Leh in my memory...

As we are entering the new era, where nations are becoming one community, I, as well as my PTI 27th session’s member friends have the mutual vision that we, and other friends of the Asia-Pacific nations, will become closer than ever.
ยินดีต้อนรับสู่โลกใบเล็กของผม โลกของคนทำงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ชีวิตในวัยเด็กผมเคยใฝ่ฝันอยากจะเป็นสถาปนิก แต่เมื่อยามต้องเลือกทางเดินของชีวิต ผมกลับเลือกที่จะสวมเครื่องแบบสีกากี โดยสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารเหล่าตำรวจ หลังสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ผมเลือกลงบรรจุรับราชการในตำแหน่งพนักงานสอบสวนที่อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี ชีวิตราชการวนเวียนโยกย้ายอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตลอดมา ถึงแม้จะอยู่ห่างไกลจากศูนย์อำนาจรัฐ และการทำงานในหลายโอกาสอาจพบพานกับอุปสรรคภยันตรายต่าง ๆ บ้าง แต่ที่นี่คือ “บ้าน” ผมจึงยังทำงานอยู่ที่นี่ ทุกวันนี้ผมมีความสุขกับงานที่ทำอยู่เสมอ...

Saturday, April 19, 2025

“ย่าจันทร์” เจ้าลาวพลัดถิ่น

แด่คุณย่าจันทร์ คำชา

ผู้หญิงลาวเวียงจันทน์ที่พาเลือดเนื้อเชื้อสายของเธอ

ข้ามฝั่งแม่น้ำโขงมาเติบโตบนผืนแผ่นดินไทย

แม้ชื่อของย่าอาจไม่เคยถูกจารึกไว้ในตำราวัฒนธรรม

แต่ในจังหวะของบาสโลบ เราได้ยินเสียงของย่า

******************************************

ใบหน้านั้นเรียบง่าย

แต่มีบางอย่างที่ “ยิ่งกว่าคำว่าเรียบง่าย”

คือ ความสงบที่ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านการข้ามโขงและข้ามกาลเวลา

****************************************** 



“#ย่าจันทร์..#เจ้าลาวพลัดถิ่น #เสียงกระซิบจากแผ่นดินที่จากมา

ผมได้ฟังเพลงนั้น ครั้งแรก…

ขณะชมการแสดงบาสโลบของชาวบ้านในงานปิดทองฝังลูกนิมิตที่วัดตันติการาม (วัดน้ำตอหลัง) อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส

#เพลงบูชามนตรามณีนฤมาสนาคิณีเทวี (#แม่ย่ามณีจันทรา)

เป็นวันที่ 14 เมษายน 2568 — วันที่ท่าน พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 มาเป็นประธานในพิธี

ตอนนั้น… ผมไม่ได้คาดหวังอะไร

แค่ยืนดูชาวบ้านแต่งชุดไทยพื้นเมือง ร่ายรำกันอย่างเรียบง่าย แต่เมื่อเพลงบรรเลงขึ้น จังหวะนั้นเหมือนเวลาทั้งหมดในลานวัดหยุดนิ่ง

เสียงแรกของเพลง “บูชามนตรามณีนฤมาสนาคิณีเทวี (แม่ย่ามณีจันทรา)” ทำให้หัวใจของผมสะดุด

และในไม่กี่วินาทีถัดมา น้ำตาก็ไหล โดยไม่รู้ตัว

ผมกลับมาบ้าน นั่งฟังเพลงนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า…

ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนต้องออกเสาะหาว่ามันคือเพลงอะไร ใครเป็นผู้แต่ง และผมก็พบว่า เพลงนี้เป็นผลงานของ

“ต้นรัก ศีลป์เศียรเกล้า” ผู้เขียนเสียงมนตราไว้ในบทเพลงที่ นอกจาก จะเขียนขึ้นด้วยแรงศรัทธาแล้ว มันคือเสียงที่เรียกใครบางคนจากความทรงจำของผมกลับมา

ผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมไม่เคยเห็นหน้า  แต่เธอคือ “ย่าจันทร์ คำชา”

ย่าของภรรยาผม

และทวดของ ”น้องนวี“ ลูกชายผม

**************************************

“พ่อใบ” พ.ต.ต.ใบ คำชา กับ “แม่ตุ๊ก” แต่งงานกันเมื่อปี 2517 มีบุตรสาว 3 คน ได้แก่ “น้ำฝน” “น้ำค้าง” และ “น้ำทิพย์” โดยน้องน้ำทิพย์เกิดในปี 2521 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่ “พ่อใบ” เสียชีวิตจากการสู้รบกับ ผกค.

ก่อนที่ พ.ต.ต.ใบ จะเสียชีวิตในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ที่ อ.หนองบัวลำภู จ.อุดรธานี (ตามเขตการแบ่งจังหวัดในขณะนั้น) แม่ตุ๊กเคยได้พบกับ “ย่าจันทร์” แม่ของพ่อใบ เพียง 2–3 ครั้ง ทั้งก่อนและหลังคลอดน้องน้ำทิพย์ได้ประมาณ 3 เดือน ขณะนั้นย่าจันทร์อายุราว 70 ปี ท่านเดินทางจากจังหวัดขอนแก่นมาพัทลุงโดยรถไฟ มากับ “อาวรวุฒิ” บุตรชายอีกคนของท่าน (น้องชายของพ่อใบ) เพื่อมาเยี่ยมรับขวัญหลานสาวคนเล็ก และพักที่บ้านพักข้าราชการตำรวจ นปพ.กก.ภ.จว.พัทลุง อ.เมือง จ.พัทลุง

ระหว่างที่พักอยู่ในพัทลุง พ่อใบได้พาย่าจันทร์ไปเที่ยวท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น เขาจันทร์ บ้านหนองธง ป่าบอน (ยังไม่แยกอำเภอในขณะนั้น) และอำเภอตะโหมด ย่าจันทร์ประทับใจภูเขาและธรรมชาติในภาคใต้อย่างมาก ท่านกล่าวชื่นชมเป็นภาษาลาวให้แม่ตุ๊กฟังว่า

“ต้นไม้มีกระด้อกระเดี้ยหลาย ถ้าข้อยมาอยู่ที่นี่จะปลูกต้นไม้ให้เยอะเลย

สัตว์ก็เยอะ กบภูเขาทำไมไม่กินกัน? ปลาก็เยอะ ทำไมไม่จับ?”

แม่ตุ๊กตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า

“คนที่นี่อุดมสมบูรณ์ ดินดี มีกินแล้วก็พอ ถ้าไม่มีกินก็เข้าป่าไปหาสัตว์หรือยอดไม้”

ภาพของย่าจันทร์ที่แม่ตุ๊กถ่ายทอดนั้น ช่างแจ่มชัดและมีชีวิตชีวา “ท่านมีใบหน้าเรียวเล็ก ยังคงเค้าความงามสง่า รูปร่างผอมสูง คล้ายกับน้ำค้างลูกสาวคนกลาง ย่าจันทร์เป็นคนเดินเร็ว ขยันขันแข็ง อยู่ไม่นิ่ง ชอบปลูกต้นไม้ ทอผ้า ทอเสื่อ และติดใจการกินหมากกับสีเสียด”

และในความทรงจำเหล่านั้น แม่ตุ๊กยังเล่าถึงภูมิหลังอันน่าทึ่งของย่าจันทร์

ย่าเคยเล่าให้แม่ตุ๊กฟังว่า ตนมีเชื้อสายเจ้าลาว (ราชวงศ์ลาว) อพยพหลบหนีจากภัยสงครามกลางเมืองและการเปลี่ยนแปลงการปกครองในลาว มาตั้งรกรากอยู่แถบตำบลรอบนอกของจังหวัดลพบุรี ก่อนจะมาพบรักกับ “ปู่ขู” พ่อของพ่อใบ ที่นั่น และอพยพไปอยู่ที่ อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น

แม่ตุ๊กเล่าต่อว่า  เคยเห็นหีบเหล็กใส่สมบัติเก่า — มีผ้าไหม แก้วแหวน เงินทอง ของโบราณลักษณะคล้ายของชาววัง อยู่ที่บ้านของย่าจันทร์  ราวกับเป็นร่องรอยของอดีตอันรุ่งเรืองที่ย่าจันทร์หอบข้ามแผ่นดินมา

ย่าจันทร์ไม่ได้เป็นเพียงผู้หญิงที่ยึดติดกับอดีต แต่ท่านกลับเป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์ก้าวไกล ท่านตัดสินใจพาลูกๆ จากชนบทเข้าสู่เมือง ไปอาศัยใกล้เรือนจำขอนแก่น เพื่อให้ลูกได้รับการศึกษาที่ดีที่สุด และความมุ่งมั่นของท่านก็ผลิดอกออกผล ลูกชายคนหนึ่งของย่าจันทร์สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก “ดร.อุดม คำชา” และเกษียณอายุราชการในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 4

ย่าจันทร์… ผู้หญิงแกร่งแห่งแผ่นดินลาว ผู้ซึ่งเผชิญความพลัดพรากและความเปลี่ยนแปลงในชีวิตอย่างหาญกล้า ได้จากพวกเราไปเมื่อเดือนมีนาคม 2543 สิริอายุ 84 ปี ทิ้งไว้เพียงเรื่องราวและร่องรอยแห่งความทรงจำ

แต่ในเสียงดนตรีหนึ่ง — เพลงของต้นรัก ศิลป์เศียรเกล้า

เสียงกระซิบของท่านเหมือนจะดังขึ้นมาอีกครั้ง

“ลูกหลานเอ๋ย… อย่าลืมเสียงของแผ่นดินที่จากมา”


ขอบคุณน้องต้น Chitti Chantarapromkul หลานย่าจันทร์อีกคนหนึ่ง ลูกผู้พี่ของน้องน้ำค้างที่ส่งภาพถ่ายย่าจันทร์มาให้ครับ

บันทึกจากการสัมภาษณ์แม่ตุ๊ก (อาจารย์ศิริลักษณ์ วงศา)

เมื่อวันที่ 20–26 มิถุนายน 2563

Tuesday, April 15, 2025

#คนไทยพุทธในชายแดนใต้ — #จากสุโขทัยสู่ชายขอบมลายู


 #คนไทยพุทธในชายแดนใต้ — #จากสุโขทัยสู่ชายขอบมลายู



ผมรับราชการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มาหลายอำเภอแล้วครับ ตั้งแต่ บรรจุครั้งแรก ยศ “นายร้อยตำรวจตรี“ ที่อำเภอสายบุรี จากนั้นโยกย้ายไปรับตำแหน่งต่าง ๆ ทั้งในจังหวัดสงขลา ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส ผ่านงานสืบสวน ป้องกันปราบปราม ไปจนถึงสารวัตรใหญ่ และรองผู้กำกับการตามสถานีตำรวจหลากหลายแห่ง หลายพื้นที่  ผมอยู่มาหลายปีจนซึมซับทุกลมหายใจของบ้านของเมือง คนของพื้นที่ กลิ่นฝน กลิ่นดิน วัฒนธรรมที่ยังเต้นอยู่ในจังหวะของชีวิตประจำวัน


ระหว่างทางผมมีโอกาสได้ไปอบรมหลักสูตรอินเตอร์จากหลากหลายประเทศ ทั้งสหรัฐฯ อินเดีย เกาหลีใต้ มีโอกาสเดินทางไปศึกษาดูงานที่ประเทศออสเตรเลีย ผมเคยนอนโรงแรมห้าดาว เคยฟังบรรยายจากผู้เชี่ยวชาญระดับโลก แต่สิ่งที่ทำให้ผมหยุดคิดจริง ๆ ไม่ได้มาจากห้องประชุมหรูเหล่านั้น แต่มาจากการนั่งขับรถคนเดียวระหว่างภารกิจ — บนถนนสายเลียบภูเขาในยะลา หรือทางราบที่ทอดไปสู่ทะเลนราธิวาส


อยู่ ๆ ผมก็นึกถึงห้องเรียนวิชาประวัติศาสตร์ในสมัยเด็ก ผมจำได้ว่าเราเคยเรียนเรื่องอาณาจักรโบราณของไทยอย่างทวารวดี ศรีวิชัย ละโว้ ตามพรลิงค์ แต่ในวันนั้น…ผมไม่เคยถามเลยว่า “คนในอาณาจักรเหล่านั้นคือใคร?” เราถูกสอนให้เชื่อมโยงพวกเขากับ “ความเป็นไทย” โดยอัตโนมัติ ทั้งที่จริงแล้ว คนในอาณาจักรทวารวดีอาจเป็นชาวมอญ คนในอาณาจักรศรีวิชัยก็คือชาวมลายู และพวกเขาพูดภาษาของตน ไม่ใช่ภาษาไทย


ถ้าเช่นนั้น…ทำไมคนภาคใต้ โดยเฉพาะฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรไทย (14 จังหวัดภาคใต้) ซึ่งเคยอยู่ใต้ร่มเงาอาณาจักรศรีวิชัยถึงสูญเสียภาษาและอัตลักษณ์มลายูไปเกือบสิ้น? ทำไมในพื้นที่ที่เคยพูดภาษามลายูเป็นหลัก กลับกลายมาใช้ชื่อไทย พูดไทย และบางทีก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารากเหง้าของตัวเองอยู่ตรงไหน?


คำถามพวกนี้ทำให้ผมนึกถึงคำหนึ่งในวิชามานุษยวิทยา — “#การกลืนกลาย” (assimilation) และนั่นแหละ…คือจุดเริ่มต้นที่ผมอยากจะชวนทุกคนเดินทางย้อนกลับไปสำรวจอดีตที่เราไม่เคยได้มองอย่างลึกซึ้ง


คนไทยพุทธในจังหวัดชายแดนภาคใต้ปัจจุบัน ไม่ได้เป็นกลุ่มเดียวกันทั้งหมด พวกเขามีทั้งคนที่เป็น “#มลายูพุทธที่ถูกกลืนกลาย” และ “#สยามพุทธที่เข้ามาทีหลัง” บางกลุ่มคือชาวมลายูที่เคยนับถือพุทธ แล้วถูกรัฐรวมศูนย์ผ่านศาสนา จนค่อย ๆ เปลี่ยนมาใช้ภาษาไทย มีชื่อไทย และกลายเป็นไทยพุทธ


อีกบางกลุ่มคือคนจากภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคอีสาน ที่รัฐส่งลงมาเพื่อสร้างชุมชนไทยพุทธใหม่ และคานอำนาจในพื้นที่ พวกเขาคือ “สยามพุทธ” ที่รักษาอัตลักษณ์ไทยพุทธแบบภาคกลาง และรวมตัวเป็นชุมชนคนไทยพุทธในชายแดนใต้


ในกลุ่มหลังนี้เองที่รวมถึงคนไทยพุทธในกลุ่มตากใบ–เจ๊ะเห ซึ่งกินพื้นที่อานาบริเวณไปจนถึงชาวสยามพลัดถิ่นใน รัฐต่างๆ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งจากแผนภาพที่ผมได้ดู (ตัวเลขด้านบนระบุปีพุทธศักราช ไม่ใช่คริสต์ศักราช) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการสืบสายของเมืองต่าง ๆ เช่นสงขลา พัทลุง ไชยา ฯลฯ ล้วนเป็นกลุ่มที่รัฐสยามส่งลงมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ผ่านนครศรีธรรมราช


ทว่า ภาษาไทยของกลุ่ม “ตากใบ–เจ๊ะเห” กลับเป็นภาษาไทยที่ถูกนำเข้ามาจากศูนย์กลาง ไม่ได้พัฒนาขึ้นจากภาษาถิ่นในพื้นที่ พวกเขาไม่ได้เคยพูดมลายูแล้วกลายเป็นไทย แต่เป็นคนไทยที่พูดไทยมาตั้งแต่ต้น และลงมาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ชายแดนเพื่อจุดประสงค์ทางการเมืองและวัฒนธรรม


ถึงกระนั้น… แม้พวกเขาจะเป็นผู้ที่ “ลงมาทีหลัง” แต่พวกเขาก็ “ลงมานานแสนนาน” มากแล้ว จนในปัจจุบัน คนกลุ่มเดียวกันนี้ที่อยู่ในฝั่งมาเลเซีย ได้รับการยอมรับว่าเป็น “ภูมิบุตร” (bumiputera) เช่นเดียวกับชาวมาเลย์ เพราะพวกเขาอยู่ที่นั่นก่อนรัฐชาติจะมีพรมแดน และใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างลึกซึ้งกับชุมชนมลายูในพื้นที่


นี่คือความงดงามของประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ในคาบสมุทรมลายู — ไม่มีใครบริสุทธิ์โดยสายเลือด ไม่มีใครเป็นเจ้าของดินแดนโดยกำเนิด มีเพียงผู้คนที่หยั่งราก และฝากวิถีชีวิตไว้กับผืนแผ่นดินนี้เท่านั้น


#ความเข้าใจในศาสนาและประวัติศาสตร์คือหนทางในการดับไฟใต้

Friday, April 4, 2025

ว่าด้วยบ่อนคาสิโน ประชาธิปไตย และภารกิจของประธานรัฐสภา และผู้แทนราษฎร

 

ว่าด้วยบ่อนคาสิโน ประชาธิปไตย และภารกิจของประธานรัฐสภา และผู้แทนราษฎร


ในสังคมไทยซึ่งบ่อนการพนันดำรงอยู่มายาวนานในหลายรูปแบบ ทั้งถูกกฎหมาย (เช่น สลากกินแบ่งรัฐบาล, สลากกาชาด, สนามชนโค, บ่อนไก่ชน) และผิดกฎหมาย (เช่น บ่อนใต้ดิน, บ่อนลอยฟ้า, การพนันออนไลน์) การตั้งประเด็นคำถามเกี่ยวกับการ “เปิดเสรีบ่อนคาสิโน” จึงไม่ใช่เรื่องใหม่  แต่เมื่อเร็วๆ นี้ เมื่อรัฐบาลพยายามผลักดันแนวคิด “คาสิโนคอมเพล็กซ์” เป็นวาระแห่งชาติ โดยมีการผลักดันเข้าสภา กลับมีเสียงวิพากษ์และประณามในนามของศาสนา โดยเฉพาะเมื่อผู้ที่มีบทบาทในการนำกฎหมายเข้าสภาคือ อาจารย์วันมูหะมัดนอร์ มะทา ซึ่งดำรงตำแหน่ง “ประธานรัฐสภา” และเป็นมุสลิม


ผมขอเรียนอย่างตรงไปตรงมาว่า ผมไม่เห็นด้วยกับบ่อนคาสิโน และยังยืนยันว่าการพนันในอิสลามนั้นเป็นสิ่งต้องห้ามชัดเจน (ฮะรอม) อย่างไรก็ดี การโจมตีใครคนหนึ่งด้วยถ้อยคำที่ว่า “เสียดายที่เกิดมาเป็นมุสลิม” หรือ “กลับไปหาพระเจ้าโดยไม่ได้ทำความดี” นั้น เป็นการละเมิดขอบเขตของอิสลาม และขัดต่อหลักเมตตาธรรมของศาสนาอย่างรุนแรง


เราคงจะลืมไปว่า ประเทศมุสลิมหลายประเทศ ก็มีคาสิโนอย่างถูกกฎหมาย เช่น

 ~ เลบานอน: มี Casino du Liban ดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 1959 ในเขตโจนีเยห์ ใกล้กรุงเบรุต

www.casinoduliban.com.lb

 ~ อียิปต์: มีคาสิโนในโรงแรมหรูหลายแห่งในไคโรและชาร์มเอลชีค โดยเปิดให้ชาวต่างชาติใช้บริการ

www.tripadvisor.com/Hotels-g297555-zff14-Sharm_El_Sheikh

 ~ โมร็อกโก: มีคาสิโนที่มีชื่อเสียง เช่น Casino de Marrakech ซึ่งเปิดดำเนินการตั้งแต่ปี 1952

www.essaadi.com/en/casino-marrakech/

 ~ ตูนิเซีย: มีคาสิโนในเขตท่องเที่ยว เช่น Casino La Médina ในเมือง Yasmine Hammamet

www.casinocity.com/tunisia/yasmine-hammamet/casino-la-médina/

 ~ ตุรกี: แม้จะยกเลิกคาสิโนในประเทศตั้งแต่ปี 1998 แต่ยังมีสลากกินแบ่งรัฐบาลและการพนันกีฬาออนไลน์ที่ดำเนินการโดยรัฐ

https://en.wikipedia.org/wiki/Gambling_in_Turkey?wprov=sfti1

 ~ มาเลเซีย: มี คาสิโนเก็นติ้งไฮแลนด์ ดำเนินการภายใต้กฎหมาย แม้ห้ามมุสลิมเข้าเล่น

www.rwgenting.com

 ~ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์: วางแผนเปิด “คาสิโนรีสอร์ท” ในราสอัลไคมาห์โดยบริษัท Wynn Resorts

www.skift.com/2025/02/27/wynn-resorts-confirms-there-will-be-two-gaming-areas-at-uaes-first-casino-resort/


(ขณะที่ ซาอุดีอาระเบีย ยังคงห้ามการพนันทุกรูปแบบภายใต้ระบบชารีอะฮ์อย่างเข้มงวด)


ทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่าอิสลามเห็นด้วยกับคาสิโน แต่คือข้อเท็จจริงที่ว่า การดำรงอยู่ของคาสิโนในประเทศมุสลิม มักเป็นเรื่องของนโยบายรัฐที่ต้องควบคุมภายใต้กฎหมาย ไม่ใช่เรื่องของบุคคลใดคนหนึ่ง


ในบริบทของประเทศไทย การผลักดันกฎหมายว่าด้วย “สถานบันเทิงครบวงจร” หรือ “คาสิโนคอมเพล็กซ์” โดยรัฐบาลชุดปัจจุบันนั้น เกิดขึ้นภายหลังจากการเลือกตั้ง ในระบบประชาธิปไตย พรรคการเมืองซึ่งได้รับเสียงข้างมากและจัดตั้งรัฐบาล ย่อมมีสิทธิในการกำหนดวาระทางนโยบายและเสนอร่างกฎหมายเข้าสู่สภา ไม่ว่ากฎหมายเหล่านั้นจะได้รับเสียงสนับสนุนหรือไม่ ก็ต้องผ่านการกลั่นกรองและอภิปรายตามระบบรัฐสภา


อาจารย์วันมูหะมัดนอร์ มะทา ในฐานะประธานรัฐสภา จึงมีหน้าที่ “ประคับประคองกระบวนการประชาธิปไตย” ให้ดำเนินไปตามครรลอง ไม่ใช่ “เลือกเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย” ตามอารมณ์ส่วนตัว และไม่สามารถ “ตัดสินใจแทนสภา” ได้ เพราะอำนาจแท้จริงอยู่ที่เสียงของผู้แทนราษฎรทุกคน


และสุดท้าย ในระบบประชาธิปไตยที่มีความรับผิดชอบต่อประชาชน หากนโยบายใดของพรรคการเมืองไม่สอดคล้องกับความรู้สึกของสังคม หรือทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย  ก็ย่อมมีผลสะท้อนกลับผ่าน “การเลือกตั้งครั้งต่อไป” เพราะประชาชนคือเจ้าของอำนาจสูงสุด หากพวกเขาไม่เห็นด้วยกับแนวทางของพรรคใด พรรคการเมืองนั้นก็จะ ไม่ถูกรับเลือกเข้ามาเป็นรัฐบาลอีก นั่นคือ “กระบวนการตัดสินใจด้วยเสียงส่วนรวม” อันเป็นหัวใจของประชาธิปไตย


สิ่งที่เราควรทำ คือวิพากษ์วิจารณ์นโยบายด้วยข้อมูล ไม่ใช่ด้วยการสาปแช่งบุคคลผู้ทำหน้าที่ในระบบอย่างซื่อสัตย์



Wednesday, April 2, 2025

หะยีวันอะหมัด ชื่อฉายา “โต๊ะชายนาย” หรือ “โต๊ะหยังนาย”

 


29 มีนาคม 2568

สนธิสัญญาอังกฤษ–สยาม พ.ศ. 2452 (Anglo-Siamese Treaty of 1909) หรือที่รู้จักกันในชื่อ สนธิสัญญาบางกอก เป็นข้อตกลงระหว่างอังกฤษกับสยาม มีการลงนามที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2452 และได้รับสัตยาบันจากรัฐสภาแห่งสหราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคมปีเดียวกัน

สาระสำคัญของสนธิสัญญาฉบับนี้คือ การที่สยามยกสิทธิในการปกครองและบังคับบัญชาเหนือ ไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู และเปอลิส รวมทั้งเกาะใกล้เคียง ให้แก่อังกฤษ

ในเดือนนี้ เป็นวาระครบรอบ 119 ปีของสนธิสัญญาฉบับดังกล่าว—และยังคงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ส่งผลต่ออัตลักษณ์ของผู้คนในคาบสมุทรมลายูจวบจนปัจจุบัน

หากย้อนเวลากลับไปก่อนหน้าวันที่สนธิสัญญานี้จะเกิดขึ้นราว 100 ปี ในสมัยรัชกาลที่ 2 (พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย) หรือเมื่อราว 200 ปีก่อน

“ฮัจญีหวังอาหมัด” ชาวมลายูมุสลิมจากรัฐตรังกานู—ซึ่งขณะนั้นยังเป็นดินแดนหนึ่งในราชอาณาจักรสยาม—ได้อพยพจากบ้านเกิดเมืองนอนด้วยเหตุผลทางการเมืองและความไม่สงบ

ท่านมีฉายาว่า “โต๊ะหยังนาย” หรือ “โต๊ะชายนาย” เนื่องจากดำรงตำแหน่ง “นายกองทหาร” แห่งรัฐตรังกานู และเคยนำกำลังเข้าร่วมกับเมืองสงขลาเพื่อปราบหัวเมืองที่แข็งข้อในพื้นที่ภาคใต้

เมื่อภารกิจทางการทหารเสร็จสิ้น ท่านเลือกที่จะไม่กลับคืนสู่ภูมิลำเนา แต่ตัดสินใจตั้งรกรากในพื้นที่บริเวณที่ราบลุ่มทะเลสาบสงขลา ณ บ้านดอนทิง ซึ่งปัจจุบัน อยู่ในเขตการปกครอง ตำบลปากรอ อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา 

ท่านมีภรรยา 2 คน และมีลูกทั้งหมด 8 คน ซึ่งล้วนถือกำเนิดที่บ้านดอนทิง และเป็นต้นสายตระกูลสำคัญหลายสายในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะในจังหวัดสงขลา และจังหวัดพัทลุง  ลูกหลานของท่านได้แต่งงานสลับสายในหมู่กันเอง เกิดเป็นเครือญาติอันแน่นแฟ้น มีทั้งชื่อสกุลและวัฒนธรรมร่วมกัน ลูกหลานของท่าน เมื่อมีครอบครัวแล้วก็อพยพโยกย้ายไปตั้งรกรากทั่วลุ่มทะเลสาบสงขลา ทั้งที่บ้านหัวปาบ  บ้านม่วงทวน  ดังนี้

1. หะยีสาเม๊าะ (1838–)

เมื่อแต่งงานได้อพยพโยกย้ายไปอยู่บ้านเกาะทาก ตำบลนาหว้า อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ต้นตระกูล “หมานเหม๊าะ” และ “เส็นเด” และอีกหลายตระกูลในอำเภอจะนะ ศพของท่านฝังอยู่ที่บ้านเกาะทาก

2. ปะวะแหละ (1839–)

ลูกหลานใช้นามสกุล “เจ๊ะอาหวัง”, “ปูตีล่า” หรือ “ฤทธิ์โต” และบางสายสมรสกับตระกูล “ยีหวังกอง”

3. หะยีอุมาร์ (ยีหวังกอง) (1840–1915)

เป็นผู้ให้กำเนิดตระกูล “ยีหวังกอง” ซึ่งสืบทอดกันมาอย่างต่อเนื่องถึงรุ่นปัจจุบัน

4. โต๊ะขุนฤทธิ์ (1841–)

ต้นตระกูล “ขุนฤทธิ์” และ “ฤทธิ์โต”

5. หวันยีเต๊ะ (1842–)

ต้นตระกูล “หวันยีเต๊ะ”

6. โต๊ะจูยำ (1843–)

ลูกหลานมีการสมรสไขว้กับสายของปะวะแหละ

7. โต๊ะเหล็บยาว (1844–)

ลูกหลานใช้นามสกุล “ปูตีล่า” หรือ “ฤทธิ์โต” และมีการแต่งงานไขว้สายกันกับลูกหลานของอีกหลายตระกูล

8. โต๊ะชายล่า (1845–)

ต้นตระกูล “ปูตีล่า”

(ตัวเลขแทนคริสต์ศักราชเป็นเพียงค่าประมาณการ)

แม้บทเรียนในห้องเรียนจะสอนให้เรารักชาติและภาคภูมิใจในความเป็น “ไทย” แต่เราก็ไม่ควรลืมรากเหง้าของตนเอง

ผมภูมิใจที่มีสายเลือดมลายู และเป็นคนไทยที่อยู่ใต้พระบรมโพธิสมภารในแผ่นดินนี้…

บรรพบุรุษของผม… หลับใหลอยู่ใต้ผืนดินนี้มาเกือบสองร้อยปีแล้วครับ


*******************************************


Version เขียนใหม่ 29 มี.ค.2568 ซึ่งเป็นวันที่ครบรอบวันเกิดปีที่ 51 ของผม

RevolverMap