Leh in my memory...

As we are entering the new era, where nations are becoming one community, I, as well as my PTI 27th session’s member friends have the mutual vision that we, and other friends of the Asia-Pacific nations, will become closer than ever.
ยินดีต้อนรับสู่โลกใบเล็กของผม โลกของคนทำงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ชีวิตในวัยเด็กผมเคยใฝ่ฝันอยากจะเป็นสถาปนิก แต่เมื่อยามต้องเลือกทางเดินของชีวิต ผมกลับเลือกที่จะสวมเครื่องแบบสีกากี โดยสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารเหล่าตำรวจ หลังสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ผมเลือกลงบรรจุรับราชการในตำแหน่งพนักงานสอบสวนที่อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี ชีวิตราชการวนเวียนโยกย้ายอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตลอดมา ถึงแม้จะอยู่ห่างไกลจากศูนย์อำนาจรัฐ และการทำงานในหลายโอกาสอาจพบพานกับอุปสรรคภยันตรายต่าง ๆ บ้าง แต่ที่นี่คือ “บ้าน” ผมจึงยังทำงานอยู่ที่นี่ ทุกวันนี้ผมมีความสุขกับงานที่ทำอยู่เสมอ...

Friday, January 29, 2010

Last Day in Australia

Great Ocean Road, Twelve Apostles Marine National Park, Port Campbel

วันอาทิตย์ที่ 25 พ.ค. 2551

เดินทางตะลอน ๆ หัวหกก้นขวิดมาหลายวันแล้ว  วันนี้ เป็นวันสุดท้ายที่พวกเราจะได้มีโอกาสชื่นชม “Unseen in Australia” ก่อนที่จะเดินทางกลับไปให้ทันขึ้นเครื่องที่ท่าอากาศยาน “Sydney Kingford Smith” เพื่อเดินทางกลับประเทศไทยในตอนค่ำ

ยืนเทียบเป็นนายแบบซะเลยเมื่อวานนี้ ผมเคยเกริ่นไว้นิดนึงขณะที่พาเที่ยวชมกระท่อมกัปตันคุกใน  “Fitzroy Garden” ว่า  Melbourne เป็น “นครแห่งศิลปะ” เป็นอย่างนั้นจริงครับ Melbourne  เป็นนครแห่งศิลปะที่ผสมผสานศิลปะยุคเก่าและใหม่ได้อย่างลงตัว  เท่าที่ผมสังเกต ไม่ว่าจะไปทางไหนก็จะเห็นงานศิลป์ในรูปแบบแขนงต่าง ๆ วางประดับอยู่ ทั้งงานจิตรกรรม ประติมากรรม ศิลปะประยุกต์ ฯลฯ แต่พวกผมก็ได้แต่นั่งรถผ่านครับ ไม่มีโอกาสเข้าไปชื่นชมงานศิลปะเหล่านั้นได้อย่างใกล้ชิด เพราะหมดจากภาระกิจในแต่ละวันก็จะแย่แล้ว ยกเว้นงานประติมากรรมรูปคนคล้ายตัวตลก 3 ตัว ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับโรงแรมที่พัก ก่อนเดินทางในเช้านี้ ผมกับ Zaid ก็เลยถือโอกาสไปยืนเทียบเป็นนายแบบซะเลย…

วันสุดท้ายของการเดินทางพิเศษนิดหน่อย  ตรงที่ต้องนั่งรถไกลกว่าปกติกว่าทุกวันที่ผ่านมา พวกเราต้องเดินทางไกลไปตามถนนที่ทอดตัวไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง Melbourne ตัดเลียบชายฝั่งที่มีภูมิทัศน์แปลกตาของมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งได้ชื่อว่า เป็น “ถนนสายที่โรแมนติกที่สุดแห่งหนึ่งของโลก” ใช่แล้วครับ ! ผมกำลังจะพาเพื่อน ๆ ไปชมความยิ่งใหญ่ของ The Great Ocean Road กัน


ระยะทางไป The Great Ocean Road ค่อนข้างไกลครับ วันนี้ที่หมายคือ The Great Ocean Road เพียงแห่งเดียวแล้วเดินทางกลับ Melbourne ในตอนเย็น (นั่งรถกันมันละครับพี่น้อง)  ออกเดินทางกันตั้งแต่ประมาณ 09.30 น.  ผ่านเมือง Geelong (เมืองนี้คนไทยนิยมส่งบุตรหลานมาศึกษาต่อ) แวะพักรับประทานอาหารมื้อเที่ยงระหว่างทางที่ Sing Bo Chinese Restaurant ในเมือง Colac กว่าจะถึงที่หมายก็ช่วงบ่าย เหนื่อยกับการเดินทางแต่ก็สนุกครับ ^^


รูปภาพแผนที่

ส่วนหนึ่งของ "Great Ocean Road" (คลิกที่แผนที่เพื่อขยาย)

"Great Ocean Road"  มีความยาวตลอดสายทั้งสิ้นประมาณ 400 กิโลเมตร ตัดเลียบชายฝั่งที่มีภูมิประเทศเป็นหน้าผาซึ่งเกิดจากการกัดเซาะของคลื่นลมแรงจากมหาสมุทรแปซิฟิกที่พัดเอาความเย็นและความชุ่มชื่นจากขั้วโลกใต้มาสู่ ทวีปออสเตรเลียมาตลอดระยะเวลานับล้านปี ทำให้ส่วนที่อ่อนกว่าผุกร่อนพังทลายลงไป คงเหลือแผ่นดินส่วนที่แข็งกว่ากลายเป็นเกาะเสาหินโด่ มีรูปทรงแปลก ๆ เด่นอยู่กลางทะเล ยืนหยัดท้าทายคลื่นลมแรงตลอดมา ชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกในแถบนี้ จึงกลายสภาพเป็นหน้าผาเว้า ๆ แหว่ง ๆ  อย่างที่เห็นในปัจจุบัน

ทางการ Australia สงวนพื้นที่  The Great Ocean Road ไว้ได้อย่างดีเยี่ยม โดยจัดพื้นที่จอดรถไว้เป็นสัดส่วนค่อนข้างห่างไกลจากจุดชมวิวพอสมควร นักท่องเที่ยวต้องจอดรถในบริเวณที่จอดรถซึ่งห่างจากฝั่งมากแล้วก็ “เดิน” ครับ เดินไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวเดียวก็ถึงแล้ว ^^ แต่โชคไม่ดีวันนี้อากาศไม่เป็นใจ ครึ้มฟ้าครึ้มฝนขณะเดินทาง ท้องฟ้าไม่สดใสเลยครับ  มีแต่เมฆฝนเต็มไปหมด แสงไม่สวย เวลาถ่ายรูปก็จะดูทึม ๆ สุดท้ายฝนก็ตกลงมาจริง ๆ ขณะที่เรากำลังชม Twelve Apostles

IMG_5635

บริเวณพื้นที่จอดรถ

IMG_5787

ลงจากรถ

IMG_5638 เดินอีกไกลครับ ^^ IMG_5777 มีเฮลิคอปเตอร์บริการนักท่องเที่ยวด้วย
IMG_5646ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว IMG_5663 ถึงแล้ว Twelve Apostles
IMG_5698 กองหินข้างหลังผม เพิ่งจะพังทลายลงมาเมื่อไม่นานมานี้ IMG_5727 Twelve Apostles

IMG_5710Twelve Apostles เหลือแท่งหินไม่ครบ 12 แล้ว

IMG_5770-1
Twelve Apostles

IMG_5696Twelve Apostles

จุดชมวิวแต่ละแห่งมีความงดงามแตกต่างกันออกไปตามลักษณะการกัดเซาะของน้ำทะเล อีกทั้งมีชื่อเรียกต่าง ๆ ออกไปอีก ชื่อแต่ละชื่อล้วนแต่มีที่มาหรือบ่งบอกลักษณะคล้ายคลึงกับสิ่งนั้น เช่น Twelve Apostles, Loch Ard Gorge, London Bridge, New Field Bay เป็นต้น

Twelve Apostles  ตั้งชื่อตาม 12 สาวกของพระเยซูคริสต์ (หรือนบีอีซาของชาวมุสลิม) เป็นแท่งหินปูนที่ถูกธรรมชาติสลักเป็นแท่งเสาหินให้มีรูปทรงแปลกๆ แตกต่างกันไป เรียงรายกระจายอยู่บริเวณชายฝั่ง ปัจจุบันนี้แท่งเสาหินปูนมีไม่ครบ 12แท่ง เนื่องจากผุกร่อนพังไปแล้วหลายแท่ง อีกไม่นานแท่งหินทั้งหมดก็คงจะทยอยพังทลายล้มหายลงไปจนหมด และก็คงจะมีแท่งหินแท่งใหม่เกิดขึ้นอีก...เป็นวัฏจักรอย่างนี้เรื่อยไป 

IMG_5767ความยิ่งใหญ่ของ Twelve Apostles

IMG_5689Twelve Apostles

IMG_5721Twelve Apostles

 Loch Ard Gorge แท่งหินรูปโค้งขนาดใหญ่ เกิดจากส่วนตรงกลางถูกน้ำทะเลกัดเซาะจนทะลุ ก่อให้เกิดรูปร่างคล้ายสะพานโค้ง

ลุ้น อยู่ตั้งนาน ว่าฝนจะตกไม่ตก ในที่สุดฝนก็ตกจริง ๆ ครับ  ตกหนักเสียด้วย ต้องรีบจ้ำอ้าวขึ้นรถไม่งั้นคงเปียกหมดแน่ ๆ อากาศก็หนาวเสียด้วยสิ เสียดายจังที่วันนี้ดินฟ้าอากาศไม่เป็นใจ   ตอนเย็นปิดท้าย Great Ocean Road กันที่ Port Campbel หมู่บ้านชาวประมงที่ทันสมัยของ Australia ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก ก่อนที่จะวิ่งทางลัด in land กลับเข้า Melbourne ครับ

IMG-5857 Port Campbel IMG_5839 Port Campbel
IMG_5835 Port Campbel IMG_5855 Port Campbel
IMG_5847

ชุมชนบริเวณ Port Campbel

IMG_5852

Port Campbel

เดินทางกลับถึง Melbourne เอาประมาณ 2 ทุ่มเศษ  ด้วยความที่เดินทางตะลอน ๆ ท่องไปในแผ่นดินออสเตรเลียมาเป็นอาทิตย์แล้ว หลาย ๆ คนเริ่มบ่นคิดถึงบ้าน คิดถึงลูก คิดถึงเมีย  คิดถึงอาหารไทย ฯลฯ

IMG_5904อย่ากระนั้นเลย ไหน ๆ ก็ชิมอาหารแบบต่าง ๆ ใน Australia มาหลายแบบแล้วทั้งเนื้อแกะย่างบาบีคิว เนื้อจิงโจ้ อาหารเยอรมัน อาหารทะเลจากเกาะฟิลลิป กุ้งมังกร หูฉลาม ปลิงทะเล ฯลฯ ก่อนขึ้นเครื่องเดินทางกลับประเทศไทยวันนี้พวกเราจะได้ร้บประทานอาหารไทย มื้อที่สอง (มื้อแรกที่สถานฑูตไทยฯ) และมื้อสุดท้ายใน Australia กันที่ร้าน “The Original Thai” ครับ  หลังจากที่ต้องก้มหน้าก้มตากินอาหารจีน (เป็นหลัก) มาตลอดเกือบ 1 อาทิตย์ใน Australia

ต้มยำกุ้งน้ำข้น ยกมาเสิร์ฟแล้ว  ตามมาด้วยพะแนงเนื้อ ทอดมันกุ้ง ไข่เจียวกุ้งสับ ผัดผักรวมมิตร น้ำพริกฯ ลาบไก่ ฯลฯ รสชาติอาหาร อร่อยใช้ได้ทีเดียวครับ…  รสชาติจัดจ้านสมกับที่เป็นอาหารไทย  (เอ...! หรือว่าพวกเราห่างอาหารไทยมาหลายวัน  เจอแต่อาหารฝรั่ง อาหารจีน เลี่ยน ๆ พอมาเจออาหารไทยรสจัดกว่าหลายวันที่ผ่านมาเข้าหน่อยก็เลยตาลาย เหมือนในตำนานก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ ^^ )

นั่งกินข้าวไป ก็อดคิดไปด้วยไม่ได้ว่า  7 วันใน Australia ทำให้ผมได้แง่คิดมุมมองอะไรบ้าง ?

แม้ว่า Australia จะเป็นประเทศที่ก่อตั้งขึ้นใหม่ในยุคล่าอาณานิคมของชาติตะวันตก ทำให้ขาดปูมหลังและพลังทางประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชาติในแง่ของอารยธรรม โบราณ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาหรืออุปสรรคที่จะขัดขวางการพัฒนาประเทศได้ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การพัฒนาประเทศของ Australia เจริญรุดหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง นั่นก็คือ “คน” และ “ความมีวินัย” ของคนในชาติ  เช่นเดียวกันกับประเทศที่มีเศรษฐกิจก้าวหน้า หรือประเทศที่พัฒนาแล้วอื่น ๆ  คนออสซี่เป็นคนที่มีวินัยในตัวเองสูงเป็นส่วนใหญ่ การข้ามถนนสะเปะสะปะแบบบ้านเราแทบจะไม่มีให้เห็น บ้านเมืองก็สะอาดตาเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่มีขยะตกหล่นเรี่ยราดให้เห็น การใช้รถใช้ถนนปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด

ในระหว่างที่อยู่ใน Australia แทบจะไม่เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจปรากฎให้เห็นเลย สถิติอาชญากรรมคงจะไม่สูงกระมัง..?

นอกจากนี้  ที่สำคัญ คนออสซี่ยังให้ความสำคัญกับ “ทหาร” หรือ “วีรบุรุษสงคราม” ของตนมาก สังเกตได้จากการสร้างอนุสรณ์สถานทางทหารไว้ตามเมืองต่าง ๆ ทั่วประเทศ เป็นแบบอย่างที่ดีที่จะปลูกฝังเยาวชนของชาติให้มีความรักสมัครสมานสามัคคี กัน มีความเสียสละ ฟันฝ่าอุปสรรคร่วมกัน และมีความภาคภูมิใจในความเป็นชาติ กองทัพไทยน่าจะมาศึกษาดูเป็นแบบอย่างนะครับ..  IMG_5907

พูดถึงด้านดีไป ก็ใช่ว่า “คนออสซี่”จะดีไปหมดทุกเรื่อง เพียบพร้อมไปหมดทุกอย่าง ฝรั่งก็คือฝรั่ง ถึงแม้จะมีวินัยในตัวเองสูง มีจิตสำนึกสาธารณะ แต่ความมีน้ำใจโอบอ้อมอารีต้อนรับแขกผู้มาเยือนแบบที่ผมประสบมาก็ยังสู้คน ไทยไม่ได้อยู่ดี 

นอกจากนี้การที่ป้จจุบัน Australia พยายามเข้าไปมีบทบาทกับกลุ่มประเทศ ASEAN มากขึ้น  ทำตัวเป็นเอเชียมากขึ้น เจริญรอยตาม “ตำรวจโลก” แบบอเมริกา ก็ไม่ใช่เพื่ออะไรอื่นหรอกครับ  นอกเสียจากผลประโยชน์ของชาติ ในรูปแบบต่าง ๆ เหมือนเมื่อสมัยที่บรรพบุรุษตัวเองยังล่าเมืองขึ้นอยู่ทั่วโลกนั่นเอง…. เพียงแต่เปลี่ยนโฉมมาในรูปแบบที่ไม่ใช้กำลังบังคับแบบในอดีต

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ราว 3 ทุ่มตรง พวกเราเดินทางไปถึงท่าอากาศยานนานาชาติทูลามารีน Melbourne เพื่อเตรียมขึ้นเครื่องเดินทางกลับประเทศไทย ได้เวลาที่จะต้องจากกันแล้ว ถ้าหากมีโอกาสจะกลับมาเยือน Australia อีกสักครั้งหนึ่ง คงมีเรื่องราวมาเล่าให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกันอีก...

6th Day in Australia

(Melbourne ยามเช้า, นั่งรถไฟหัวรถจักรไอน้ำผ่าน Dandenong Ranges, ชิมอาหารเยอรมันที่ภัตตาคาร Cuckoo, ให้อาหารนก Dandenong Ranges National Park, ชิมไวน์ที่ The Gurdies Winery, ไปดูเพนกวินที่ Phillip Island, ชิมกุ้งมังกรที่ “San Remo Chinese Restaurant”)

วันเสาร์ที่ 24 พ.ค. 2551

เมือง Melbourn ยามเช้า

หัวหน้าคณะเดินทางนัดนายทหาร/นายตำรวจ นักเรียนขึ้นรถ 9 โมงเช้า แต่ผมก็ตื่นนอนตั้งแต่เช้าตรู่แล้วครับ เพราะอยากออกไปเดินเล่นตามท้องถนนดูวิถีชีวิตของผู้คนชาว Melbourne มาก อยากรู้ว่าคนที่นี่มีวิถึชีวิตเหมือนหรือต่างจากคนในกรุงเทพฯ มากน้อยแค่ไหน หลังจากอาบน้ำอาบท่าแต่งตัวเสร็จแล้ว (ช่วงเช้าแต่งลำลองสุภาพ) ผมรีบลงไปรับประทานอาหารมื้อเช้าก่อน  นัดกับ “Zaid”  เจอกันข้างล่าง

มื้อเช้ายังเป็นอาหารฝรั่งแบบเดิม ๆ ครับ  ผมชักจะเริ่มรู้สึกเอียนอาหารฝรั่งเต็มทีแล้ว นี่ขนาดเดินทางมาทัศนศึกษาดูงานแค่ 6 – 7 วัน เดี๋ยวเดียวก็กลับแล้ว ยังคิดถึงอาหารไทยมากขนาดนี้ แล้วคนที่ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนมาเรียนต่อใช้ระยะเวลาหลายปีจะรู้สึกคิด ถึงบ้าน คิดถึงอาหารไทยมากขนาดไหน..?

หลังจากจัดการกับอาหารมื้อเช้าเสร็จแล้ว พอจะมีเวลาเหลืออีกพอสมควรก่อนล้อหมุนออกเดินทาง ผมชวน Zaid ออกไปเดินเล่น ดูวิถีชีวิตชาว Melbourne กัน

IMG-4968ผมกับ Zaid เดินออกมาจากโรงแรมประมาณ 7 โมงเช้าเห็นจะได้ อากาศค่อนข้างหนาวเลยสวมเสื้อแจ็กเก็ตตัวใหญ่มา พวกเราเดินไปเรื่อย ๆ บนฟุตบาธถนนที่ผ่านหน้าโรงแรม  เดินข้ามสะพานข้ามแม่น้ำ Yarra ไปไกลประมาณ 3 – 4 กิโลเมตรแล้วก็เดินกลับ  (ความจริงอยากเดินไปไกลมากกว่านี้ แต่กลัวกลับมาไม่ทันเวลานัดออกเดินทาง) ระหว่างทางถนนค่อนข้างโล่งมากครับไม่ค่อยมีรถ (คงจะเพราะเป็นวันเสาร์) ผู้คนไม่พลุกพล่าน รถทำความสะอาดถนนของเทศบาลก็กำลังทำหน้าที่ของมันอย่างขยันขันแข็ง มีอุปกรณ์ดูดฝุ่นไปในตัว (กรุงเทพฯ น่าจะสั่งนำเข้ารถแบบนี้ไปใช้บ้างนะครับ ถนนกรุงเทพฯ จะได้ปลอดฝุ่น) ถนนหนทางสะอาดสะอ้าน อากาศยังเย็น ๆ อยู่  มีคนออกมาปั่นจักรยานออกกำลังกายกันเยอะพอสมควร ชีวิตในวันหยุดไม่เร่งรีบเหมือนกับวันทำงาน  ผมชักจะชอบ Melbourne เสียแล้วสิ

รถทำความสะอาดถนนของเทศบาลกำลังทำงานอย่างขยันขันแข็ง 9 โมงเช้าตรงตามเวลานัด  ผมเดินกลับมาถึงรถพอดี  ได้เวลาออกเดินทาง จุดหมายปลายทางเช้านี้เป็นป่าดิบชื้น (Rain forest ) แบบ Australia บนเทือกเขา ซึ่งมีวิธีการเดินทางชมป่าที่แสนจะพิเศษไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน เพราะต้องนั่งบนรถไฟผ่านครับ ผมจะพาไปนั่งไฟหัวรถจักรไอน้ำ “Puffing Billy” ที่แล่นตัดผ่านป่าดิบชื้น (Rain forest) สำคัญของ Australia กันครับ

ถ้าใครมีโอกาสได้ไปเยือนรัฐ Victoria คงต้องหาโอกาสไปเที่ยว Emerald ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกเมืองหนึ่งด้วย

สิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ไปกันที่นั่น ก็คือเจ้า “Puffing Billy” ขบวนรถจักรไอน้ำที่วิ่งระหว่างสถานี Belgrave กับทะเลสาบ Emerald ระยะทางประมาณ 13 กิโลเมตร 

Puffing Billy เป็น รถไฟหัวรถจักรไอน้ำ (Steam Train) แบบเก่าที่มีปล่องควันอยู่ข้างหน้าหัวรถจักรขับเคลื่อนไปตามรางเหล็ก ปล่อยควันโขมงพร้อมเสียงคำรามจากเครื่องจักรไอน้ำ “ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง” ^^ และส่งเสียงหวูดปู๊น ปู๊น มาแต่ไกล รัฐบาล Australia มีกุศโลบายอนุรักษ์เจ้า Puffing Billy ไว้เพื่อสนับสนุนภารกิจการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์ป่าและพันธุ์พืช และยังคงแล่นให้บริการนักท่องเที่ยวอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้

ออกเดินทางจาก Melbourne มาเช้านี้เราจะไปขึ้นรถไฟกันที่สถานี Belgrave ซึ่งอยู่ห่างจาก Melbourne ประมาณ 41.8 กิโลเมตร   เจ้า Puffing Billy จะพาเราข้ามเทือกเขา Dandenong Ranges ซึ่งเป็นป่าดิบชื้น (Rain Forrest) ที่สำคัญของ Melbourne ไปลงที่สถานี Menzies Creek ระยะทางประมาณ 6.47 กิโลเมตร ครับ

IMG_4999ได้เวลาเดินทางแล้ว (สถานี Belgrave) IMG_5017
บรรยากาศภายในโบกี้รถไฟ
IMG_5030ขณะที่รถไฟสองขบวนสวนทางกัน IMG_5036นักท่องเที่ยวโบกมือทักทายกัน
IMG_5049ขบวนรถวิ่งตัดผ่านป่าดิบชื้น (Rain Forrest) ของ Australia IMG_5076อากาศสดชื่นมาก ๆ ครับ

สิ่งที่เป็น เสน่ห์สำคัญของ Puffing Billy คือการได้เพลิดเพลินกับทิวทัศน์ป่าดิบชื้น (Rain Forrest) แบบออสเตรเลียสองข้างทางโดยนั่งห้อยเท้าออกนอกโบกี้รถไฟ 

IMG_5080นักท่องเที่ยวเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ข้างทางโดยการนั่งห้อยเท้าออกนอกโบกี้รถไฟ

IMG_5064ทางรถไฟช่วงที่หวาดเสียวเล็กน้อย

วิธีการนั่ง โดยสารเจ้า Puffing Billy ที่ถูกต้อง คือ นักท่องเที่ยวจะขึ้นไปนั่งบนผนังห้องโดยสารซึ่งออกแบบเป็นลูกกรง นั่งหันหน้าออกด้านข้างแล้วห้อยเท้าออกนอกตัวรถ (ฉีกกฎความปลอดภัยในการโดยสารรถไฟกันอย่างสนุกสนาน) เป็นเพราะว่า Puffing Billy ใช้ความเร็วไม่มากนัก และการนั่งห้อยขาออกนอกตัวรถในลักษณะดังกล่าวกลายเป็นประเพณีปกติของที่นี่ไปแล้ว

พวก เราสนุกสนานเพลิดเพลินกับเจ้า Puffing Billy ได้ไม่นาน พอถึงสถานี “Menzies Creek” ราว ๆ ประมาณเที่ยงครึ่งก็ต้องลงที่สถานีนี้กัน เพราะรถบัสจะมารอรับเพื่อเดินทางไปที่อื่นต่อ

IMG_5109ถึงแล้วสถานี Menzies Creek IMG_5139Puffing Billy ตัวเป็น ๆ ใกล้ ๆ
IMG_5119พนักงานขับรถท่าทางใจดี IMG_5151ต้นกัมหรือยูคาลิปตัสหลังสถานี  Menzies Creek ต้นนี้น่าจะมีอายุนับร้อยปีแล้ว
   

เที่ยงพอดี ได้เวลามื้อเที่ยง วันนี้พวกเราจะไปชิม อาหารเยอรมัน กันที่ภัตตาคารเก่าแก่ที่มีชื่อว่า Cuckoo Restaurant หลังจากที่ก้มหน้าก้มตากินอาหารจีนกันมาหลายมื้อจนหน้าตาจะกลายเป็นคนจีนกัน ไปหมดแล้ว ระหว่างรับประทานอาหารมีการแสดงโชว์ทั้งการร้องรำทำเพลงและมายากลให้แขกได้ เพลิดเพลินกันเต็มอิ่ม

IMG_5292ภัตตาคาร “Cuckoo” IMG_5183บรรยากาศภายในภัตตาคาร
IMG_5175มีอาหารให้เลือกรับประทานอย่างจุใจ IMG_5171อาหารประเภทต่าง ๆ
IMG_5218แม่ครัวคนสวยกำลังง่วนอยู่กับการทำขนม IMG_5201 ขนมหวานหน้าตาน่ากิน
IMG_5242

นักแสดงกำลังแสดงเรียกเสียงปรบมืออยู่บนเวที

IMG-5285^^ นี่ก็หวาน…

เมื่ออิ่มหนำสำราญกันดีแล้ว เดินทางต่อครับ ไม่ไกลจาก Cuckoo Restaurant นัก  พวกเราไปหยุดแวะให้อาหารนกระหว่างทางที่  Dandenong Ranges National Park ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังเกาะฟิลลิป เพื่อชมความน่ารักของกองทัพนกเพนกวินตัวน้อยที่จะยกพลขึ้นบกยึดหัวหาดในตอนค่ำ 

IMG_5336

นกพวกนี้คงคุ้นเคยกับมนุษย์เป็นอย่างดีจึงกล้าบินเข้ามาใกล้ ๆ

IMG_5308นกมาจิกกินอาหารจากในมืออย่างแสนรู้
IMG_5338สีเหมือนถูกย้อม IMG_5312เจ้าตัวนี้จิกนิ้วก้อยขวาผมจนได้เลือด
IMG_5305ก็เลยกล้า ๆ กลัว ๆ ที่จะให้อาหารมันอีกรอบ IMG_5325สองตัวนี่เข้ามาจิกกินอาหารอยู่ใกล้ ๆ

หลังจากชมความน่ารักและแสนรู้ของนกป่าพวกนี้ได้ครู่ใหญ่ ก็ได้เวลาเดินทางต่อครับ  เป้าหมายสุดท้ายของวันนี้คือ เกาะฟิลลิป” แต่ก่อนที่จะเดินทางไปถึงเกาะฟิลลิป  พวกเราแวะเข้าไปเยี่ยมชม และชิมไวน์กันที่ “The Gurdies Winery” ระหว่างทาง 

พื้นที่ที่เราเดินทางผ่านนี้ตั้งอยู่ในแนวของ “Yarra Valley” ซึ่งมีไร่องุ่นจำนวนมาก เป็นแหล่งที่มีชื่อเสียงด้านการผลิตไวน์ดีมีคุณภาพชั้นเลิศ และเป็นที่รู้จักดีของ  Australia  (ไวน์ชื่อดังของ Australia ส่วนใหญ่ผลิตขึ้นในแถบนี้ครับ) เราจะแวะชิมไวน์กันที่ The Gurdies Winery  กันครับ

IMG_5351บรรยากาศใน The Gurdies Winery IMG_5363สามีภรรยาเจ้าของโรงไวน์ท่าทางใจดี

แหม่มเจ้าของโรงไวน์ใจดีมากครับ บรรจงรินไวน์ให้ลูกค้าลองชิมดูอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เปิดไวน์ขวดแล้วขวดเล่า  เห็นเพื่อน ๆ พี่ ๆ หลายคนอุดหนุนแหม่มใจดีด้วยการซื้อไวน์กลับไปฝากญาติสนิทมิตรสหายกันคนละขวด 2 ขวด ไม่กล้าซื้อเยอะกลัวจะหนักกระเป๋าตอนขึ้นเครื่องกัน  ผมหลวมตัวซื้อไวน์ติดมือมา 3 ขวด ตั้งใจจะเอาไปฝากผู้บังคับบัญชา ลืมนึกไปว่า ความจริงไวน์ Australia หาซื้อได้ง่ายในแถบจังหวัดภาคใต้ แถมซื้อมาก็หนักกระเป๋าตอนขึ้นเครื่องอีก…  (ไม่เป็นไร ซื้อมาแล้ว)

แหม่มรินไวน์ให้โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

IMG_5374-2

IMG_5369ชิมไวน์กันใหญ่
IMG_5385ไร่องุ่นข้าง ๆ โรงไวน์

ก่อนที่ นทน./นตน. จะเมาแอ๋อ้อแอ้กันไปเสียก่อน ก็ต้องถึงคราวโบกมือลาสองสามีภรรยาเจ้าของโรงไวน์ใจดี เพื่อเดินทางไปยังเกาะฟิลลิป ชมฝูงนกเพนกวินยกพลขึ้นบกยึดหัวหาดที่เกาะฟิลลิปในตอนค่ำ  ทั้ง ๆ ที่หลายคนสมัครใจขออยู่ชิมไวน์ที่นี่ต่อ พวกเราใช้เวลาเดินทางจาก The Gurdies Winery ถึงเกาะฟิลลิปประมาณ 1 ชั่วโมงครับ เดินทางถึงเกาะฟิลลิปเอาประมาณ 5 โมงเย็นแล้ว

IMG_5401-1ทิวทัศน์ระหว่างทางไปเกาะฟิลลิป IMG_5412พ้นสะพานนี้ก็ถึงเกาะฟิลลิปแล้ว

เกาะฟิลลิป  “Phillip Island” เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของ Australia เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของเพนกวินพันธุ์ตัวเล็กของAustralia ธรรมชาติของนกเพนกวิน จะออกไปหากินในท้องทะเลในตอนกลางวัน และเมื่อหาอาหารเสร็จแล้วก็จะกลับขึ้นฝั่งในตอนค่ำ   อาหารของเพนกวินคือปลา กุ้ง ปลาหมึก เป็นต้น  

imageH0visionsofvictoria1052944-302ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวPhillip Island Nature Park
ภาพจากเว็บไซต์: http://www.travelvictoria.com.au

IMG_5449ภายในศูนย์บริการนักท่องเที่ยวฯ IMG-5427นกเพนกวินสตัฟฟ์
IMG-5439โซนขายของที่ระลึก IMG_5436ตุ๊กตาเพนกวิน

ในการชมความน่ารักของเพนกวินนั้น ทาง Phillip Island Nature Park ได้สร้างอัฒจรรย์ไว้สำหรับให้บริการนักท่องเที่ยวไปนั่งชมความน่ารักของ เพนกวินที่บริเวณชายหาด จำกัดบริเวณนักท่องเที่ยวไว้เฉพาะที่อัฒจรรย์เท่านั้น ห้ามเดินลงไปที่ชายหาด และห้ามถ่ายภาพโดยใช้แฟลชหรือใช้ไฟฉายหรือแสงไฟส่องไปที่บริเวณที่นกเพนกวิน กลับขึ้นฝั่งโดยเด็ดขาด เนื่องจากแสงแฟลชหรือแสงไฟที่ส่องไป จะรบกวนเพนกวิน จริง ๆ แล้วก็ต้องเก็บกล้องไว้ไม่ให้นำออกมาถ่ายภาพด้วยครับ

06อัฒจรรย์ชมนกเพนกวิน ภาพจากเว็บไซต์: http://www.travelvictoria.com.au

ทึ่งครับ ที่รัฐบาล Australia บริหารจัดการทรัพยากรทางธรรมชาติและแหล่งท่องเที่ยวโดยยึด “ทรัพยากรธรรมชาติ” เป็นศูนย์กลาง ไม่ใช่ยึด “นักท่องเที่ยว” เป็นศูนย์กลาง  บางประเทศปล่อยปละละเลยให้นักท่องเที่ยวนำสุราอาหารเข้าไปดื่มกินจนเมามาย ร้องรำทำเพลงเป็นลิงเป็นค่างอยู่ในเขตป่าสงวน รบกวนการใช้ชีวิตอย่างปกติสุขของสัตว์ป่า  ซึ่งส่วนหนึ่งก็เกิดจากตัวนักท่องเที่ยวเองด้วยที่ขาดจิตสำนึกหวงแหน ทรัพยากรที่มีค่า

พอพลบค่ำลง แสงอาทิตย์หายลับไปจากขอบฟ้า ชายหาดมีแต่ความมืดและความเงียบสงัด เหลือไว้เฉพาะแต่แสงไฟของอัฒจรรย์บนยอดเสาสูงเท่านั้น ลมพัดแรงยิ่งขึ้นอากาศที่หนาวอยู่แล้ว ก็ยิ่งทวีความหนาวเหน็บยิ่งขึ้นจนเย็นยะเยือกไปถึงขั้วหัวใจ มือผมมเย็นจนชาแทบไม่รู้สึก นักท่องเที่ยวบนอัฒจรรย์นั่งเงียบรอคอยด้วยความอดทน  ทุกสายตาเพ่งมองจับจ้องไปยังบริเวณชายหาด

07

ในที่สุดสิ่งที่ทุกคนตั้งตารอคอยก็มาถึง เมื่อเจ้าเพนกวินตัวน้อยกลุ่มแรกว่ายน้ำกลับจากท้องทะเลเข้ามาที่ชายฝั่ง ครั้งละ 2-3ตัว พอคลื่นซัดมาทีก็กลิ้งกลับลงทะเลไปที เป็นอย่างนี้อยู่หลายรอบ จนในที่สุดก็เพียรพยายามว่ายน้ำกลับขึ้นฝั่งจนได้ พอรวมกลุ่มกันเป็นสิบ ๆ ตัวแล้วก็ยกขบวนเดินพาเหรดมาตามชายหาดกลับรัง เรียกเสียงหัวเราะด้วยความชื่นชมจากนักท่องเที่ยวเป็นระยะ ๆ ทีเดียว (ภาพเพนกวินกำลังเดินพาเหรดยกพลขึ้นบกจาก:
http://www.travelvictoria.com.au)

ผมไม่เสียดายเลยครับ ที่ไม่สามารถถ่ายภาพนกเพนกวินที่กำลังยกพลขึ้นบกเหล่านั้นได้ ดีใจเสียอีกที่พวกมันจะได้อยู่อย่างสงบสุขไม่ถูกรบกวนจากมนุษย์  ถึงจะถ่ายภาพไม่ได้ ผมก็อาจจะมีโอกาสได้มาเยือนที่นี่อีกได้ในอนาคต หรืออย่างน้อยผมก็สามารถสืบค้น หาภาพ “เพนกวินที่เกาะฟิลลิป” จากอินเตอร์เน็ตผ่านทาง Google ได้อย่างไม่ยากเย็น และที่สำคัญที่สุด ผมได้เก็บภาพความประทับใจของ “เจ้าเพนกวินน้อย” สัตว์โลกผู้น่ารักเหล่านั้นไว้เป็นความทรงจำที่น่าประทับใจของผมแล้ว

หลังจากนั่งลุ้นจนตัวโก่งเอาใจช่วยจนเจ้าเพนกวินตัวน้อยว่ายน้ำเข้าฝั่งกลับถึง รังได้อย่างปลอดภัยแล้ว พอสมควรแก่เวลา ได้เวลาอาหารมื้อค่ำ วันนี้พวกเราจะได้ลิ้มรสชาติอาหารทะเล Australia กันบ้างครับเดินทางมาเยือนประเทศที่เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก  ทั้งที (ถ้าไม่นับกรีนแลนด์) ต้องชิมอาหารทะเลของซีกโลกใต้ เป็นโอกาสดีที่จะได้ชิมกุ้งมังกร (คนละครึ่งตัว) ที่ภัตตาคาร “San Remo Chinese” (อาหารจีนอีกแล้ว) ภัตตาคารแห่งนี้ตั้งอยู่บนฝั่งแผ่นดินใหญ่ไม่ไกลจากเกาะฟิลลิปนัก

IMG_5456เอ้า! Cheers IMG_5463ไฮไลต์มื้อนี้ "กุ้งมังกร" คนละครึ่งตัว ^^

อาหารมื้อนี้ถึงแม้จะเป็นอาหารจีน แต่ก็เน้นเป็นอาหารทะเล มีทั้งปลิงทะเล แมงกระพรุน ปลา ฯลฯ พิเศษสุดของมื้อเป็น  “กุ้งมังกร” จากทะเล Australia ถึงแม้ตัวจะไม่ใหญ่มาก แต่มันก็คือกุ้งมังกรละครับ ^^ 555 เสร็จจากอาหารมื้อค่ำก็เดินทางกลับเข้า Melbourne พักผ่อนตามอัธยาศัย พรุ่งนี้วันสุดท้ายใน Australia เรามาว่ากันต่อครับ

RevolverMap