Leh in my memory...

As we are entering the new era, where nations are becoming one community, I, as well as my PTI 27th session’s member friends have the mutual vision that we, and other friends of the Asia-Pacific nations, will become closer than ever.
ยินดีต้อนรับสู่โลกใบเล็กของผม โลกของคนทำงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ชีวิตในวัยเด็กผมเคยใฝ่ฝันอยากจะเป็นสถาปนิก แต่เมื่อยามต้องเลือกทางเดินของชีวิต ผมกลับเลือกที่จะสวมเครื่องแบบสีกากี โดยสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารเหล่าตำรวจ หลังสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ผมเลือกลงบรรจุรับราชการในตำแหน่งพนักงานสอบสวนที่อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี ชีวิตราชการวนเวียนโยกย้ายอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตลอดมา ถึงแม้จะอยู่ห่างไกลจากศูนย์อำนาจรัฐ และการทำงานในหลายโอกาสอาจพบพานกับอุปสรรคภยันตรายต่าง ๆ บ้าง แต่ที่นี่คือ “บ้าน” ผมจึงยังทำงานอยู่ที่นี่ ทุกวันนี้ผมมีความสุขกับงานที่ทำอยู่เสมอ...

Sunday, May 18, 2025

ขอเพียง…เราเห็นว่า เรายังเป็น “มนุษย์” เหมือนกัน

 วันนี้…

ผมได้มีโอกาส ได้รับเกียรติเป็นนายแบบสมัครเล่น ไปร่วมเดินแบบการกุศลในงานกาชาดจังหวัดนราธิวาส  ร่วมกับท่านผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ และข้าราชการจากอำเภอต่าง ๆ

ท่ามกลางบรรยากาศของรอยยิ้ม… และความหวัง



แม้เราจะต่างภาษา ต่างศาสนา หรือแม้แต่สีผิว

แต่มันก็ยังมีบางอย่างที่เหมือนกัน

“ผมเหมือนคุณ… และคุณก็เหมือนผม”

เราเหนื่อยมาด้วยกัน ผ่านทุกข์มาด้วยกัน และยังมีหวังร่วมกัน

ขอให้บทเพลงนี้

Maher Zain - Nas Teshbehlena

ปลอบประโลมหัวใจของคนชายแดนใต้ทุกคน

และเตือนใจว่า… เราไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทั้งหมดl

ขอเพียง…เราเห็นว่า เรายังเป็น “มนุษย์” เหมือนกัน

******************************************


Yes, among you, there are people like us

The same soul and blood

Our hearts rest instantly

With those who truly resemble us


The words are the same

Even the care is the same

A bond like this can never be forgotten

Not even for a single day


Even if our colors and looks are different

It still means I look just like you

And we’re brought together by

Beautiful things, definitely


Come on, let’s reach out our hands

Without saying a word

The most beautiful moments

Come to mind

Even when the burden feels like mountains

We forget it immediately


You and I…

Some people just bring you comfort instantly

They take your heart in silence

They steal you away without a word


Because within you,

There are pieces of them

In your life, they are few

Those who will stay with you tomorrow


Even when you disagree,

You’ll find yourselves agreeing

Even if our colors and looks are different

I still look just like you


And we’re brought together by

Beautiful things, definitely

Come on, let’s reach out our hands

Without saying a word


The most beautiful moments

Come to mind

Even when the burden feels like mountains

We forget it immediately


You and I…

No matter what we go through

It’s hard to feel joy

Unless it’s with you


Every sweet moment

Is made sweeter by being together

What in this world

Could compare to a moment with you?


As long as you’re by our side

What else matters?

We’ve always wished

To feel true happiness from the heart


Even if years separate us

Stay close

Because we could hardly believe

We finally found

People who are just like us

People who carry a part of us

******************************************

#ความเข้าใจในศาสนาและประวัติศาสตร์คือหนทางในการดับไฟใต้

#โตฮัน: #เสียงศรัทธาใต้สายลมโบราณแห่งแหลมมลายู

 #โตฮัน: #เสียงศรัทธาใต้สายลมโบราณแห่งแหลมมลายู



เหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดขึ้นและดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องมาอย่างยาวนานนับร้อยปีแล้ว


ในวันนี้…เมื่อเรามองไปยังปลายด้ามขวานของแผนที่ประเทศไทย ที่ชายแดนใต้ เราจะพบกับเรื่องราวที่เต็มไปด้วยบาดแผลและความเจ็บปวด


เสียงปืน เสียงระเบิด เสียงร้องไห้ของผู้คน

เป็นเสียงที่ลอยปะปนอยู่กับสายลมที่พัดผ่านนราธิวาส ยะลา และปัตตานี มาเนิ่นนาน


บางคนบอกว่านี่คือการต่อสู้เพื่ออัตลักษณ์ บ้างก็บอกว่านี่คือการก่อการร้าย (Terrorism)  


นักการทหารบอกว่า นี่เป็นรูปแบบหนึ่งของความขัดแย้งที่เรียกว่า “สงครามอสมมาตร (Asymmetric Warfare)”  เอ็นจีโอบางคนบอกว่านี่คือรอยแผลของประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยสมาน  


มีบางคนพยายามโยงให้เป็นเรื่องของความขัดแย้งทางศาสนา


แต่ไม่ว่ามุมมองไหน…ความจริงก็คือ ลูกหลานของดินแดนเดียวกัน กำลังหันอาวุธเข้าหากันเอง


ในวันที่ผู้คนลืมไปแล้วว่า…

ใต้ความต่างของภาษา ศาสนา หรือสายเลือดที่เขียนใหม่

พวกเขาเคยมีบรรพบุรุษร่วมกัน  พวกเขาเคยมีหัวใจเดียวกัน


ในความคิดของผม   ถ้าเราอยากเข้าใจหัวใจของนักสู้เหล่านั้นจริง ๆ  เราคงต้องถอยหลังกลับไปไกลกว่ายุคล่าอาณานิคม  ให้ไกลกว่าการประกาศเขตแดน ไกลกว่าการแบ่งเส้นศาสนา


เราต้องกลับไปดู…ถึงวิธีคิดถึงโลก วิธีมองชีวิตของปู่ย่าตายายรุ่นโบราณที่ยังไม่มีเส้นขีดแบ่งชาติพันธุ์บนแผ่นดิน


เราต้องกลับไปฟังเสียงกระซิบของศรัทธาเดิม

ศรัทธาที่เรียบง่าย  ศรัทธาที่ไม่มีใบหน้าชัดเจน

ศรัทธาที่เรียกขานสิ่งสูงสุดด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุดคำหนึ่งในโลกมลายูว่า


“#โตฮัน”


******************************************


เราคงจะลืมเลือนกันไปแล้ว ว่าก่อนที่ศาสนาใหญ่ ๆ จะเดินทางมาถึงที่นี่  ก่อนที่พระอินทร์ พระพรหม หรือแม้แต่อัลลอฮฺจะถูกเอ่ยนามในแผ่นดินนี้


คนรุ่นก่อนหน้าเราหลายพันปี

เขามีศรัทธาในศาสนาโบราณของเขาอยู่แล้ว


ย้อนกลับไป ราวศตวรรษที่ 1 ถึงศตวรรษที่ 6

ในพื้นที่กว้างไกลที่วันนี้คือ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง สตูล สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ต่อเนื่องลงไปถึง กลันตัน ตรังกานู ในมาเลเซีย และไกลออกไปถึง สุมาตราตอนเหนือ  มีผู้คนที่ดำรงชีวิตอย่างเรียบง่าย…อยู่กับทะเล ป่าเขา ลำน้ำ และท้องฟ้า


ในโลกของพวกเขา…

สิ่งสูงสุดที่พวกเขาเงยหน้ามอง และก้มหน้ากราบ…

ไม่ได้มีรูปร่างแบบที่เราเห็นในภาพวาดยุคหลัง

ไม่มีวัด ห้องโถง ไม่มีมหาเทวาลัย ไม่มีบทสวดที่ต้องท่องจำ


พวกเขาเรียกสิ่งนั้นง่าย ๆ ว่า “#โตฮัน”


******************************************


โตฮันของพวกเขา

ไม่ได้อยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้า

โตฮันอยู่ในสายฝนที่โปรยลงมาในวันที่ท้องนาแห้งผาก

อยู่ในลมเย็นที่พัดมาหลังพายุใหญ่

อยู่ในแม่น้ำที่หล่อเลี้ยงชีวิต

อยู่ในเงาของต้นไม้ใหญ่ที่ยืนต้นมานานกว่าชั่วอายุคน


มีแต่สายลมที่พัดเบา ๆ เหมือนกระซิบว่า


“ข้าอยู่กับเจ้าเสมอ ตั้งแต่เจ้าหัวเราะครั้งแรก จนถึงลมหายใจสุดท้ายของเจ้า”


******************************************


และเมื่อเราย้อนลงลึกไปกว่านั้น

จะพบว่าความเชื่อเรื่องโตฮัน ไม่ได้อยู่ลำพัง


โตฮัน…

คือสายเดียวกับที่ผู้คนในอุษาคเนย์เรียกขานว่า “แถน” หรือ “ผีฟ้า”  เป็นเทพเจ้าผู้สูงสุดบนฟากฟ้า


เป็นเสียงเดียวกับศรัทธาที่ไหลเวียนอยู่ในวัฒนธรรมของไท มลายู ลาว และเขมรโบราณ


คำว่า “โตฮัน” (Tuhan) ในภาษามลายู แปลว่า “เทวดาผู้ยิ่งใหญ่”  และในภาษามลายู–อินโดนีเซียโบราณ คำว่า “ปาริ” (pari) ก็หมายถึงเทวดาหรือวิญญาณนางไม้ เสียงนั้น…เมื่อเดินทางมาเป็นภาษาไทย  จึงกลายเป็นคำว่า “ผี” (phi) ที่เรารู้จักกันจนถึงทุกวันนี้


ในอดีตกาล  การบูชาผีฟ้า การฟ้อนลำผีฟ้า รวมถึงพิธีมะโย่งในคาบสมุทรมลายู ล้วนสะท้อนรากศรัทธาเดียวกันนี้


ศรัทธาที่ไม่เคยหายไป  แม้เวลาจะเปลี่ยนชื่อเสียงเรียกขานไปกี่ครั้งก็ตาม


******************************************


แล้ววันหนึ่ง…ศาสนาฮินดู–พุทธจากชมพูทวีปก็ค่อย ๆ เดินทางมาพร้อมเรือสินค้า


เริ่มจากปลายศตวรรษที่ 6 ต่อเนื่องถึงศตวรรษที่ 7 และ 8


เทพเจ้าที่มีรูปกายชัดเจน เริ่มมีบทบาทในตำนานที่เล่ากันใต้ต้นไม้  มีชื่อใหม่เกิดขึ้น — พระพรหม พระอินทร์ พระวิษณุ พระศิวะ


แต่ถึงกระนั้น…แก่นแท้ในหัวใจของผู้คนก็ยังไม่เปลี่ยน

โตฮันยังคงอยู่  แค่สวมเสื้อผ้าใหม่ แล้วเปลี่ยนชื่อเรียก


******************************************


อีกหลายร้อยปีต่อมา  ศาสนาอิสลามเดินทางมาถึงฝั่งมลายูในศตวรรษที่ 15  ด้วยเรือพ่อค้า ด้วยถ้อยคำที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง


“#ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺและมูฮัมมัดเป็นศาสนทูตของพระองค์”


คนที่เงยหน้ามองฟ้า ก้มหน้ากราบพื้นดินมาแต่โบราณ

ไม่ได้รู้สึกแปลกแยกกับถ้อยคำนี้ เพราะในหัวใจพวกเขา โตฮันที่อยู่ในสายลมและฝน ก็เป็นพระเจ้าที่ไม่มีรูป ไม่มีตัวตนอยู่แล้ว


“โตฮัน” เปลี่ยนนามใหม่…เป็น “อัลลอฮฺ”

ในบทสวดขอดุอาอฺที่ก้องอยู่ในมัสยิดยามรุ่งอรุณ


แต่สายลม ฝน และแผ่นดิน…ยังคงโอบอุ้มพวกเขาอยู่เหมือนเดิม


******************************************


#หมายเหตุ   บ้านลำธาร์ ตำบลโคกสัก อำเภอบางแก้ว จังหวัดพัทลุง  หมู่บ้านที่ผมเติบโตมา  ยังมีคำศัพท์ภาษามลายูหลงเหลืออยู่ในชีวิตประจำวันอีกหลายคำ


ผมรู้จักคำว่า “โตฮัน” ตั้งแต่ยังเด็ก  แต่ด้วยความเป็นเด็ก ด้วยความไม่รู้ จึงได้ยินแล้วออกเสียงเป็น “โต๊ะวัน” อย่างนั้นเอง — ซึ่งหมายถึงอัลลอฮฺ


จนเมื่อได้ศึกษาค้นคว้า จึงได้รู้ว่า… ”โต๊ะวัน“ ที่ผมได้ยินมาตั้งแต่เด็ก คือชื่อของเสียงกระซิบเบา ๆ ของศรัทธาโบราณที่ยังหายใจอยู่ในสายลมของชีวิตเราทุกคน


#ความเข้าใจในศาสนาและประวัติศาสตร์คือหนทางในการดับไฟใต้


******************************************


“ใต้สายหมอกที่โอบกอดผืนป่า และเหนือขอบฟ้าที่ทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุด โตฮันยังคงดำรงอยู่อย่างเงียบ ๆ พร้อมทุกชีวิตที่เติบโตบนแผ่นดินนี้”

วันนี้ที่ตันหยงลิมอ — มัสยิดแห่งความเข้าใจ (9 พ.ค.2568)

 วันนี้ที่ตันหยงลิมอ — มัสยิดแห่งความเข้าใจ (9 พ.ค.2568)



วันนี้…(9 พ.ค.2568) ผมชวนผู้ใต้บังคับบัญชาไปร่วมละหมาดวันศุกร์ที่ มัสยิดตันหยงลิมอ


มัสยิดแห่งนี้ตั้งอยู่ในหมู่บ้านที่หลายคนมองว่าเป็น “พื้นที่สีแดง”  แต่สำหรับผม  มันคือพื้นที่แห่งการสร้างความเข้าใจ และโอกาสที่จะได้เริ่มต้นบทสนทนาใหม่ ระหว่างตำรวจกับพี่น้องมุสลิม


ในปี 2548 ที่นี่เคยเกิดเหตุการณ์สะเทือนใจขึ้น

เมื่อนาวิกโยธิน 2 นายถูกประชาชนรุมทำร้ายจนเสียชีวิต


คนในพื้นที่เล่ากันว่า ความไม่เข้าใจกันระหว่างเจ้าหน้าที่กับชาวบ้านในช่วงเวลานั้น  ผสมกับข่าวลือ ความหวาดระแวง และความโกรธฝังลึกที่ไม่มีใครพูดออกมา  มันระเบิดออกมา…และทิ้งรอยแผลไว้ในความทรงจำของทั้งสองฝ่าย


ผมเองตั้งใจจะมาละหมาดที่นี่หลายครั้งแล้ว

แต่ด้วยภารกิจมากมาย จนวันนี้ถึงได้มีโอกาสมาด้วยหัวใจที่พร้อมจะรับฟัง


ก่อนละหมาด ผมให้น้องตำรวจที่เป็นมุสลิมเข้าไปประสานกับโต๊ะอิหม่าม  ท่านยิ้มและบอกว่า “ยินดีอย่างยิ่ง”  จากนั้นโต๊ะอิหม่ามก็ลุกขึ้นประกาศกับพี่น้องที่มาร่วมละหมาดว่า


“วันนี้มีผู้กำกับกีตอ (ผู้กำกับของเรา) มาร่วมละหมาดและจะพูดคุยกับพวกเราหลังละหมาด”


หลังจากคุตบะห์จบลง และเราละหมาดเสร็จ โต๊ะอิหม่ามส่งสัญญาณให้ผมลุกขึ้นพูด


ผมเริ่มต้นด้วยการแนะนำตัวแบบบ้าน ๆ

เล่าถึงความเป็นมาของนามสกุล “ยีหวังกอง”

ซึ่งเป็นสายเลือดลูกหลานแม่ทัพนายกองชาวมลายูจากรัฐตรังกานู


จากนั้นผมเล่าเรื่องภัยใกล้ตัว

เรื่องมิจฉาชีพที่โทรมาหลอกคนด้วยกลอุบายสารพัด ใช้ความโลภ  บางรายใช้เสียงข่มขู่ ใช้ความไม่รู้ของเหยื่อ ใช้ความรัก  บางรายถึงกับสร้างอารมณ์หลอกลวงทางเพศ  เพื่อหวังผลประโยชน์ หลอกให้เราโอนเงิน และได้ไปซึ่งทรัพย์สิน


ผมเล่าว่าพวกเราไม่อยากให้ใครในพื้นที่ต้องตกเป็นเหยื่อของพวกมิจฉาชีพเหล่านี้อีกต่อไป


จากนั้นผมก็เล่าเรื่องดี ๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นที่ สภ.ระแงะ

เราเพิ่งได้รับตำรวจรุ่นใหม่มาอีก 22 นาย

และทั้งหมดนี้ — คือลูกหลานชาวมลายู ที่เติบโตขึ้นมาเพื่อรับใช้บ้านเกิดของตน


หลายคนทำหน้าสงสัย


ผมจึงขยายความว่า

ในจำนวนนี้ มี มลายูมุสลิม อยู่ 6 นาย

ที่เหลือเป็น ไทยพุทธ อีก 16 นาย

ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดพัทลุง สงขลา ตรัง และจังหวัดอื่น ๆ อีกหลายจังหวัดในภาคใต้


ผมอธิบายต่อว่า พวกเขาเหล่านี้คือลูกหลาน ชาวมลายูพุทธ จากอาณาจักรมลายูโบราณศรีวิชัย ที่ถูกกลืนกลายเป็นไทยพุทธ ตลอดระยะเวลาหลายร้อยปีในประวัติศาสตร์ของแหลมมลายู


ชาวมลายูพุทธ บางกลุ่มถูกรวมเข้ากับวัฒนธรรมสยาม จนกลายเป็น “ไทยพุทธ” ในวันนี้


ส่วน มลายูมุสลิม ในพื้นที่อื่น ๆ แม้จะรักษาศรัทธาไว้ได้  แต่ก็ต้องแลกกับการสูญเสียอัตลักษณ์ ภาษามลายูดั้งเดิมไป


ผมเพียงจะสื่อว่า


เราเคยเป็นหนึ่งเดียวกันมาก่อน และเราก็สามารถกลับมาเข้าใจกันได้อีก


ก่อนจะจบ ผมพูดเบา ๆ ว่า


มีสถานที่ราชการ 2 แห่งที่คนมักจะไม่อยากไป ก็คือ

“โรงพัก” กับ “โรงพยาบาล”  เพราะไปทีไรก็มักจะ “ซาเก๊ะปาลอ” (แปลว่า “ปวดหัว” หมายถึง มีเรื่องวุ่นวาย ปัญหาจุกจิก) ให้ทุกข์ใจ


แต่วันนี้…ผู้กำกับพาลูกหลานมลายูมาร่วมละหมาด  เพื่อให้พี่น้องได้เห็นหน้า ได้รู้จัก ได้พูดคุยกันไว้


และผมทิ้งท้ายว่า


หากวันหน้าเกิดอะไรขึ้น…ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ต้องกลัว

ตำรวจระแงะ พร้อมรับใช้ทุกคนด้วยหัวใจ และความเข้าใจ


#ความเข้าใจในศาสนาและประวัติศาสตร์คือหนทางในการดับไฟใต้

ประชุมรับน้องใหม่

 8 พฤษภาคม 2568 — เช้านี้



วันนี้ เวลา 09.00 - 11.30 น. ผมจัดให้มีการประชุมบริหารประจำเดือน พฤษภาคม 2568 กับข้าราชการตำรวจ สภ.ระแงะ   ถือเป็นการต้อนรับตำรวจใหม่รุ่นน้อง จำนวน 22 นาย ที่เพิ่งมาบรรจุประจำการครั้งแรกใน สภ.ระแงะ และเป็นการปฐมนิเทศไปในตัว

การประชุมวันนี้ครอบคลุมทุกภารกิจหลัก ตั้งแต่งานกำลังพล นโยบายและแผน การข่าว ป้องกันปราบปราม จราจร สืบสวน สอบสวน ไปจนถึงเรื่องสวัสดิการ สิทธิประโยชน์ การสร้างขวัญกำลังใจให้ตำรวจทุกนาย รวมทั้งการเบิกจ่ายอาวุธยุทธโธปกรณ์ ประจำกายที่จำเป็น

แต่ที่ผมได้เล่าต่อจากห้องประชุมวันนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องระเบียบ หรือวาระงาน

ผมใช้ช่วงท้ายของการประชุมเล่า “เรื่องที่ไม่มีในตำรา” ให้น้อง ๆ ฟัง — เรื่องของอาณาจักรศรีวิชัย ลังกาสุกะ และรัฐปัตตานี ที่เคยรุ่งเรืองในดินแดนแห่งนี้ เพื่อให้เขาได้รู้ว่าผืนดินที่เรายืนอยู่นั้น เคยเป็นศูนย์กลางแห่งอารยธรรม มีศาสนา ภาษา และความศรัทธาเป็นรากลึกของผู้คน

ผมบอกพวกเขาว่า

“#ถ้าเราเป็นคนใต้ #เราก็คือลูกหลานของปู่ย่าตายายจากอาณาจักรศรีวิชัย” และศรีวิชัยในประวัติศาสตร์ไม่ใช่อะไรอื่นเลย  แต่มันคืออาณาจักรของชาวมลายูโบราณ ที่มีทั้งพุทธและฮินดู มีภาษาถิ่น มีการค้าข้ามทะเล มีความรุ่งเรืองที่คนรุ่นหลังแทบจินตนาการไม่ออก

เพราะฉะนั้น ต่อให้วันนี้เราจะมีชื่อสกุลไทย ใช้บัตรประชาชนไทย  หรือแม้แต่ใส่เครื่องแบบตำรวจที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า “สิบตำรวจตรี”  เราก็ยังเป็นทายาทของชาวมลายูอยู่ดี เพราะนั่นคือรากที่แท้ของแผ่นดินนี้

และถ้าเราไม่ลืมรากเหง้า เราก็จะไม่หลงทาง

จากนั้น ผมอธิบายให้น้อง ๆ เข้าใจอีกเรื่อง — เรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตจริงของตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างเลี่ยงไม่ได้

นั่นคือ “#สงครามอสมมาตร (#Asymmetric #Warfare)

ผมอธิบาย โดยยกตัวอย่างสงครามในสมัยโบราณ  สงครามโลกครั้งที่ 1 และ สงครามโลกครั้งที่ 2  แต่นี่ไม่ใช่สงครามที่เรายืนประจันหน้ากับข้าศึกในสนามรบแบบนั้น   “สงครามอสมมาตร” เป็นสงครามที่ไม่เท่าเทียมกัน ฝ่ายหนึ่งแข็งแรงกว่า มีรถราม้าช้าง มีเครื่องบิน มีรถหุ้มเกราะ มีเครื่องแบบ มีเงินเดือน มีเงินค่าเสี่ยงภัย แต่อีกฝ่ายหนึ่งด้อยกว่าไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้  มันคือสงครามที่ศัตรูอาจเป็นคนที่เดินอยู่ข้าง ๆ เรา  ในตลาด ในมัสยิด หรือในโรงเรียน  เป็นคนที่บางครั้งก็เคยเล่นฟุตบอลกับเรามาก่อน แต่วันหนึ่งถูกดึงไปด้วยคำอธิบายอีกแบบ  ด้วยความเจ็บปวดสะสม หรือความเข้าใจที่บิดเบี้ยว

เราไม่ได้สู้กับ “คนชั่ว” เรากำลังทำงานในพื้นที่ที่ความเข้าใจถูกฉีกออกเป็นสองฝั่ง  คนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเราในวันนี้ อาจไม่ใช่ศัตรู  เขาคือประชาชน เขาคือญาติพี่น้องเรา สายเลือดเดียวกันในความหมายของ “#ลูกหลานชาวมลายูอาณาจักรศรีวิชัย“ เช่นเดียวกับเรา  บางคนก็มีความฝัน มีความศรัทธา มีคำว่า “ยุติธรรม” อยู่ในใจไม่ต่างจากเรา แต่เมื่อไม่มีใครอธิบายอดีตให้เขาฟังตรง ๆ เขาก็อาจตีความอนาคตด้วยความแค้น

ประชุมจบ เรากินข้าวเที่ยงด้วยกันแบบพี่น้อง อาหารเที่ยงร่วมกันมื้อแรกที่ สภ. ระแงะ

******************************************

#ความเข้าใจในศาสนาและประวัติศาสตร์คือหนทางในการดับไฟใต้

Wednesday, May 7, 2025

เจ้าบ้านที่แท้จริงของโลกมลายู — หรือแค่ผู้กลัวเงาตัวเอง?

 #เจ้าบ้านที่แท้จริงของโลกมลายู — #หรือแค่ผู้กลัวเงาตัวเอง?


ในขณะที่อดีตนายกรัฐมนตรีแห่งมาเลเซีย ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด ยังคงละเมอถึง “ดินแดนมลายู” ที่ทอดยาวตั้งแต่ปัตตานีถึงสิงคโปร์  พร้อมทั้งโยนความผิดว่า “ประเทศเพื่อนบ้าน” ค่อย ๆ ยึดเอาแผ่นดินของมาเลเซียไปทีละน้อย

คำถามที่คนในโลกแห่งความจริง (ซึ่งตื่นแล้ว ไม่ได้ฝันไป) อยากถามกลับก็คือ…

แล้วทำไมท่านอดีตนายกฯ ไม่เริ่มจากการรวมกับอินโดนีเซียก่อนล่ะครับ?

เพราะหากจะพูดถึง “Tanah Melayu” — แผ่นดินของชนชาติมลายู

อินโดนีเซียนี่แหละคือประเทศที่มี ‘มลายู’ มากกว่าทุกหัวระแหงของมาเลเซีย

มีประชากรมากกว่า วัฒนธรรมลึกซึ้งกว่า และภาษาใกล้เคียงจนแทบจะยกกันไปใช้แทนได้


 - Tanah Melayu: วาทกรรมชาตินิยมแบบชาติพันธุ์ (ethno-nationalism) ที่เชิดชูความเป็น “มลายูแท้” และมีแนวโน้มผลักไสผู้ไม่ใช่มลายู (Bumiputera)

แต่ทำไม Tanah Melayu ถึงไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยชื่อ “Tanah Air”?

คำว่า Tanah Air ในภาษาอินโดนีเซีย แปลว่า “แผ่นดินและผืนน้ำ”

เป็นถ้อยคำที่ประชาชนใช้เรียกประเทศของตนเอง ด้วยความรัก ความผูกพัน และการเสียสละต่อมาตุภูมิ  เป็นแนวคิดที่เปิดรับความหลากหลายของชาติพันธุ์ ศาสนา และภาษา เน้นการอยู่ร่วมกันของทุกกลุ่มบนดินแดนหมู่เกาะ โดยไม่อ้างสิทธิ์ในอดีตเพื่อยึดพื้นที่ใคร


Tanah Air คือมาตุภูมิของทุกคน ไม่ใช่ของชาติพันธุ์ใดชาติพันธุ์หนึ่ง

Tanah Air จึงเป็นวาทกรรมที่มองไปข้างหน้า

ขณะที่ Tanah Melayu ยังจมอยู่กับการยืนยันความเป็นเจ้าของเพียงผู้เดียว

บนแผ่นดินที่มีผู้คนหลากหลาย (Bumiputera)


ดร.มหาเธร์ เคยแสดงท่าทีว่าอยากเห็น “ชาวมลายูรวมเป็นหนึ่ง”

แต่…กลับไม่เคยผลักดันแนวคิด “มาเลย์ Raya” หรือ “มลายูใหญ่” อย่างจริงจัง

เพราะเขารู้ดีว่า ถ้าให้สองชาติรวมกันจริง มาเลเซียจะไม่ได้เป็นผู้นำ

แต่จะกลายเป็น เพียงจังหวัดหนึ่งของ “นูซันตารา”


และนั่นอาจเป็นความกลัวที่ใหญ่กว่าการสูญเสียดินแดน…คือการสูญเสียตัวตนที่ตนเองสร้างขึ้นจากมายาคติ


******************************************

#ความเข้าใจในศาสนาและประวัติศาสตร์คือหนทางในการดับไฟใต้

Tuesday, May 6, 2025

“เลือดเดียวกันยังฆ่ากันเอง” — วาทกรรมชาติพันธุ์ กับความจริงในประวัติศาสตร์มลายู

ในบางคืนที่ไฟยังลุกโชน เสียงปืนในภาคใต้ยังกึกก้อง

เรามักได้ยินคำอธิบายจากผู้ก่อเหตุว่า พวกเขาต่อสู้เพื่อ “ชาติ ศาสนา และมาตุภูมิ”

โดยมีคำว่า “มลายูมุสลิม” เป็นแกนกลางของอุดมการณ์  และวาทกรรมที่ถูกย้ำซ้ำจนกลายเป็นความเชื่อหนึ่งเดียว คือ “สยามคือผู้รุกราน ปัตตานีคือผู้ถูกยึดครอง”

แต่เมื่อเราย้อนกลับไปยังหน้าประวัติศาสตร์ของแหลมมลายู ที่บันทึกไว้ด้วยเลือดและดิน  เราจะพบความจริงบางอย่างที่แตกต่างจากวาทกรรมในสนามรบสมัยใหม่อย่างสิ้นเชิง

******************************************

#อาเจะห์กับไทรบุรี — #เลือดมลายูที่ไม่เคยปรองดอง

ปี ค.ศ. 1619 อาณาจักรอาเจะห์ ซึ่งขณะนั้นคือรัฐมุสลิมที่เข้มแข็งที่สุดในภูมิภาค

ได้ยกทัพบกและกองเรือเข้าตีไทรบุรี (Kedah) อย่างโหดร้าย

เมืองหลวงถูกเผา ราชวงศ์ถูกจับไปเป็นเชลย ชาวบ้านนับหมื่นถูกกวาดต้อน

แม้ทั้งสองรัฐจะเป็นมุสลิม พูดภาษามลายู และมีวัฒนธรรมร่วมกัน

แต่สิ่งที่แยกพวกเขาออกจากกันไม่ใช่ศาสนา — มันคือ “อำนาจ”

นี่ไม่ใช่เหตุการณ์เดียวในประวัติศาสตร์ที่รัฐมลายูรบราฆ่าฟันกันเอง

ยะโฮร์ กับอาเจะห์, ปัตตานี กับตรังกานู, หรือแม้แต่มะละกากับกลันตัน ล้วนมีช่วงเวลาแห่งการขัดแย้ง

บางครั้งเป็นสงคราม บางครั้งเป็นการลอบสังหาร บางครั้งคือการทรยศพันธมิตร

และหากเรามองมาถึงศตวรรษที่ 20–21 ความขัดแย้งเช่นนี้ก็ยังไม่จางหาย

ดั่งที่อาเจะห์เคยต่อสู้ยืดเยื้อกับรัฐบาลกลางมาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 — จากการต้านจักรวรรดิดัตช์ สู่การลุกขึ้นต่อต้านรัฐบาลอินโดนีเซียในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ด้วยอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดนที่ยังตกผลึกอย่างเหนียวแน่น

แม้จะเป็นมุสลิมทั้งสองฝ่าย แต่ด้วยปัจจัยเรื่องอัตลักษณ์ ทรัพยากร และความไม่เป็นธรรม

ขบวนการ “อาเจะห์เสรี” (GAM) จึงถือกำเนิดขึ้นในปี 1976 พร้อมกองกำลังติดอาวุธ รัฐบาลเงา

และแนวทางการเคลื่อนไหวทางการทูตกับต่างประเทศ

กระทั่งก่อนเกิดสึนามิปี 2547 อาเจะห์ยังคงเป็นพื้นที่ขัดแย้งระดับสูง

ที่แม้แต่คำว่า “อุมมะฮฺ” ก็ไม่อาจทำให้ทั้งสองฝ่ายหยุดยิงได้

ความเป็น “มลายูมุสลิม” ไม่เคยการันตีความเป็นหนึ่งเดียว

และความเป็น “อิสลาม” ก็ไม่เคยเป็นเกราะป้องกันไม่ให้คนที่หันหน้าไปทาง “กิบลัต” เดียวกัน ต้องถืออาวุธเข้าหากัน

******************************************

#กรอบอาณาจักรสมัยใหม่ #กับมายาคติของรัฐชาติ

ก่อนยุคจักรวรรดินิยม ดินแดนต่าง ๆ ไม่ได้มีเส้นเขตแดนตายตัวแบบในแผนที่วันนี้ รัฐมลายูในอดีต เช่น ปัตตานี, ไทรบุรี, ยะโฮร์, เปรัก, อาเจะห์  ต่างก็แย่งชิงกันเพื่อความเป็นใหญ่ในภูมิภาค  บางรัฐยอมเป็นประเทศราช บางรัฐหันไปหาจีนหรืออินเดีย บางรัฐแสวงหาอาวุธจากออตโตมัน

ทั้งหมดคือการเล่นเกมการเมืองเพื่อความอยู่รอด ไม่ใช่เพราะใคร “ถูกรุกราน” อย่างเดียว

เมื่อกรุงศรีอยุธยาเข้ามามีบทบาท ก็เป็นเพียงอีกผู้เล่นหนึ่งในกระดาน

ไม่ได้ต่างจากดัตช์ อังกฤษ หรืออาเจะห์

หลายครั้งรัฐมลายูเองก็ขอพึ่งอำนาจสยาม เพื่อคานกับรัฐมลายูอื่น

ไทรบุรีเคยขอให้กรุงเทพฯ ช่วยรบกับพม่า

ตรังกานูเคยส่งทูตเข้าเฝ้าขอรับการคุ้มครอง

และปัตตานีเองก็เคยเข้าร่วมทัพกับสยามในการศึกบางคราว

******************************************

#วาทกรรมแห่งความเจ็บปวด #หรือภาพจำที่เลือกเอง?

แน่นอนว่า ในประวัติศาสตร์ ก็มีเหตุการณ์ที่ฝ่ายสยามใช้กำลังและความรุนแรงเข้าปราบรัฐมลายูทางใต้   มีการกวาดต้อนผู้คนขึ้นไปภาคกลาง  และมีร่องรอยของความเจ็บปวดที่ไม่ควรถูกละเลย (ปู่ย่าตายายของผู้เขียนก็อยู่ในกระแสธารแห่งประวัติศาสตร์ส่วนนี้)

แต่หากเราจะสร้างอนาคตบนฐานของความเข้าใจจริง  เราต้องกล้ายอมรับว่า…

ไม่เคยมีรัฐใดบริสุทธิ์ ไม่เคยมีใครเป็นเหยื่อแห่งความอธรรมอยู่ฝ่ายเดียว

และไม่มีใครเป็นผู้รุกรานตลอดกาล

******************************************

#คำถามสุดท้าย…#ที่ไม่ใช่เพียงของประวัติศาสตร์

หาก “ชาติ ศาสนา และมาตุภูมิ” คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริง

คำถามคือ — ทำไมบรรพบุรุษของรัฐมลายูถึงเคยทำสงครามกันเองโดยไม่ลังเล?

หากคำว่า “มลายูมุสลิม” มีอำนาจเหนือความเป็นมนุษย์

ทำไมสุลต่านแห่งอาเจะห์ถึงสามารถจับสุลต่านแห่งไทรบุรีไปเป็นเชลย

ทั้งที่ต่างก็ละหมาดหันหน้าไปทางเดียวกัน?

******************************************

#ในท้ายที่สุด…

สิ่งที่เราควรต่อสู้ในวันนี้ อาจไม่ใช่การปลดแอกจาก “รัฐไทย”

แต่คือการปลดแอกจาก มายาคติและประวัติศาสตร์ที่เลือกจำ

เพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้เห็นว่า

แผ่นดินนี้ไม่เคยเป็นของใครคนใดคนหนึ่งอย่างแท้จริง

และ…

ไม่มีศาสนาใด…จะชอบใจในเลือดที่หลั่งลง โดยใช้อุดมการณ์เป็นข้ออ้าง


#ความเข้าใจในศาสนาและประวัติศาสตร์คือหนทางในการดับไฟใต้

Sunday, May 4, 2025

รอยยิ้มสุดท้ายของ “น้องเมย์”

 

รอยยิ้มสุดท้ายของ “น้องเมย์”

เช้าวันที่ 10 กันยายน 2567  เรายืนกันอยู่ใต้ชายคาบ้านเก่าๆ ในหมู่บ้านปลักปลา ตำบลโฆษิต อำเภอตากใบ

ท่ามกลางสภาพบ้านที่ขัดสน แต่กลับมีรอยยิ้มเล็กๆ จากเด็กหญิงคนหนึ่ง

“น้องเมย์” เด็กหญิงผิวคล้ำ ใบหน้าน่ารัก และดวงตาใสแจ่ม (ยืนหันหลัง)

เธอเอาแต่ยิ้ม ไม่พูด…ไม่ตอบ

เพราะน้องพิการทางการได้ยินและการพูดมาตั้งแต่กำเนิด


วันนั้น ผมมีโอกาสติดตามไปกับคณะของท่าน ว่าที่ ร.ต.จิรัสย์ ศิริวัลลภ นายอำเภอตากใบ ในขณะนั้น (ปัจจุบันท่านดำรงตำแหน่งปลัดจังหวัดปัตตานี) ไปเยี่ยมเยียนชาวบ้านตามปกติ โดยมีหมอน๊อต สาธารณสุขอำเภอตากใบ และ ทีม รพ.สต.โคกยาง เป็นผู้นำพาไป

ท่านนายอำเภอเห็นว่าเด็กคนนี้ไม่ควรตกหล่นจากระบบการศึกษา

หมอน็อต และเจ้าหน้าที่พยายามพูดคุยกับครอบครัว ช่วยกันโน้มน้าว พูดเกลี้ยกล่อมด้วยความเมตตาและความหวัง  สุดท้าย… “น้องเมย์” ได้ไปเข้าเรียนที่ศูนย์การศึกษาพิเศษตากใบ  ซึ่งอยู่ในพื้นที่โรงพยาบาลตากใบเอง


ไม่นานนัก ครูประจำศูนย์ก็แจ้งข่าวดีว่า

น้องมีพัฒนาการ เริ่มยิ้มมากขึ้น เริ่มรู้จักตอบสนอง และเรียนรู้มากขึ้น

พวกเราเอง…ก็ดีใจเงียบๆ  มันเหมือนต้นกล้าเล็กๆ ที่เพิ่งได้รับแสงแดดแรกของชีวิต


แต่แล้ว…

วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 เวลา 19.45 น.

เสียงปืนจากคนใจร้ายได้พรากทุกอย่างไป

“น้องเมย์” หรือ เด็กหญิงสสิดา จันทร์คง อายุ 9 ปี

เสียชีวิตในบ้านของตนเอง พร้อมปู่และญาติอีกหนึ่งราย

เธอกลายเป็นเหยื่อของเหตุความไม่สงบที่ไร้สำนึก

ไม่มีเวลาแม้แต่จะร้องขอชีวิต — เพราะเธอไม่อาจได้ยินเสียงปืนเลยด้วยซ้ำ

เด็กหญิงที่ไม่เคยพูด… ถูกพรากไปก่อนที่จะได้พูดคำว่า “ครู” หรือ “แม่”


ภาพถ่ายเมื่อวันนั้น — วันที่เราเคยยืนอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน

กลายเป็นภาพสุดท้ายของการพบกัน

เด็กที่ไม่เคยทำร้ายใคร  กลับต้องมารับเคราะห์จากความเชื่อที่บิดเบี้ยว

ที่แยกคนออกจากกันด้วยเส้นแบ่งเขตของชาติพันธุ์ ศาสนา หรืออุดมการณ์ปลอมๆ

หากสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “การต่อสู้เพื่ออัตลักษณ์ หรืออุดมการณ์“

กลับลงเอยด้วยการยิงใส่เด็กหญิงคนหนึ่งในบ้านของเธอเอง


เราอาจต้องทบทวนแล้วว่า ”อัตลักษณ์ หรืออุดมการณ์“ นั้นยังมีความเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่ไหม

รัฐปัตตานีที่อ้างว่าเคยอิสระ — อิสระจริงหรือ?”

 

“#รัฐปัตตานีที่อ้างว่าเคยอิสระ — #อิสระจริงหรือ?”

วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 เวลา 19.45 น.

เกิดเหตุคนร้ายไม่ทราบจำนวน ใช้รถจักรยานยนต์ 3 คันเป็นพาหนะ บุกใช้อาวุธปืนกราดยิงเข้าไปภายในบ้านเลขที่ 1/3 หมู่ที่ 5 ตำบลโฆษิต อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส

ผู้เสียชีวิตมี 3 ราย ได้แก่

 - นายดำ จันทร์คง อายุ 70 ปี

 - ด.ญ.สสิดา จันทร์คง อายุ 9 ปี

 - นายแดง ตุนาสุข อายุ 58 ปี

ผู้บาดเจ็บอีก 2 รายคือ

 - นายภาคีไนย รังเสาร์ อายุ 29 ปี

 - นายเชาว์ จันทร์คง อายุ 44 ปี

เหตุการณ์ความรุนแรงนี้  สะท้อนผลกระทบจาก ความคิดสุดโต่งที่หยิบใช้ประวัติศาสตร์เป็นเครื่องมือบิดเบือนและปลุกปั่นความเกลียดชัง

ในฐานะอดีตผู้กำกับการ สภ.ตากใบ ซึ่งเคยดูแลพื้นที่นี้ด้วยหัวใจ ผมไม่อาจเงียบได้เมื่อเห็นครอบครัวชาวบ้านต้องสูญเสียผู้เฒ่าและเด็กหญิงในคืนเดียวกัน

ความสูญเสียนี้เกิดขึ้นเพราะคนบางกลุ่มยังคงยึดถือความเชื่อว่า “รัฐปัตตานีเคยเป็นรัฐอิสระที่ถูกยึดครองโดยสยาม” และใช้แนวคิดนั้นเป็นข้ออ้างในการสร้างความชอบธรรมต่อความรุนแรง

แต่หากเราศึกษาประวัติศาสตร์อย่างจริงจัง จะพบว่าความเชื่อนี้ไม่ได้ตั้งอยู่บนข้อเท็จจริงที่ครบถ้วน

ก่อนจะมีคำว่า “รัฐปัตตานี” ในความหมายแบบรัฐสมัยใหม่ ดินแดนแถบนี้เคยอยู่ภายใต้อิทธิพลของศรีวิชัย นครศรีธรรมราช สุโขทัย อยุธยา และต่อเนื่องสู่รัตนโกสินทร์ เป็นหัวเมืองที่มีระบบบรรณาการ มีเจ้าเมืองที่ได้รับการแต่งตั้งจากส่วนกลาง และมีบทบาทร่วมในภารกิจปกป้องแผ่นดินไทย

พระยาราชบังสัน(หะซัน) โอรสองค์เล็กองค์สุลต่านสุไลมาน ชาห์ แห่งซิงกอรา เป็นหนึ่งในหลักฐานสำคัญว่า “ชาวมลายูมุสลิม” สายราชวงศ์มลายูบางสาย 

ไม่ได้ถูกลิดรอนอำนาจ แต่ได้รับเกียรติจากราชสำนักให้ทำหน้าที่ปกป้องบ้านเมือง  ท่านเป็นแม่ทัพเรือแห่งกรุงศรีอยุธยา

พระยาพัทลุง ขุนคางเหล็ก (เดิมเป็นมุสลิม) ลูกหลานสุลต่านสุไลมาน ชาห์ อีกท่านหนึ่ง (ท่านเป็นเหลนโต๊ะสูของพระยาราชบังสัน (หะซัน)) พระสหายคนสนิทของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของผู้นำจากแดนใต้ที่มีบทบาทในการกู้ชาติจากพม่าและร่วมสร้างความมั่นคงให้แผ่นดินสยาม

บุคคลเหล่านี้ไม่ได้ถูก “กลืนกลาย” หากแต่ ร่วมเป็นเจ้าของแผ่นดิน โดยมีความเชื่อ ศาสนา และอัตลักษณ์ของตนเองอย่างมั่นคง

การหยิบคำว่า “อัตลักษณ์มลายูมุสลิม” มาใช้เป็นเครื่องมือในการแยกตนออกจากความเป็นไทย จึงไม่ใช่การปกป้องรากเหง้า หากคือการ บั่นทอนมรดกของบรรพชนที่เคยเสียสละเพื่อผืนแผ่นดินนี้

และยิ่งน่าเศร้า…เมื่อความคิดแบบนั้นแปรเปลี่ยนมาเป็นกระสุน ที่ปลิดชีพเด็กหญิง 9 ขวบไปต่อหน้าต่อตาญาติพี่น้องของเธอ

ชายแดนใต้ต้องการสันติสุข ไม่ใช่การตอกย้ำความแค้นโดยใช้ประวัติศาสตร์ที่ถูกตีความแบบด้านเดียว

สิ่งที่เราต้องการวันนี้ไม่ใช่ “รัฐใหม่”

แต่คือ ความเข้าใจใหม่ — ที่ไม่บิดเบือนความจริงของชาติพันธุ์ ศาสนา และประวัติศาสตร์ร่วม

เพราะสุดท้าย…ผู้ที่รักแผ่นดินนี้จริง ย่อมไม่เหนี่ยวไกปืนใส่เด็กไร้เดียงสาในบ้านของตัวเอง


******************************************

โดย พ.ต.อ.ศุภชัช (ยีหวังกอง) ณ พัทลุง ผกก.สภ.ระแงะ | อดีต ผกก.สภ.ตากใบ

#ความเข้าใจในศาสนาและประวัติศาสตร์คือหนทางในการดับไฟใต้

RevolverMap