” หรือ “Los Angelis County Sheriff’s Department” มาเป็นครูฝึกให้ที่ จ.สุราษฎร์ธานี วันนี้ผมจะเล่าถึงความเป็นมาและหน้าที่ของ “LASD” ให้ฟังนะครับ
 
ในอเมริกา มีการกระจายอำนาจการปกครองลดหลั่นลงไปเป็นหลายระดับ ตั้งแต่ระดับรัฐ (State) ลงไปเคาน์ตี้ (County) แต่ละระดับมีหน่วยงาน “บังคับใช้กฎหมาย” เป็นของตัวเองกระจายตามพื้นที่ “หน่วยบังคับใช้กฎหมาย” หรือ “ตำรวจ” ของแต่ละรัฐ หรือแต่ละเคาน์ตี้ มีลักษณะเป็นตำรวจท้องถิ่น มีอำนาจบริหารจัดการเองไม่ขึ้นกับรัฐบาลกลาง แม้แต่ในมหาวิทยาลัยหรือในสวนสาธารณะก็มี “ตำรวจ” เป็นของตัวเอง ตำรวจท้องถิ่นอเมริกา หัวหน้าหน่วยมีอำนาจโยกย้ายได้เฉพาะแต่ในเขตหรือหน่วยของตัวเอง ในขณะที่ตำรวจไทย มีลักษณะรวมศูนย์เป็น “ตำรวจแห่งชาติ (National Police)” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีอำนาจออกคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจได้ทุกหน่วยทุกนายทั่วประเทศ

002_03.16.12
ในอเมริกา หากมีคดีสำคัญหรือคดีคาบเกี่ยวเกิดขึ้นหลายพื้นที่ มีหน่วย FBI (Federal Bureau of Investigation) ทำหน้าที่เป็น "ตำรวจ" ของรัฐบาลกลาง มีอำนาจสืบสวนสอบสวนครอบคลุมทั้งประเทศ  ส่วนบ้านเรา มี “บช.ก.” หรือ “กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง” มีอำนาจสืบสวนสอบสวนครอบคลุมทั้งประเทศ  ซึ่งในปัจจุบันมี “กรมสอบสวนคดีพิเศษ” หรือ “DSI” เพิ่มขึ้นมาอีก 1 หน่วย ตั้งขึ้นมาเพื่อถ่วงดุลย์และคานอำนาจของตำรวจ

คำว่า “Sheriff” หากแปลตามตัวก็คงจะหมายถึง “นายอำเภอ” แต่นายอำเภอในอเมริกาคงไม่ใช่นายอำเภอรูปแบบเหมือนบ้านเราเป็นแน่  “Sheriff”  ดูแลเมืองเล็ก ๆ (County) อาชญากรรมไม่ซับซ้อนมาก มีอำนาจสืบสวนสอบสวน มีการจัดสายตรวจ ตัวหัวหน้าหน่วยมาจากการเลือกตั้ง อาจจะใหญ่กว่า มีอำนาจครอบคลุมมากกว่านายอำเภอบ้านเรา และอาจทำหน้าที่อื่น ๆ ด้วย เช่น หน้าที่ในการเก็บภาษีอากร เป็นต้น เมื่อพิจารณาจากเนื้องานแล้ว อาจอนุมานได้ว่า “Sheriff” ก็คือ "เจ้าพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ" ตาม ป.วิ อาญา ของไทย ซึ่งเป็น “ผู้บังคับใช้กฎหมาย” ในอีกรูปแบบหนึ่งนั่นเอง

LASD” เป็นกรม "Sheriff" ที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา (ผมใช้คำว่า “กรม” ในความหมายของ “หน่วย” หรือ “องค์กร” นะครับ...) มีกำลังพลรวมทั้งสิ้นประมาณ 16,000 นาย รับผิดชอบพื้นที่ประมาณ 34,500 ตารางไมล์ ซึ่งมีประชากรราว 9 ล้านคน หัวหน้ากรม "Sheriff" ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนในมณฑลลอสแอนเจลิสอยู่ในตำแหน่งคราวละ 4 ปี เพราะฉะนั้นในการทำงาน ผบ.กรม “LASD” จึงต้องรับผิดชอบต่อประชาชน ไม่ได้รับผิดชอบต่อนักการเมือง(น้ำเน่า) เหมือนตำรวจของบางประเทศ

RevolverMap