Leh in my memory...

As we are entering the new era, where nations are becoming one community, I, as well as my PTI 27th session’s member friends have the mutual vision that we, and other friends of the Asia-Pacific nations, will become closer than ever.
ยินดีต้อนรับสู่โลกใบเล็กของผม โลกของคนทำงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ชีวิตในวัยเด็กผมเคยใฝ่ฝันอยากจะเป็นสถาปนิก แต่เมื่อยามต้องเลือกทางเดินของชีวิต ผมกลับเลือกที่จะสวมเครื่องแบบสีกากี โดยสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารเหล่าตำรวจ หลังสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ผมเลือกลงบรรจุรับราชการในตำแหน่งพนักงานสอบสวนที่อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี ชีวิตราชการวนเวียนโยกย้ายอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตลอดมา ถึงแม้จะอยู่ห่างไกลจากศูนย์อำนาจรัฐ และการทำงานในหลายโอกาสอาจพบพานกับอุปสรรคภยันตรายต่าง ๆ บ้าง แต่ที่นี่คือ “บ้าน” ผมจึงยังทำงานอยู่ที่นี่ ทุกวันนี้ผมมีความสุขกับงานที่ทำอยู่เสมอ...

Wednesday, January 27, 2016

Humayun's Tomb



วันนี้ (พุธที่ 27 ม.ค.2559) หลังเลิกเรียน ผมชวนเพื่อนๆ 4-5 คน ไปเยี่ยมชมหลุมฝังพระบรมศพของจักรพรรดิหุมายูง (Humayun's Tomb) กัน สถานที่นี้อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมที่เราพักมากนัก เรียกตุ๊กตุ๊กราคา 100 รูปี ใช้เวลานั่งรถประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึง ค่าผ่านประตูเข้าชมสำหรับชาวต่างชาติปกติ 250 รูปี แต่เช่นเคย ผมแสดงหนังสือเดินทางของประเทศไทยก็ได้ราคา 10 รูปี เท่าชาวอินเดียเช่นกัน (ราคา BIMSTEC)



หลุมฝังพระบรมศพของจักรพรรดิหุมายูง (Humayun's Tomb) เป็นสุสานหลวงที่บรรจุพระบรมศพของจักรพรรดิหุมายูงแห่งจักรวรรดิโมกุลอันยิ่งใหญ่ของอินเดีย ออกแบบโดยสถาปนิกชาวเปอร์เซีย สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2108 (ประมาณ 400 ปีเศษล่วงมาแล้ว) ตรงกับช่วงก่อนเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งแรก ซึ่งจัดว่าเป็นสุสานและสวนแห่งแรกบนอนุทวีปอินเดีย ตั้งอยู่ที่นิซามุดดิน อีสต์ เดลี ใกล้กับป้อมปราการ "ดินา-ปานาห์" (Dina-panah) หรืออีกชื่อหนึ่งว่า "ปุรานากิลา" (Purana Qila) สถานที่แห่งนี้เป็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่แห่งแรกที่ใช้หินทรายสีแดงเป็นวัตถุดิบหลักในการก่อสร้าง ใช้เวลาในการก่อสร้างรวม 7 ปี 



 ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก เมื่อปี พ.ศ. 2536 ได้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์อย่างต่อเนื่องตลอดมาและยังคงดำเนินการเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน นอกเหนือจากอาคารที่เป็นสุสานหลักแล้ว ภายในบริเวณ Humayun's Tomb แห่งนี้ ยังมีอนุสรณ์สถาน สุสานต่างๆ หลายแห่งซึ่งตั้งเรียงรายอยู่ระหว่างทาง ตั้งแต่ประตูทางเข้าหลักทางทิศตะวันตก ยังมีอีกสถานที่หนึ่งซึ่งมีความเก่าแก่กว่าประมาณยี่สิบปี ได้แก่ สุสานของอิซา คาน นิยาซี (Isa Khan Niyazi) ซึ่งเป็นขุนนางชาวอัฟกันในราชสำนักของพระเจ้าเชอร์ชาห์สุรีแห่งราชวงศ์สุรี ซึ่งสร้างในปี พ.ศ.2090 อีกด้วยครับ








สุสานและสวนที่สถาปนิกชาวเปอร์เซียได้ออกแบบไว้ ภาษาฮินดีเรียกว่า จาร์บาค (Charbagh) หรือจตุรภาค  เป็นสวนที่มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ภายในเป็นสี่เหลี่ยมใหญ่มีสี่เหลี่ยมจัตุรัสเล็กหลายอันซ้อนอยู่ ด้วยความงดงามและยิ่งใหญ่ของ Humayun's Tomb นี่เอง เป็นแรงบันแรงดาลใจให้พระเจ้าชาห์ จาฮัน ไปสร้าง “ทัชมาฮาล” ที่เมืองอัครา เพื่อเป็นสุสานที่ระลึกสำหรับพระนางมุมตัส มเหสีสุดที่รัก ซึ่งกลายเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ในเวลาต่อมา


Tuesday, January 26, 2016

India's Republic Day


วันนี้ 26 มกราคม 2559 เป็นวันหยุดราชการของอินเดียอีก 1 วันนะครับ (แอบดีใจได้หยุดเรียน 😁😁😁) 
หลายคนคงพอจะทราบว่าวันนี้เป็นวัน “Republic Day” ซึ่งเป็นวันเฉลิมฉลองครบรอบวันที่รัฐธรรมนูญอินเดียมีผลบังคับใช้แทนรัฐธรรมนูญฉบับเก่า “the Government of India Act (1935)”  เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2493 รัฐธรรมนูญฉบับนี้เองที่มีผลทำให้ประเทศอินเดียเปลี่ยนผ่านจากประเทศอดีตอาณานิคมของอังกฤษไปสู่ความเป็นประเทศสาธารณรัฐและเป็นประเทศเอกราชโดยสมบูรณ์ ส่วนอีกเหตุผลหนึ่ง การที่รัฐบาลอินเดียเลือกวันที่ 26 มกราคม ของทุกปีเป็นวัน “Republic Day” เพราะย้อนหลังกลับไปในวันนี้ (26 มกราคม) เมื่อปี 2473 อีกเช่นกัน เมื่อการประกาศอิสรภาพของอินเดีย (Purna Swaraj) ได้รับการประกาศโดยสภาแห่งชาติอินเดียจากการปกครองของอังกฤษ ปัญหาอุปสรรคและความยุ่งยากต่างๆ ที่บรรพชนชาวอินเดียต่างประสบมาในประวัติศาสตร์คงจะเป็นบทเรียนให้คนอินเดียเองมีความตระหนักและภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์ของชาติตัวเอง รัฐบาลอินเดียจึงจัดให้มีการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการแห่ขบวนแห่รถบุปผชาติต่างๆ จากทุกรัฐและเขตการปกครอง มีการเดินสวนสนามของทหาร 3 เหล่าทัพพร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์ ยานพาหนะ อากาศยาน (ขณะที่กำลังเขียน status อยู่นี้ มีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์พร้อมกันหลายช่อง พิธีสวนสนามกำลังดำเนินไปอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร) จากสีหน้าแววตาและท่าทางของชาวอินเดีย ดูไปแล้วคงจะภาคภูมิใจกับประวัติศาสตร์และความเป็นมาของชาติตัวเอง หากไปถามชาวอินเดียว่ากองทัพมีไว้เพื่ออะไร ชาวอินเดียคงสามารถตอบคำถามนี้ได้อย่างเต็มภาคภูมิ

วันสำคัญแห่งชาติอินเดียมี 3 วันนะครับ วันนี้เป็น 1 ใน 3 ของวันสำคัญแห่งชาติของอินเดีย ส่วนอีก 2 วันที่เหลือคือ “Independence Day” และ “Gandhi Jayanti” 

สำหรับวันนี้ สถานที่ราชการต่างๆ  สถานที่สำคัญ แหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ปิดหมด การรักษาความปลอดภัยตามเส้นทางรวมทั้งสถานที่ต่างๆ มีความเข้มงวดสูงมาก ตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ผู้อำนวยการหลักสูตรฯ ได้แจ้งเตือนแล้วว่าทางที่ดีชาวต่างชาติให้อยู่แต่ในโรงแรมไม่ต้องไปไหนเพราะจะเจอกับสภาพความยุ่งยากต่างๆ วันนี้ผมจึงสงบเสงี่ยมเจียมตัวนอนชมการถ่ายทอดสดขบวนแห่และการสวนสนามของทหาร 3 เหล่าทัพอยู่ที่ห้องพัก ส่วนวิดีโอที่แชร์มาเป็นของปีที่แล้วนะครับ

Sunday, January 24, 2016

Qutub Minar



วันนี้ช่วงบ่าย ผมกับเพื่อนๆ กลุ่มย่อยซึ่งพักอยู่ในโรงแรมเดียวกันชักชวนกันไปเที่ยวชมมรดกโลกที่ Qutub Minar  พวกเราเดินทางด้วยรถไฟฟ้าไปลงที่สถานีรถไฟฟ้า Qutub Minar  ราคาตั๋วเข้าเยี่ยมชม Qutub Minar สำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติราคา 250 รูปี แต่ผมมีบัตรประจำตัวฝึกอบรมของ Aptech จึงได้ลดราคาเหลือเพียง 10 รูปี หรืออาจแสดงหนังสือเดินทางของประเทศไทยก็ได้ราคา 10 รูปี เท่าชาวอินเดียเช่นกัน (ราคา BIMSTEC: The Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation (BIMSTEC) is an international organisation involving a group of countries in South Asia and South East Asia. These are: Bangladesh, India, Myanmar, Sri Lanka, Thailand, Bhutan and Nepal.) 


Qutub Minar ตั้งอยู่ภายในอุทยานโบราณคดี "Mehrauli Archaeological Park" กรุง New Delhi  ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงนิวเดลี เป็นหอสูงที่สร้างด้วยหินทรายแดงและหินอ่อน เช่นเดียวกับสุสานหุมายูน (Humayun's Tomb) เป็นเสาทรงสูงฐานกว้าง 14 เมตรเศษ ส่วนชั้นบนสุดบริเวณยอดเสากว้าง 2.7 เมตร ความสูง 72.5 เมตร (ประมาณตึก 20 ชั้น)


หอคอยแห่งนี้และโบราณสถานรอบๆ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมเมื่อปี 2536 อายุกว่า 800 ปี เป็นต้นแบบของสถาปัตยกรรมแบบอินโด-อิสลามิก ทั่วอาณาบริเวณรายล้อมด้วยซากโบราณสถานที่ครั้งหนึ่งนานมาแล้วเคยเป็นมัสยิดมาก่อน 



ที่บริเวณเหนือประตูซากอาคารสุสานเก่าภายใน Qutub Minar ยังมีถ้อยคำในภาษาอาหรับสลักเอาไว้อย่างวิจิตรหลงเหลืออยู่ว่า  "لا إله إلّا الله  محمداً رسول الله"  อ่านว่า "ลาอิลาฮะอิ้ลลัลลอฮฺ มูฮัมมะดัรรอซูลลุลลอฮฺ" ความว่า "ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ และมูฮัมหมัดเป็นศาสนทูตของพระองค์" ซึ่งเป็นถ้อยคำในการปฏิญาณตัวยืนยันตัวเองของมุสลิมทุกคน อีกทั้งยังเป็นถ้อยคำในการปฏิญาณตนเข้ารับนับถือศาสนาอิสลามของผู้ศรัทธา ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติข้อแรกจาก 5 ข้อของหลักการอิสลาม



การก่อสร้างหอคอย Qutub Minar จนสำเร็จล่วงมาจนถึงปัจจุบันเกิดจากการผสมผสานศิลปะจากความเชื่อ 2 ศาสนา ครั้งแรกในการก่อสร้างเริ่มต้นก่อสร้างจากแนวคิดทางศาสนาฮินดูและครั้งต่อๆ มาถูกก่อสร้างต่อเติมด้วยแนวคิดของศาสนาอิสลาม

ดูเพิ่มเติม: http://newdelhi.thaiembassy.org/th/2012/10/%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%9A%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C-%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%99/

และ

http://xn--l3c8af9b6a4b.com/%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%9B%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C-qutub-minar/

Monday, January 11, 2016

Nizamuddin Mosqe: ศูนยกลางดะอฺวะหฺโลกมุสลิม



#Nizamuddin

ช่วงบ่ายมีเวลาว่างอีกเหลือเฟือ ไม่รู้จะทำอะไร ยังมีสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่ผมตั้งใจไปเยือนให้ได้ ว่าแล้วก็รีบทำธุระส่วนตัวและทำละหมาดจนเรียบร้อยเดินลงมาถามพนักงานที่เคาน์เตอร์ว่า จะไป "Nizamuddin Markaz Masjid" ต้องขึ้นรถเมล์สายอะไร เจ้าตัวคงไม่รู้หรืออาจจะตัดความรำคาญจึงบอกว่า โบกตุ๊กตุ๊กไปจะดีกว่า ผมถามราคาว่าประมาณเท่าไหร่ เจ้าตัวบอกประมาณ 100 รูปี ได้ฟังดังนั้นผมจึงเดินลงออกมาหน้าโรงแรมเพียงลำพังคนเดียวโบกรถ Auto Rickshaw หรือตุ๊กตุ๊ก ปรากฎว่าได้ราคา 60 รูปี ผมรีบตกลงทันทีโดยไม่ได้ต่อรอง 

งานดะวะห์ของโลกมุสลิมห์มีศูนย์กลางระดับโลกที่มัสยิดนิซามุดดีน  ณ กรุงนิวเดลี  ประเทศอินเดีย สถานที่ที่ผมกำลังจะไปเยือนนั่นเอง ผู้ริเริ่มการฟื้นฟูงานดาวะห์คนล่าสุด คือ เมาลานา “อิลยาส” (คำว่าเมาลานาใช้เป็นคำยกย่องผู้ที่มีความรู้ทางศาสนาคล้าย ๆ กับสมณศักดิ์หรือระดับความรู้) เป็นชาวตำบลเมวัต ที่ตั้งของมัสยิดนิซามุดดีน  กระบวนการฟื้นฟูศาสนาอิสลามในอินเดียหลังยุคการล่าอาณานิคมเริ่มต้นฟื้นฟูจากที่นี่จนแพร่กระจายไปทั่วโลก ที่นี่จึงเป็นศูนย์กลางของงานดะวะห์โลกมุสลิมในปัจจุบัน

นั่งรถมาสักอึดใจหนึ่งรถตุ๊กตุ๊กก็มาจอดยังจุดหมายปลายทาง พอลงจากรถยังไม่เห็นว่าสถานที่ที่ผมตั้งใจมานี้มีความยิ่งใหญ่และสำคัญเพียงใด แต่สังเกตเห็นผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมาล้วนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าแบบมุสลิมสวมหมวกีขาวที่คนไทยเห็นกันอย่างชินตาอยู่ทั่วไปในเมืองไทย ผมเดินดุ่มๆ เข้าไปสายตาก็สังเกตสิ่งต่างๆ รอบตัว มีขอทานเดินตาเข้ามาตามตื๊อขอเงินตลอดทางใจนึงก็อยากให้ใจนึงก็กลัวโดนรุมจึงแข็งใจเดินหน้าตาเฉยเข้าไปในซอยซึ่งเป็นทางเข้าของมัสยิด ผมใจร้ายไปมั้ยครับ 😅😅😅

เดินเข้ามาประมาณ 100 -200 เมตร พบอาคารคอนกรีต 7 ชั้นด้านขวามือดูเด่นเป็นสง่า ผมเข้าใจได้ด้วยตัวเองทันทีในขณะนั้นว่า  นั่นคืออาคารส่วนที่เป็น "Nizamuddin Markaz Masjid" ศูนย์กลางดะอฺวะห์ของโลกมุสลิมนั่นเอง ผมหยุดแวะที่นี่เดินเข้าไปข้างในพบว่ามีห้องหับต่างๆ สลับซับซ้อนแลดูยิ่งใหญ่โอฬาร ทำให้พอจะเห็นร่องรอยว่ามีมุสลิมออกจาริกแสวงบุญมาปฏิบัติศาสนกิจที่นี่จำนวนมหาศาลในแต่ละปี ผมกล่าวทักทายโดยการให้สลามใครสักคนหนึ่งที่พบเป็นคนแรกในนั้น ยืนสำรวจภายในอาคารอยู่ครู่ใหญ่ ดื่มด่ำรู้สึกได้ถึงแรงใจความสมัครสมานสามัคคีของผู้คนที่ดั้นด้นมาพักค้างแรมร่วมทำกิจกรรมทางศาสนาที่นี่ แต่เนื่องจากวันนี้ผมแต่งตัวมาเป็นชุดสแล็คไม่เข้าพวกจึงรู้สึกเกรงใจไม่กล้าเข้าไปเดินเพ่นพ่านข้างในจึงเดินออกมา แต่เอาน่า!!  อย่างน้อยในชั่วชีวิตของผมได้ชื่อว่าเดินทางดั้นด้นมาถึงสถานที่ที่มีความสำคัญยิ่งและทรงอิทธิพลของงานดะอฺวะห์ที่สุดของโลกมุสลิมแล้ว

ผมเดินต่อเข้าไปในซอยลึกเข้าไปข้างใน ตลอดสองข้างทางเป็นร้านรวงประเภทต่างๆ ทั้งร้านอาหาร ดารดาษไปด้วยเครื่องประดับ เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มหลากสีสัน สังเกตเห็นมีร้านขายดอกกุหลาบสีแดงอยู่เป็นระยะๆ นึกแปลกใจว่าทำไมจึงมีดอกกุหลาบสีแดงขายจำนวนมากในบริเวณนี้ ตลอดระยะทางประมาณ 200-300 เมตร ผู้คนเดินเบียดเสียดกันอย่างหนาแน่น บางช่วงของถนนในซอยพูดได้ว่าหากเป็นการจราจรก็ถึงขั้นรถติดบรรลัย  ก่อนถึงประตูทางเข้า มีคนชี้มาที่รองเท้าผมหลายครั้ง แรกๆ ยังไม่เก็ต หลายครั้งเข้าก็เริ่มเอะใจ เมื่อเดินเข้าไปถึงประตูทางเข้าจึงรู้ว่าต้องถอดรองเท้าไว้ข้างนอกซึ่งมีผู้ให้บริการรับฝากรองเท้าหลายเจ้าด้วยกัน คนที่ทักผมโดยการชี้มาที่รองเท้ามาตลอดทางคงต้องการให้ผมใช้บริการฝากรองเท้ากับตัวเองกระมัง ผมฝากรองเท้าไว้กับคุณลุงคนหนึ่ง ถามราคาเท่าไหร่ คุณลุงตอบว่า ค่อยให้ตอนขาออกแล้วแต่ผมจะให้? เอาแล้วสิ! ผมนึกคำนวณในใจว่าควรจะให้ค่าฝากรองเท้าเท่าไหร่ดี...

พอเดินเข้าไปข้างในก็พบบริเวณกลุ่มอาคารส่วนที่เป็น "Dargah Hazrat Khwaja Syed Nizamuddin Aulia R.A" ซึ่งมีมัสยิดเล็กๆ อีกหลังหนึ่งซึ่งคลาคล่ำไปด้วยผู้คนทั้งหญิงชาย  เด็กและคนชรา บริเวณหน้ามัสยิดมีอาคารชั้นเดียวหลังคาโดมตั้งอยู่ ใต้หลังคาโดมเป็นกุบูร์ (สุสาน) ของใครสักคนหนึ่งซึ่งคงจะเป็นบุคคลที่เคยมีคุณูปการยิ่งต่อสถานที่แห่งนี้  มีการนำกลีบดอกกุหลาบสีแดงและสิ่งต่างๆ วางบนกุบูร์นั้นในลักษณะคล้ายการสักการะบูชา ผมเพิ่งถึงบางอ้อเรื่องดอกกุหลาบสีแดงในวินาทีนี่เอง มีหญิงชายหลายคนเข้าไปโปรยดอกกุหลาบสีแดงบนกุบูร์แล้วสูญูด (ก้มกราบ) ต่อกุบูร์ ซึ่งเข้าข่ายการกระทำชิริก (การตั้งภาคีต่อพระเจ้าโดยยกสิ่งอื่นขึ้นมาเสมอเหมือนพระองค์) อันเป็นบาปใหญ่ในศาสนาอิสลามอย่างชัดแจ้ง มีกุบูร์เล็กกุบูร์น้อยตั้งเรียงรายอยู่บริเวณหน้ามัสยิด บางกุบูร์มีเทียนซึ่งจุดไว้แล้วปักบูชาอยู่ ผมนึกในใจ ไม่ใช่ล่ะ ไม่ถูกต้อง ก็เลยไม่ได้เข้าไปดูกุบูร์ใต้หลังคาโดมนั้น  เข้าใจได้ว่าคนที่ทำเช่นนั้นอาจทำไปด้วยอวิชชา หรือเจ้าของผู้ดูแลพื้นที่ที่ปล่อยให้มีการกระทำเช่นนั้นเกิดขึ้นอาจมีเหตุผลทางธุรกิจซ่อนเร้นอยู่  ผมเดินอ้อมไปอาบน้ำละหมาดแล้วเข้าไปในมัสยิดเพื่อละหมาดตะฮิยาตุลมัสยิด (ละหมาดสุนัตเคารพให้เกียรติมัสยิด - ละหมาดรายบุคคล) 2 รอกาอัต (ก้มกราบ 2 ครั้ง) ผมละหมาดด้วยความรู้สึกสงบและสบายใจ หลังละหมาดก่อนเดินออกจากมัสยิดผมเดินไปจับมือกล่าวทักทายให้สลามผู้อาวุโส 3-4 คนแล้วเดินออกมา

ผมเดินดูรอบๆ มัสยิดอยู่พักใหญ่ จนมาถึงห้องห้องหนึ่งมีผู้หญิงผู้ชายทั้งเด็ก คนหนุ่มสาวและคนชรา นั่งบ้างนอนบ้างรวมแล้วประมาน 20-30 คน ที่ไม่ปกติคือ คนเหล่านั้นบางคนอยู่ในสภาพวิกลจริตคล้ายผีเข้า มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังทำพิธีที่มีลักษณะคล้ายการไล่ญิน (ภูติผี) สายตาของชายหญิง 2-3 คนที่กำลังคลุ้มคลั่งอยู่เหลือบมาสบตาผมแว่บหนึ่งแล้วเลี่ยงหลบสายตาแสดงอาการคลุ้มคลั่งต่อไปอย่างเป็นระเบียบ สัญชาติญาณตำรวจบอกผมว่า "นั่นคือการแสดง" หลังจากยืนดูต่อสักอึดใจหนึ่งก็รีบเดินออกมาเพื่อจะกลับโรงแรม 

เดินกลับมาเอารองเท้าที่ฝากไว้กับคุณลุงพร้อมกับควักเงินให้ 30 รูปี คุณลุงรับเงินแล้วยิ้มไม่ได้ว่าอะไร ผมขอถ่ายรูปคุณลุงก็แอ็คท่าถ่ายรูปให้อย่างดี ระหว่างเดินออกมาพบร้านอาหารร้านหนึ่งน่าสนใจ มีของหวานด้วย อยากลองชิมดู ปกติตอนอยู่เมืองไทยผมไม่กินข้าว ไม่กินแป้ง  ไม่กินของหวาน อาหารมื้อหลักของผมเป็นผักกับผลไม้ แต่พอมาอยู่อินเดียต้องปรับตัวเองเล็กน้อยเพื่อทดลองชิมอาหารแปลกๆ

ผมสั่งเคบาบ 1 ที่ ไม่รู้ว่าเนื้ออะไรแต่เดาว่าน่าจะเป็นเนื้อแพะ และสั่งของหวานที่เห็นวางอยู่หน้าร้านทั้ง 4 อย่างรวมมาในถ้วยเดียวกัน ชิมเคบาบดูพบว่ากลิ่นเครื่องเทศแรงมาก ส่วนของหวานก็หวานมากรสชาติแปลกดีบอกไม่ถูกว่าเหมือนอะไร กินมากๆ อ้วนแน่ๆ มื้อนี้บิลราคา 170 รูปี ผมขอถ่ายรูปหน้าร้านเจ้าของร้านก็อนุญาตให้ถ่ายด้วยความภาคภูมิใจ 

เดินออกมาเกือบพ้นซอยก็มีขอทานเป็นเด็กผู้หญิงอายุสักประมาณ  6-7 ขวบมาจับแขนพร้อมขอตังค์หน้าตาน่าสงสาร ใจนึงก็อยากให้เพราะสงสาร แต่ใจนึงก็กลัวปัญหาต่อเนื่องจะตามมา  ตอนนั้นเห็นว่าเดินใกล้จะถึงปากซอยแล้ว คงไม่เป็นไร ผมทำท่าล้วงเอาเงินเพื่อจะยื่นให้เด็กหญิงคนนั้น เท่านั้นแหละได้เรื่อง มีขอทานคนอื่นอีก 3-4 คนไม่รู้โผล่มาจากไหน เดินตามมาเป็นพรวน งานเข้าแระ พอให้เงินขอทานคนหนึ่งขอทานคนที่เห็นจะเข้ามาร่วมวงรุมสกรัมด้วย ผมรีบควักเงินให้ขอทานทั้งเด็กหญิง และหญิงชรารวม 4 คนคนละ 10 รูปี แล้วรีบเดินผละออกมา ยังโชคดีที่ไม่มีใครเดินตามออกมาอีก 

ออกมายืนเรียกตุ๊กตุ๊กไป East of Kailash บริเวณ Stop Kailash บล็อก B  ตุ๊กตุ๊กจะเอา 300 รูปีบ้าง 200 รูปีบ้าง ผมต่อรองในราคา 100 รูปีไม่มีใครยอม หนักที่สุดแค่เอ่ยถึงจุดหมายปลายทางยังไม่ทันพูดถึงราคาทุกคนส่ายหัวหมด แปลกใจทำไมขามาถูกจัง ขากลับถึงได้ยเกเย็นแบบนี้ ยืนโบกตุ๊กตุ๊กอีกนับสิบคันก็ไม่มีใครยอมไปส่งเลยจนมาเจอคันสุดท้ายบอกราคา 70 รูปี ผมรีบตกลง ในที่สุดก็ได้กลับมานอนตีพุงที่ห้องพัก เกือบงานเข้าแล้วมั้ยล่ะนายศุภชัช

Friday, January 8, 2016

ละหมาดวันศุกร์



ผมเลิกเรียนเวลา 13.00 น. รีบกลับมาที่โรงแรมเปลี่ยนเป็นรองเท้าแตะเดินไปละหมาด "ญุมอัต" หรือ "ญะมาอะห์" หรือ"ละหมาดวันศุกร์" (แล้วแต่จะเรียก) ที่ "Jama Musjid" ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมนัก ระยะทางประมาณ 500 เมตร




 ตัวอาคารมัสยิดขนาดไม่ใหญ่มาก แต่สัปบุรุษที่มาละหมาดน่าจะถึงพันคนหรือมากกว่านั้น คนล้นทะลักออกมาละหมาดนอกมัสยิด บนดาดฟ้าก็ยังมีคนขึ้นไปละหมาด ยังดีที่สภาพอากาศไม่ร้อนมาก ถ้าฝนตกจะทำยังไง คงจะทุลักทุเลน่าดู นี่คือพลังแห่งความศรัทธาของพี่น้องชาวมุสลิมอินเดีย สมดังหะดิษบทหนึ่งที่ว่า "อัศซอลาตุอิมาดุดดีน" ความว่า "การละหมาดเป็นเสาหลักของศาสนา"

วันแรกของการเรียน



วันนี้เป็นวันแรกของการเรียน เริ่มชั้นเรียนตั้งแต่ 08.30 น.—13.00 น. แล้วเลิกเรียน เวลาเรียนจะเป็นเช่นนี้ไปจนกว่าจะจบหลักสูตร ต้นชั่วโมงเรียนอาจารย์ได้ให้นักเรียนแต่ละคนแนะนำตัวเอง เล่าภูมิหลังของตัวเองให้เพื่อนร่วมชั้นเรียนรู้จักพอสังเขป เป็นชั้นเรียนที่น่าสนุกมากครับไม่เครียด ไม่ต้องกลัวว่าพูดผิดพูดถูก



อาจารย์ชาวอินเดียสอนอย่างเป็นกันเอง พูดภาษาอังกฤษสำเนียงอักฤษได้ชัดเจนเข้าใจง่าย (ทราบว่าอาจารย์ส่วนใหญ่สำเร็จการศึกษาจากประเทศอังกฤษ) เพื่อนร่วมชั้นเรียนรวม 30 คนส่วนใหญ่เป็นบุคลากรภาครัฐจากประเทศต่างๆ  มาจาก 25-30 ประเทศ อาจารย์มีวิธีในการทำ Ice Breaker (ละลายพฤติกรรม) ได้อย่างยอดเยี่ยม  มิตรภาพที่แสนจะอบอุ่นระหว่างเพื่อนต่างชาติต่างภาษาเริ่มก่อตัวขึ้นแล้วครับ

ออกกำลังกายวันละนิดจิตแจ่มใส



เมื่อเช้าตื่นตีห้าครึ่ง หลังจากละหมาดซุบฮฺเสร็จรีบเปลี่ยนชุดไปวิ่งออกกำลังกายใช้เส้นทางถนนรอบๆ โรงแรมซึ่งได้ออกสำรวจไปก่อนหน้านี้แล้ว วิ่งวนประมาณ 3-4 รอบ ระยะทางประมาณ 4 กม.เศษ อากาศกำลังเย็นสบาย  อุณหภูมิขณะวิ่งประมาณ 13 องศาเซลเซียส

Wednesday, January 6, 2016

วันแรกในอินเดีย


ผมเดินทางมาถึงกรุงนิวเดลีเมื่อเวลาประมาณ 12.00 น. ของเวลาท้องถิ่น (ตรงกับเวลาประมาณ 13.30 น.ในประเทศไทย) ด้วยเที่ยวบิน AI333  ขอบคุณอัลลอฮฺ ขอบคุณครูบาอาจารย์  ขอบคุณพี่ๆ เพื่อนๆ ที่ ส่งความปรารถนาดีให้ผม ผมเดินทางมาถึงเดลีด้วยความปลอดภัย

ทางสถาบัน APTECH ส่งคนมารับที่ท่าอากาศยานนานาชาติอินทิรา คานธี พามาส่งที่โรงแรม Stallions ซึ่งเป็นโรงแรมเล็กๆ ตั้งอยู่ที่ย่าน East of Kailash New Delhi ปรากฎว่านอนคนเดียวครับ ได้พักห้องละคน 



หลังเช็คอินเข้าห้องพักเรียบร้อยแล้ว ไม่รอช้าผมรีบออกไปเดินสำรวจบ้านเมือง และสภาวะแวดล้อมรอบๆ โรงแรม
ทันที เดินไปแบบไม่คิดมาก อากาศเย็นนิดหน่อย อุณหภูมิตอนกลางวันประมาณ 22 องศาเซลเซียส  ฝุ่นเยอะมาก พาลจะเป็นภูมิแพ้เอา เสียงแตรรถบีบกันลั่นถนน เป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ ผมเดินตามถนนไปเรื่อยๆ พยายามนึกให้เป็นวงกลมกลับมาที่เดิม เจอมัสยิดอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมนัก มีโอกาสจะมาละหมาดที่นี่สักครั้ง เดินต่อไปเรื่อยๆ  เห็นอะไรน่าสนใจก็แวะดู เห็นของกินหลายอย่างน่าอร่อย แรกๆ ไม่กล้าชิม หลังๆ เริ่มเหนื่อยกระหายน้ำก็เลยสั่งน้ำผักผลไม้ปั่นแบบแยกกากมาลองชิมดูหลายเจ้า แบบไม่เติมน้ำตาล  อร่อยดีครับ กินแล้วไม่อ้วนแน่ๆ  ชิมแบบไม่กลัวท้องเสียเลย (เพราะเตรียมยามาเยอะหลายขนาน) ลองชิมน้ำมะนาวโซดารสชาติพิศดารด้วย


เจอมัสยิดอยู่ไม่ไดลจากโรงแรมนัก




แวะกินไก่ทันดูรี กับแกงกุรหม่าแกะกับโรตีร้านมุสลิมข้างทาง กินเสร็จแล้วไปต่อ ระหว่างเดินไปสายตาก็สอดส่ายพยายามเดินหาร้านกาแฟสดแบบในเมืองไทย หาไม่เจอครับ ตอนนี้เลยมีอาการลงแดงคิดถึงกาแฟนิดหน่อย (กาแฟที่โรงแรมไม่อร่อย) 



ตกค่ำอากาศตอนนี้กำลังเย็นสบายอุณหภูมิประมาณ 19 องศาเซลเซียส วันนี้ยังไม่มีอะไรตื่นเต้นมากครับพักเอาแรงก่อน

RevolverMap