ผมไม่เคยได้ยินชื่อเมือง ““Rishikesh”” นี้มาก่อน ความคิดทริป “Rishikesh” เกิดขึ้นเพียง 2 วันก่อนเดินทางในวันศุกร์เท่านั้น เมื่อบังเอิญเหลือบไปเห็น Kate เพื่อนสาวชาวรัสเซีย นังดูภาพถ่ายทริป Rishikesh ของตัวเองในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ภาพที่เห็นเป็นภาพแม่น้ำสายหนึ่งที่ใสสะอาดมากเสียจนมองเห็นเป็นสีฟ้าใสกระจ่างตา ผมไม่เคยเห็นแม่น้ำใหญ่ที่ใสสะอาดแบบนี้มาก่อนในเมืองไทย จึงถาม Kate ว่าเป็นแม่น้ำอะไรอยู่ที่ไหน ได้คำตอบว่า “แม่น้ำคงคา” ที่เมือง “Rishikesh”
เท่านั้นแหละ ผมรีบค้นหาข้อมูลเมือง Rishikesh ทันที จนได้ข้อมูลว่าเมือง Rishikesh อยู่ในรัฐ Uttarakhand เกือบเหนือสุดของอินเดีย เมื่อดูจากแผนที่ Google Map พบว่าพื้นที่ของรัฐนี้ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในบริเวณเทือกเขาหิมาลัยสลับซับซ้อนเป็นพื้นที่บริเวณต้นน้ำแม่น้ำคงคาติดพรมแดนอินเดีย-จีน น้ำในแม่น้ำคงคาที่ไหลผ่านเมืองฤษีเกศนี้เป็นสีเขียวมรกตแปลกตาเนื่องจากเป็นน้ำที่เกิดจากการละลายของหิมะและธารน้ำแข็งที่ละลายไหลจากเทือกเขาลงมารวมกันที่นี่ก่อนที่จะขยายเป็นแม่น้ำใหญ่ไหลลงไปหล่อเลี้ยงแผ่นดินชมพูทวีป “Rishikesh” เป็นเมืองแห่งโยคีและโยคะ ชื่อของเมืองมีความหมายตรงตัวว่า “ศีรษะฤาษี” ดังนั้นจึงอาจเขียนชื่อเมืองนี้ในภาษาไทยว่า “ฤาษีเกศ”
เมืองฤาษีเกศเป็นเมืองศักดิสิทธิ์สำหรับชาวฮินดู ตั้งอยู่ในหุบเขาศักดิ์สิทธิ์บริเวณเชิงเขาหิมาลัย มีวัดฮินดูและอาศรมมากมายเรียงรายริมฝั่งแม่น้ำคงคา ในอดีตเป็นเมืองที่มีฤาษีมากมายอาศัยอยู่และนั่งสมาธิบนโขดหินริมฝั่งแม่น้ำคงคา เราจึงอาจพบเห็นเหล่าโยคีมากมายในเมืองนี้ ชาวอินเดียรู้จักฤาษีเกศในฐานะหนึ่งในเมืองศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาฮินดู แต่ชาวโลกรู้จักที่นี่ในฐานะเมืองหลวงของเหล่าโยคีและโยคะ ที่นี่เป็นที่ตั้งของสถาบันโยคะของสวามีศิวะนันทะที่โด่งดังอีกด้วย
เมื่อปี 1968 วงดนตรีเดอะบีเทิลส์ได้เดินทางมาที่นี่ ได้มาสัมผัสจิตวิญญาณแห่งตะวันออกของชมพูทวีปใช้ความสงบสันโดษเขียนเพลงขึ้นมาหลายเพลงในอาศรมฤาษีบริเวณนี้ เช่น Beatles, Dear Prudence, Rishikesh ‘68 ลองฟังดูครับ
“http://youtu.be/ylEckICwU2w”
วันพุธผมชวน Sanzhar เพื่อนสนิทชาวคีร์กีซสถานให้ไปด้วยกัน Sanzhar ตกลงทันโดยไม่คิดมาก ผมจึงเช็ครายละเอียดการเดินทาง พบว่าหากเหมารถแท็กซี่เพื่อเดินทางไป Rishikesh ผ่านเว็บไซต์ http://www.gozocabs.com/booking/cabrate เฉพาะขาไปเทียวเดียวไม่รวมขากลับอยู่ที่ 3,299 รูปี ผมเช็คราคารถโดยสารประจำทาง (บ.ข.ส.) อินเดียพบว่า ค่าโดยสารไปกลับเพียง 700 รูปี จึงตกลงใจที่จะเดินทางไป “Rishikesh” ด้วยรถโดยสารประจำทาง ผมกับ Sanzhar ไปดำเนินการจองตั๋วรถโดยสารประจำทาง (บ.ข.ส.) อินเดียเรียบร้อย และจองโรงแรมที่พักผ่านแอพ “Booking.com” (ไม่มีค่าใช้จ่าย ไม่ต้องจ่ายผ่านบัตรเครดิต สามารถทำรายการยกเลิกเมื่อไหร่ก็ได้ ไปจ่ายเงินสดที่โรงแรมขณะ walk in) ต่อมาในเช้าวันศุกร์ 2 สาวชาวมองโกเลีย Tuul กับ Suvd ทราบข่าวว่าผมกับ Sanzhar จะไป Rishikesh กัน จึงขอร่วมเดินทางไปด้วย ผมจึงต้องทำรายการยกเลิกโรงแรมที่จองไว้ เนื่องจากโรงแรมที่ผมจองไว้เต็มแล้ว ผมบอก 2 สาวว่า สำหรับตั๋วรถโดยสารเราต้องเดิน walk in เข้าไปซื้อก่อนขึ้นรถไม่แน่ใจว่าจะได้ตั๋วมั้ย 2 สาวบอกยินดีพร้อมจะเสี่ยง ซึ่งในที่สุดก็ได้ตั๋วจริงๆ ตามที่คาดไว้ หลังจากได้ตั๋วแล้วก่อนขึ้นรถผมจึงจองห้องพักโรงแรมผ่านแอพ “Booking.com” อีกครั้งหนึ่ง จึงเป็นที่มาของทริปนี้ครับ
พวกเราออกเดินทางจากเดลีเมื่อเวลาประมาณ 16.30 น. และเดินทางถึงเมือง “Rishikesh” เมื่อเวลาประมาณ 23.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่นที่อินเดีย) โดยสวัสดิภาพ คนขับใช้ความเร็วสูงสุดประมาณ 60-70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระยะทางเพียง 230 กม.เศษๆ จากเดลีจึงใช้เวลาเดินทางถึงประมาณ 5-6 ชม. หลังจากถึงที่พักแล้วก็แยกย้ายกันพักผ่อน ผมพักห้องเดียวกับ Sanzhar ส่วน Tuul พักกับ Suvd เรานัดกันไปดูพระอาทิตย์ขึ้นตอน 6 โมงเช้า
6 โมงเช้าวันเสาร์พวกเราออกเดินสำรวจตามริมฝั่งแม่น้ำ ใช้มือวักน้ำขึ้นมาสัมผัส รู้สึกดีใจที่ได้เดินทางดั้นด้นมาจนถึงต้นน้ำแม่น้ำคงคาซึ่งหล่อเลี้ยงอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของโลกมาอย่างยาวนานหลายพันปีแล้ว
เนื่องจากในเช้าวันเสาร์มีฝนตก กว่าจะหยุดก็เกือบเที่ยงแล้ว วันนี้เรามองเราไม่เห็นดวงอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้า มิหนำซ้ำแผนการเดิมที่จะเช่ารถสกู๊ตเตอร์ออกสำรวจในตัวเมืองเป็นอันล้มเลิกไป ต้องรอถึงตอนบ่ายจึงจะเริ่มกิจกรรมตามแผนที่เปลี่ยนไป กิจกรรมที่พวกเราได้มีโอกาสสัมผัสตลอดระยะเวลา 2 คืนกับ 2 วันเต็มมีดังนี้
1. ล่องแก่งแม่น้ำคงคา วันเสาร์หลังมื้อเที่ยง พวกเราออกเดินสำรวจและสอบถามราคาการล่องแก่งตามร้านต่างๆ หลายร้านเพื่อเปรียบเทียบราคากัน พบว่าราคาล่องแก่งโดยทั่วไปใกล้เคียงกันดังนี้ ล่องแก่งระยะทาง 18 กิโลเมตรคิดราคาคนละ 400 รูปี ส่วนระยะทาง 26 กิโลเมตรคิดราคาคนละ 650 รูปี แต่มีข้อสังเกตคือ บางร้านราคาอาจจะแพงกว่านี้อีกเท่าตัวจนถึง 1,500 รูปีต่อคน เพราะมีอุปกรณ์ชุด swim suit และอุปกรณ์อื่นๆ ทันสมัยครบชุด พวกเราเลือกราคาที่ไม่แพงครับ และเลือกระยะทาง 24 กิโลเมตรซึ่งไกลสุดที่มีให้บริการล่องแก่งซึ่งจะใช้เวลาในการล่องแก่งประมาณ 6 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่นๆ ที่น่าสนใจดังนี้
- Trecking 4 days 1 person 12,000 Rs.
- Trecking 1 Person 1 day 1,250 Rs. (ใช้เวลาประมาณ 6 hrs.)
- Bungi jump 3,500 Rs :1 person ระยะทาง 18 km from Rishikesh
- Wildlife Safari ระยะทาง 25 km . 1,800 (รอ 2.5 ชม.ไป-กลับ) + 700 (ต่อคนที่ park)
- Kayaking 2,000 Rs. : Kayak หากไม่รู้ทาง หรือมาคนเดียวต้องการเพื่อนร่วมทาง ต้องเช่าอีก 1 kayak พร้อม instructor เป็น 4,000 Rs.
อัตราแลกเปลี่ยน 1 Rs:0.51 บาท (คิดเป็นเงินไทยเอา 2 หารโดยประมาณ)
วิวทิวทัศน์ขณะล่องแก่งงดงามตระการตามาก น้ำเชี่ยวไหลแรง และเย็นเหมือนน้ำแข็งละลาย ผู้ควบคุมแพของพวกเรา ชื่อ Laxman กับ เมเนยาร โดยเฉพาะ Laxman อัธยาศัยดีมากมีจิตใจ service mind อธิบายขั้นตอนการควบคุมแพ การพาย ตลอดจนบรรยายลักษณะภูมิประเทศจุดต่างๆ ของแม่น้ำคงคาที่พวกเราล่องผ่านอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย Laxman สอนพวกเราให้นำใบพายแตะรวมกันกลางแพลักษณะคล้ายการบูม แล้วกล่าวคำว่า “กังกามายาคี” พร้อมกัน แล้วเอาใบพายมาตีน้ำข้างแพให้น้ำกระเด็น บางช่วงที่เห็นว่าปลอดภัย Laxman อนุญาตให้พวกเราโดดลงไปในแม่น้ำได้ ที่นี่เป็นต้นน้ำแม่น้ำคงคาไม่มีการนำศพทิ้งลงไปในแม่น้ำเหมือนที่เมืองพาราณสีนะครับ ไม่ต้องกังวลว่าดำน้ำลงไปจะเอ๋กับศพไม่มีญาติ ผมกับ Sanzhar ได้ทีโดดลงไปดำผุดดำว่ายในแม่น้ำคนละ 2 ถึง 3 รอบ น้ำในแม่น้ำเย็นยะเยือกเหมือนน้ำแข็งแต่ก็ยังพอทนได้ มาถึงต้นน้ำแม่น้ำคงคาแล้วต้องลองครับ ผมสำลักน้ำไปหลายอึก พวกเราล่องแก่งเสร็จก็เย็นมากแล้วและเหนื่อยกับการล่องแก่งพอสมควร เมื่อกลับถึงที่พักแล้ววันนี้จึงไม่ได้ออกไปไหนต่อ (สาวๆ มองโกเลียคงบ่นในใจกันอุบ)
2.การท่องเที่ยวในเมือง Rishikesh นั้น จุดหมายที่ห้ามพลาดคือ การเดิน Trecking เล็กๆ จากสะพาน “Laxman Chula” ถึงสะพาน “Ram Chula” โดยใช้เส้นทางเลียบริมแม่น้ำคงคาซึ่งอยู่ฝั่งหนึ่งตรงข้ามกับถนนสายหลัก ระยะทางประมาณ 3-4 กิโลเมตร ในเช้าวันอาทิตย์พวกเราใช้เวลาประมาณเกือบ 2 ชั่วโมงในการชมความงามของแม่น้ำคงคาที่ไหลผ่านตัวเมือง จากนั้นไปเดินสำรวจตลาด Rishikesh ซึ่งตั้งอยู่บริเวณสะพาน Ram Chula ถึง สะพาน Laxman Chula ทั้งสองฝั่ง บริเวณเชิงสะพาน Laxman Chula มีร้านอาหารตะวันตกอยู่ 2 ร้าน คือร้าน Italian Restaurant กับ German Bakery and Restaurant ราคาไม่แพงร้านอาหารทั้งหมดใน Rishikesh เป็นมังสวิรัติ
3.น้ำตก Neer Garh Waterfall ระยะทาง 10 กิโลเมตรเศษจากตัวเมือง Rishikesh บ่ายวันอาทิตย์พวกเราใช้วิธีเช่ารถสกู๊ตเตอร์ 2 คันเพื่อจะมาน้ำตกนี้ ราคาค่าเช่ารถคันละ 400 รูปี ส่วนรถประเภทอื่นราคาก็แตกต่างกันออกไป ใช้รถได้ตั้งแต่เช้าจนถึงประมาณ 3 ทุ่ม ซึ่งมีทั้งร้านที่เข้มงวดเรื่องใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศกับร้านที่ให้เช่ารถโดยไม่สนใจใบอนุญาตขับรถ ผมไม่มีใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศใช้แต่เพียงหนังสือเดินทางเท่านั้นเองครับ เกิดปัญหาขึ้นนิดหน่อยเนื่องจาก Sanzhar ขับรถสกูตเตอร์ไม่คล่อง ระหว่างที่กำลังลองรถสกูตเตอร์กันอยู่นั่นเอง Sandeep หนุ่มอินเดีย ซึ่งทำงานอยู่ในร้านที่พวกเราไปติดต่อเช่ารถจึงถือโอกาสเสนอตัวเป็นคนขับรถให้ ผมไม่มีทางเลือกจึงยอมรับให้ Sandeep มาช่วยขับรถสกู๊ตเตอร์อีกคันให้ ผมถามราคาว่าจะต้องจ่ายเท่าไหร่ Sandeep บอกแล้วแต่ผมจะให้ละกัน (เอาอีกแระ) ในที่สุดเรามีคนเพิ่มเข้ามาในทริปอีกคนหนึ่งให้การเดินทางใน Rishikesh มีสีสันมากขึ้น Sandeep พาพวกเราขึ้นไปชมน้ำตกโดยจะต้องเสียค่าธรรมเนียมคนละ 30 รูปี (แค่ประมาณ 15 บาทเองครับ) เส้นทางที่ขึ้นไปบนน้ำตกตัดเลียบภูเขา กำลังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จดูน่าหวาดเสียวดี เมื่อจอดรถสกู๊ตเตอร์แล้ว ก็เห็นน้ำตกชั้นล่าง น้ำใสแจ๋ว เราต้องเดินขึ้นเขาไปอีกเป็นระยะทางประมาณ 500 ถึง 600 เมตรก็ถึงจุดที่ Sandeep บอกว่าพอแล้ว น้ำตกที่นี่ใสมากและเย็นมากด้วย เราใช้เวลาอยู่ที่นี่ประมาณเกือบ 1 ชั่วโมง Sandeep บอกว่าเดี๋ยวจะพาขึ้นไปบนเขาต่อ
Sandeep พาพวกเราไปแวะเยี่ยมบ้านของญาติตัวเองและบ้านแฟน พาแฟนมาแนะนำให้รู้จัก ชื่อน้อง Rajni negi ส่วนน้องสาว Payal negi สมาชิกในครอบครัวให้การต้อนรับขับสู้พวกเราอย่างดีมากตามอัตภาพ ครั้งหนึ่งในขีวิตครับที่ได้มีโอกาสเยี่ยมชมวิถีชีวิตของชาวอินเดียในหมู่บ้านชนบทบนเทือกเขาสูง ได้พบปะพูดคุยกับชาวบ้านอย่างใกล้ชิด ดื่มน้ำเย็นๆ จากน้ำประปาภูเขา ดื่มจายนมร้อนๆ จากนมวัวและมิลลิก (ควายอินเดีย) สดๆ ขนมหวานง่ายๆ ทำจากข้าวบาสมาติกวนกับน้ำตาล ได้เห็นภูมิปัญญาพื้นบ้านการลาดปูพื้นบ้านชั้นล่างด้วยมูลวัวและมิลลิกสืบเนื่องมาแต่โบราณ วัวกับมิลลิกที่เลี้ยงไว้เพื่อรีดนมอย่างเดียว อัธยาศัยไมตรี รอยยิ้ม การต้อนรับขับสู้แขกผู้มาเยือนจากแดนไกลของชาวบ้านไม่ต่างจากคนไทยในชนบทเลย
ความสูงขณะนั้นประมาณ 1,170 เมตร จากระดับน้ำทะเล Sandeep ถ่วงเวลาพวกเราอยู่บนเขาจนพลบค่ำจึงพากันกลับลงมา โดยพาพวกเราลัดเลาะไปตามไหล่เขาลงมาตามทางลัดที่รถยนต์ไปไม่ได้ ถึงถนนบางช่วงต้องให้คนซ้อนท้ายเดินลงไปเพราะทางสูงชันมาก แคบและอันตรายมาก ผมนึกแช่งตำหนิ Sandeep ในใจว่าหาเรื่องให้พวกเรามาลำบากจริงๆ แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกคุ้มค่าที่ได้มาที่นี่ ในที่สุดพวกเราก็เดินทางกลับมาถึงในเมืองเอาตอนประมาณ 1 ทุ่มเศษ หลังจากไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่โรงแรมแล้ว Sandeep กับลูกน้องไปส่งผมกับเพื่อนๆ ที่สถานีขนส่ง (ผมจองรถเที่ยวกลับไว้ที่ 21.30 น.) ผมรู้สึกพอใจกับการให้บริการของ Sandeep มากจึงให้ทิป Sandeep เป็นเงินสดไปจำนวนหนึ่ง พวกเราเดินทางถึงเดลีเวลาประมาณ 04:00 น. ของวันใหม่และถึงโรงแรมประมาณ 05:00 น. เป็นทริปที่สุดขีดจริงๆ ครับ
มีอีกหลายจุดที่ไม่ได้พูดถึงแสดงว่าพลาดไปเนื่องจากมีเวลาจำกัด แต่แค่ได้เพียงล่องแก่งแม่น้ำคงคา ท่ามกลางเทือกเขาหิมาลัย และการได้ขึ้นไปเยี่ยมเยียนชาวบ้านบนภูเขาสูงในชนบทของอินเดีย ได้เห็นวิถีชีวิตอย่างเรียบง่ายอย่างใกล้ชิด ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้วสำหรับการมาเยือนที่นี่ Incredible India จริงๆ ครับ
รายละเอียดเบอร์โทรติดต่อของ Laxman กับ Sandeep ดังนี้ครับ