ลูกหลานชาวมลายูโบราณในภาคใต้ของไทย: พวกเขาหายไปไหน?
ภาคใต้ของไทยในอดีตเคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรมลายูโบราณ เช่น ศรีวิชัย ลังกาสุกะ และตามพรลิงค์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรม ศาสนา และการค้าของชาวมลายู ก่อนที่ศาสนาอิสลามจะแพร่เข้ามาในช่วงศตวรรษที่ 13-15 อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ชาวมลายูที่ยังคงพูดภาษามลายูได้ในไทยเหลืออยู่เพียงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้และบางส่วนของสงขลา
คำถามสำคัญคือ แล้วประชากรมลายูในจังหวัดอื่นๆ หายไปไหน? ทำไมหลายคนที่มีเชื้อสายมลายูกลับไม่มีอัตลักษณ์มลายูหลงเหลืออยู่เลย?
มาครับผมจะเล่าให้ฟัง
1. การผสมกลมกลืนเข้ากับสังคมไทย
ในอดีต ภาคใต้ของไทยเต็มไปด้วยประชากรที่เป็นชาวมลายูพุทธและมุสลิม ซึ่งอาศัยอยู่ร่วมกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป ประชากรมลายูจำนวนมาก ถูกหลอมรวมเข้าสู่สังคมไทยโดยสมบูรณ์
- ชาวมลายูพุทธ: อาณาจักรมลายูโบราณ เช่น ตามพรลิงค์ (นครศรีธรรมราช) เคยมีศาสนาพุทธมหายานเป็นศาสนาหลัก ก่อนที่พุทธเถรวาทจากสยามจะเข้ามา เมื่อรัฐไทยขยายอำนาจลงใต้ กลุ่มมลายูพุทธ ค่อยๆ ผสมกลมกลืนกับประชากรไทยพุทธที่เข้ามาภายหลัง พวกเขาเริ่มใช้ภาษาไทย เปลี่ยนไปใช้ชื่อไทย และแต่งงานข้ามเชื้อชาติ ทำให้อัตลักษณ์มลายูเลือนหายไป
- ชาวมลายูมุสลิมนอกสามจังหวัดชายแดนใต้: ชาวมุสลิมในจังหวัดอื่นๆ เช่น นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี พังงา ตรัง และกระบี่ แม้ว่ายังคงถือศาสนาอิสลาม แต่ ส่วนใหญ่ไม่สามารถพูดภาษามลายูได้อีกแล้ว พวกเขาค่อยๆ เปลี่ยนไปใช้ภาษาไทยในชีวิตประจำวัน ทำให้สูญเสียเอกลักษณ์ความเป็นมลายูไป
2. การกวาดต้อนและอพยพโยกย้ายจากสงคราม
ในอดีต การทำสงครามไม่ได้มีเป้าหมายแค่การยึดดินแดน แต่ยังรวมถึง การกวาดต้อนประชากรเพื่อนำไปเพิ่มพลเมืองขยายอาณาจักร
- ช่วงอยุธยา - รัตนโกสินทร์ตอนต้น ไทยทำสงครามกับหัวเมืองมลายูหลายครั้ง เช่น ปัตตานี เคดะห์ และตรังกานู ชาวมลายูจำนวนมากถูกกวาดต้อนเข้ามาในสยาม และถูกกระจายไปยัง กรุงเทพฯ ธนบุรี นครศรีธรรมราช และสงขลา (คุณพ่อของย่าผมเป็นลูกหลานเชลยศึกชาวกลันตัน) เมื่อพวกเขาถูกย้ายเข้ามาในพื้นที่ที่คนไทยพุทธเป็นประชากรหลัก พวกเขาค่อยๆ กลายเป็นคนไทยพุทธโดยสมบูรณ์ บางส่วนอพยพหนีออกจากไทย หลังสงครามและเหตุการณ์ความไม่สงบ ประชากรมลายูจำนวนมากอพยพไปอยู่ในรัฐมลายู เช่น กลันตันและตรังกานู ทำให้จำนวนประชากรมลายูในภาคใต้ของไทยลดลง (ในปัจจุบัน เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย) ราชวงศ์สุลต่านรัฐกลันตัน ถือว่าเป็นญาติใกล้ชิดกับเครือญาติอดีตราชวงศ์รัฐปัตตานี)
3. นโยบายผสมกลมกลืนของรัฐไทย
ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการปฏิรูประบบปกครองแบบรวมศูนย์ ทำให้หัวเมืองมลายูถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของสยาม และอัตลักษณ์มลายูค่อยๆ เลือนหายไป การบังคับใช้ภาษาไทยเป็นภาษาราชการ: ระบบโรงเรียนไทยแทนที่โรงเรียนที่ใช้ภาษามลายู ทำให้คนรุ่นใหม่ต้องเรียนภาษาไทย โรงเรียนสอนศาสนาอิสลามถูกควบคุมโดยรัฐ ทำให้การเรียนภาษามลายูลดลง การเปลี่ยนชื่อเมืองและชื่อบุคคล: หลายเมืองที่เคยมีชื่อเป็นภาษามลายูถูกเปลี่ยนเป็นชื่อไทย เช่น “ปะลิส” กลายเป็น “สตูล” ชาวมลายูเริ่มใช้ชื่อไทยและนามสกุลไทย ทำให้แยกไม่ออกจากคนไทยทั่วไป
4. ร่องรอยของมลายูที่ยังคงเหลืออยู่
แม้ว่าภาษามลายูจะเลือนหายไปจากหลายพื้นที่ แต่บางขนบธรรมเนียมและคำศัพท์จากภาษามลายูยังคงอยู่ในวัฒนธรรมภาคใต้ของไทย โดยเฉพาะใน สงขลา พัทลุง สตูล ตรัง กระบี่ พังงา ภูเก็ต และสุราษฎร์ธานี
สถานที่ที่ยังมีร่องรอยของภาษามลายูในชื่อเมืองหรือหมู่บ้าน:
“บาราโหม” (สงขลา) – มาจาก baruh ในภาษามลายู แปลว่า “ที่ลุ่ม”
“เกาะตะลุเตา” (สตูล) – มาจาก telu laut แปลว่า “สามทะเล”
“กะเปอร์” (ระนอง) – คล้ายกับ kapur แปลว่า “ปูนขาว”
“ละงู” (สตูล) – มาจาก langkawi หรือ lagu ซึ่งหมายถึง “นกอินทรี”
คำศัพท์จากภาษามลายูที่ยังคงใช้ในภาษาถิ่นใต้:
“โตฮัน” – หมายถึง พระเจ้า หรือ อัลลอฮฺ
“บุหลัน” – หมายถึง ดวงจันทร์ (bulan)
“ละมัย” – หมายถึง อ่อนเยาว์ สาวรุ่น (lemah แปลว่าอ่อนโยน)
“เกลอ” – หมายถึง เพื่อนสนิท (kawan ในมลายู)
สรุป
ลูกหลานของชาวมลายูโบราณ ไม่ได้หายไปไหน แต่เกิดการเปลี่ยนแปลงผ่าน การผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม การโยกย้ายถิ่นฐานจากสงคราม และนโยบายของรัฐไทย
- ชาวมลายูพุทธส่วนใหญ่กลายเป็นไทยพุทธโดยสมบูรณ์
- ชาวมลายูมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงรักษาอัตลักษณ์มลายูได้
- ชาวมุสลิมนอกพื้นที่ดังกล่าว แม้จะยังเป็นมุสลิม แต่ก็สูญเสียอัตลักษณ์มลายูไป
- บางขนบธรรมเนียม และคำศัพท์จากมลายูยังคงหลงเหลือในภาคใต้ของไทยจนถึงปัจจุบัน
และสุดท้าย… ถ้าเพื่อน พี่ น้อง ที่กำลังอ่านบทความอยู่นี้ เป็นคนใต้ หน้าคม ผิวสองสี แล้วสงสัยว่าทำไมหน้าตาไม่เหมือนคนไทยไท-กระได แบบคนภาคเหนือสุโขทัย คนภาคกลาง หรืออีสาน เลย… คำตอบก็คือ ท่านอาจเป็นลูกหลานชาวมลายูโบราณอย่างแน่นอน!
No comments:
Post a Comment