โลก" ที่เกิดปัญหาอีรุงตุงนังทุกวันนี้ บางทีมีเหตุปัจจัยหลาย ๆ ประการที่ซ่อนอยู่อย่างเร้นลับจนเราเองคาดไม่ถึง...
ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ชาติมหาอำนาจใช้ความได้เปรียบในทุก ๆ ด้าน ข่มเหงรังแกชาติที่ด้อยกว่า...??
เพื่อแย่งชิงทรัพยากร และวางหมากสำคัญในการเมืองและยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศ ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมขึ้นอย่างกว้างขวาง การต่อสู้ของผู้ที่ด้อยกว่า ต่อผู้ที่แข็งแกร่งกว่าจึงเป็นไปในลักษณะที่ไม่เท่าเทียมกัน
ในทางการทหาร เราเรียกการต่อสู้หรือสงครามที่มีลักษณะนั้นว่า "สงครามอสมมาตร" (Asymmetric Warfare) สงครามแบบนี้เกิดขึ้นทั่วไป ทุก ๆ สถานที่ที่ความไม่เป็นธรรมยังไม่ได้รับการแก้ไขเยียวยา ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนหนึ่ง ก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากความไม่เป็นธรรมที่ว่านี้
ผมได้รับฟอเวิร์ดเมล์จากกัลยาณมิตรท่านหนึ่งนานแล้ว เห็นว่าน่าสนใจดีสำหรับเพื่อน ๆ ที่สนใจศึกษาความเป็นไปของโลก จึงนำมาลงไว้เผื่อใครมีความคิดดี ๆ จะได้แชร์กัน...
"ครูเสดไม่เคยสิ้น"
ผ่านไปแล้วหลายปีสำหรับเหตุการณ์เครื่องบินถล่มตึกเวิร์ลเทรดกลางเมืองนิวยอร์ค เมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ด้วยตัวเลขว่า 9/11 ในวันเกิดเหตุ ผู้คนทั่วทั้งโลกต่างตื่นตระหนกตกใจที่ได้เห็นภาพเครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่พุ่งชนตึกสูงระฟ้าจนถล่มลงมาจากมุมมองต่าง ๆ เหมือนกับได้ชมภาพยนตร์ที่ถูกเขียนบทไว้และมีการกำกับอย่างดี
หลังจากคลายอารมณ์ตกใจและได้เห็นภาพดังกล่าวจนชินตาจากการที่สื่อยักษ์ใหญ่ของโลกนำมาแพร่ทางโทรทัศน์ครั้งแล้ว ครั้งเล่านานนับสัปดาห์ ความสงสัยและคำถามต่าง ๆของผู้คนก็ติดตามมามากมายจนถึงทุกวันนี้ อาทิ
เป็นไปได้อย่างไรที่เครื่องบินโดยสารถูกจี้จากสนามบินพร้อมกันถึง 3 ลำ ?
เป็นไปได้อย่างไรที่กองทัพอากาศของสหรัฐที่ทันสมัยในด้านการสื่อสารและทรงพลัง อำนาจพร้อมที่จะปฏิบัติการในทุกพื้นที่ทั่วโลกได้ทันทีที่ได้รับคำสั่งไม่ สามารถสกัดกั้นเครื่องบินที่ถูกจี้ทั้งสามลำได้ทั้ง ๆ ที่ได้รับการแจ้งเตือนแล้ว ?
ถ้าสมรรถภาพของกองทัพอากาศสหรัฐไม่สามารถสกัดเครื่องบินโดยสารที่ถูกจี้ไป สหรัฐอเมริกาจะเหลืออะไรถ้าศัตรูคิดจะโจมตีสหรัฐ ? และคุ้มไหมกับภาษีจำนวนมากมายมหาศาลที่ชาวอเมริกันจ่ายไปเพื่อกองทัพ ?
ตึกเวิร์ลเทรดถล่มลงมาในลักษณะเหมือนกับถูกระเบิดทำลายจากภายในได้อย่างไรใน เมื่ออุณหภูมิเผาไหม้ของน้ำมันเครื่องบินไม่เพียงพอที่จะละลายเหล็กเสาตึก ได้ ?
เป็นไปได้อย่างไรที่ประธานาธิบดียอร์จ ดับเบิลยู บุช รู้ว่าอุซามะฮฺ บินลาดิน เป็นผู้อยู่เบื้องหลังและขณะนั้นเขาอยู่ในอาฟกานิสถาน ?
จริงหรือ..?? ที่ผู้ก่อการร้ายพยายามจะโจมตีสหรัฐอเมริกาจนรัฐบาลต้องออกกฎหมายรักชาติ ให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐบาลดักฟังการสนทนาทางโทรศัพท์หรือบุกจู่โจมเพื่อตรวจ ค้นบ้านของชาวอเมริกันได้โดยไม่ต้องมีหมายค้น ? ประธานาธิบดีบุชอ้างว่าพวกผู้ก่อการร้ายเกลียดชังเสรีภาพ แต่ทำไมชาวอเมริกันต้องสูญเสียสิทธิเสรีภาพถึงขนาดนี้ ?
ยิ่งรัฐบาลสหรัฐตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนเหตุการณ์ดังกล่าว ปรากฏว่า แทนที่จะได้รับคำตอบ กลับมีคำถามต่างๆเพิ่มขึ้นมากมายจนทุกวันนี้ก็ยังตอบไม่ได้หมด และคำตอบที่ได้ก็ไม่มีเหตุผลเพียงพอ อีก ทั้งสิ่งที่พอจะเป็นเบาะแสความจริงอย่างเช่นบันทึกข้อมูลการติดต่อสื่อสาร ระหว่างนักบินกับหอบังคับการในกล่องดำก็ไม่มีการนำมาเปิดเผยทั้ง ๆ ที่กล่องดำมิได้ถูกไฟไหม้ แต่ขณะที่ฝุ่นของซากตึกเวิร์ลเทรดยังไม่ทันจะจาง โลกก็ได้ยินเบาะแสอย่างหนึ่งจากถ้อยคำของประธานาธิบดี ยอร์จ บุช ที่หลุดคำว่า “สงครามครูเสด” ออกมาในคำปราศรัยจนบรรดาที่ปรึกษาต้องออกมาแก้ต่างให้เป็นพัลวัน
คำพูดเป็นสิ่งที่สะท้อนความคิดหรือความในใจลึก ๆ ของคนที่พูด ถึงแม้ที่ปรึกษาจะออกมาช่วยกันแก้ต่างอย่างไรก็ตาม แต่ความในใจของประธานาธิบดียอร์จ ดับเบิลยู บุชก็สะท้อนออกมาให้โลกได้เห็นแล้วเมื่อเขาส่งกำลังทหารเข้าโจมตีอัฟกานิสถาน โดยเชื่อมั่นว่าอุซามะฮฺบินลาดินอยู่ที่นั่นโดยที่ยังไม่มีการสอบสวน
สงครามครูเสดคืออะไร ?
“ครูเสด” คือ สงครามที่เกิดขึ้นในช่วงสมัยกลางโดยคริสตจักรคาธอลิกในยุโรปตะวันออกต่อพวกนอกศาสนาหรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ “มุสลิม” นั่นเอง ทั้งนี้เพราะความศรัทธาของบรรดามุสลิมขัดกับคำสอนของคริสตจักร สงครามครูเสดเริ่มมีขึ้นครั้งแรกโดยโป๊ปเออร์บันที่ 2 ใน ค.ศ.1095 และดำเนินต่อมาเป็นสงครามใหญ่ถึง 8 ครั้ง กินเวลานานถึง 175 ปี และสมรภูมิของการต่อสู้ทุกครั้งล้วนอยู่ในดินแดนตะวันออกกลางทั้งสิ้น
เป้าหมายของสงครามครูเสดตามที่อ้างก็คือการยึดดินแดนปาเลสไตน์ที่ชาวคริสเตียน ถือว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์และเป็นดินแดนแห่งการเดินทางไปแสวงบุญของพวกตน กลับคืนมา โป๊ปได้ประกาศว่าดินแดนแห่งนี้ถูกพวกนอกศาสนายึดครอง แต่วาระการเมืองที่แอบแฝงอยู่เบื้องหลังก็คือความต้องการจะโจมตีสกัดกั้นมิให้รัฐอิสลามขยายตัวลึกเข้าไปในยุโรปมากขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากในเวลานั้น อิสลามได้แผ่ขยายไปถึงประตูเวียนนาและฝรั่งเศสแล้ว ดังนั้น คริสตจักรจึงเกิดความหวั่นกลัวว่าอิสลามจะแผ่ขยายมากไปกว่านั้นอีก
สงครามครูเสดครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1270 และโลกก็คิดว่าสงครามครูเสดคงเสร็จสิ้นลงไปแล้ว แต่เมื่อวันที่ 9ธันวาคม ค.ศ.1917 เมื่อนายพลอัลเลนบีแม่ทัพอังกฤษเข้าเมืองเยรูซาเล็มหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เขาได้กล่าวว่า “สงครามครูเสดได้สิ้นสุดแล้ว”
ครูเสดสิ้นสุดจริงหรือ ?
คำพูดดังกล่าวบ่งบอกให้โลกรู้ว่าผู้นำและขุนศึกในชาติตะวันตกยังคงฝังใจอยู่กับคำ ว่า “ครูเสด” ไม่เสื่อมคลาย แม้รัฐคิลาฟะฮฺ ภายใต้การปกครองของสุลต่านแห่งออตโตมานจะถูกชาติมหาอำนาจตะวันตก ฉีกเป็นประเทศเล็กประเทศน้อย และตกอยู่ภายใต้อิทธิพลทางการเมืองของชาติมหาอำนาจตะวันตกมายาวนาน แต่ในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา กระแสเรียกร้องการปกครองแบบอิสลามในประชาคมมุสลิมกำลังหวนคืนกลับมาอีกจนคำ ว่า “ครูเสด” หลุดออกมาจากปากของประธานาธิบดียอร์จ ดับเบิลยู บุช
(รัฐคิลา ฟะฮฺคือรัฐที่ปกครองด้วยกฎหมายอิสลามโดยมีคัมภีร์กุรอานเป็นธรรมนูญ มีผู้นำสูงสุดที่เรียกว่า “คอลิฟะฮ์” หรือ "กาหลิบ")
ในคำปราศรัยครั้งหนึ่ง ประธานาธิบดียอร์จ ดับเบิลยู บุช ได้กล่าวว่า “พวกเขา (มุสลิม) หวังที่จะสถาปนาอุดมการณ์ทางการเมืองที่รุนแรงขึ้นมาทั่วตะวันออกกลางซึ่ง พวกเขาเรียกว่า “คิลาฟะฮฺ' ซึ่งทุกคนจะต้องถูกปกครองตามอุดมการณ์ที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังของพวกเขา ข้าพเจ้าไม่ยอมที่จะให้สิ่งนี้เกิดขึ้นและไม่มีประธานาธิบดีอเมริกันคนใดจะยอมให้มันเกิดขึ้น”
หลังจากโจมตีอาฟกานิสถานเพื่อไล่ล่าอุซามะฮฺ บินลาดินโดยใช้ถ้อยคำที่สวยหรูว่า “สงครามต่อต้านการก่อการร้าย” แล้ว รัฐบาลสหรัฐก็ส่งกำลังทหารเข้าโจมตีและยึดครองอิรักทั้ง ๆ ที่ชาติพันธมิตรอื่น ๆ คัดค้าน
นายดิค เชนีย์ รองประธานาธิบดีสหรัฐสายเหยี่ยวผู้มีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายต่างประเทศของสหรัฐได้ให้เหตุผลในการโจมตีอิรักซึ่งคนไทยไม่เคยได้ยิน ว่า “อิรักจะเป็นฐานของรัฐคิลาฟะฮฺอิสลามใหม่ที่จะขยายตัวไปทั่วตะวันออกกลางและ จะเป็นการคุกคามรัฐบาลตามกฎหมายในยุโรป อาฟริกาและเอเซีย”
No comments:
Post a Comment