ที่มา : dailynews - เปิดใจแม่อดีต อาร์เคเค ที่เสียชีวิต
วันนี้ 24ก.พ. ที่บ้านเลขที่ 146/6 หมู่ที่ 2 บ้านตะโล๊ะหะลอ ต.ตะโล๊ะหะลอ อ.รามัน จ.ยะลา นางสือเมาะ มะเกะ วัย 52 ปี มารดาของนายสะบือรี โคตะเซะ อายุ 23 ปี หนึ่งในกลุ่มอาร์เคเค ที่เสียชีวิตจากการบุกฐานที่ตั้ง ฐานปฏิบัติการหมวดปืนเล็กที่ 2 บ้านยือลอ ต.บาเระเหนือ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 13 กพ. ที่ผ่านมา เปิดใจกับผู้สื่อข่าว ด้วยน้ำตาที่นองหน้า ว่า ตนเองมีลูก 4 คน เป็นลูกกับพ่อเก่า 2 คน และกับพ่อปัจจุบันอีก 2 คน ซึ่งนายสะบือรี ที่เสียชีวิตเป็นลูกกับนายบาสรี พ่อคนปัจจุบันซึ่งเป็นชาวอินโดนีเซีย ลูกมีความตั้งเรียนหนังสือดีมาก มีความประพฤติเรียบร้อย บุหรี่ไม่สูบ ยาเสพติดไม่ยุ่งเกี่ยวเลย ทุกครั้งที่กลับบ้านเมื่อพบแม่ จะเข้ามากอดจูบทุกครั้ง ล่าสุด มาบอกแม่ว่า ลูกจะจบการศึกษาแล้ว จบแล้วเมื่อมีงานทำก็จะเลี้ยงดูพ่อแม่และน้องสาวที่กำลังเรียนอยู่ด้วย เพราะเห็นว่าพ่อกับแม่ ทำงานเลี้ยงดูตัวเองหนักมาโดยตลอด ไม่นึกเลยว่าลูกจะเป็นแนวร่วมกลุ่ม อาร์เคเค เมื่อมีคนมาบอกว่า ลูกเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ บุกโจมตีฐานที่ตั้งทหารเรือนาวิกโยธิน ที่ อ.บาเจาะ ตนเองตกใจมาก แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าลูกที่ตนเองส่งเสียเรียนหนังสือจนเกือบจะจบในระดับปริญญาตรี และไม่เคยเห็นลางบอกเหตุว่าลูกเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ก่อนจะเสียชีวิต ได้บอกกับแม่ว่า ลูกจะไปเข้าค่าย 2 วัน ตนได้มอบเงินค่าเดินทางไป จำนวน 2,000 บาท อีกด้วย
นางสือเมาะ กล่าวอีกว่า หลังจากเกิดเหตุ ตนรู้สึกเครียดมาก เพราะไหนลูกต้องเสียชีวิต สามีก็มาถูก เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวไปในความผิดฐานหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายอีกด้วย ตนนั้น ได้แต่งงานกับนายบาสรี เมื่อ 20 ปี ก่อน ขณะที่ไปทำงานในประเทศมาเลเซีย และได้รู้จักกับนายบาสรี แต่งงานกันในที่สุด ครั้งแรกๆ นายบาสรี มีหนังสือเดินทางถูกต้อง เมื่อมาอยู่ที่ประเทศไทยนานๆ หนังสือเดินทางหมดอายุ แล้วไม่รู้ว่าจะดำเนินต่อไปอย่างไร จึงปล่อยหมดอายุไป และทำมาหากินด้วยการรับจ้างกรีดยางโดยตลอดสองสามีภรรยา เพื่อส่งนายสะบือรี เข้าศึกษาจนถึงปีสุดท้ายในมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ในวิชาคอมพิวเตอร์ ก่อนเสียชีวิต
ด้าน พ.ต.ท.ศุภชัช ยีหวังกอง สารวัตรใหญ่ สภ.จะกว๊ะ อ.รามัน จ.ยะลา เปิดเผยว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์บุกโจมตีฐานทหารนาวิกโยธิน ที่ อ.บาเจาะ และมีผู้เสียชีวิต 1 ใน 16 คน เป็นชาว ต.ตะโล๊ะหะลอ อ.รามัน ทางผู้บังคับบัญชา ได้สั่งการให้ไปตรวจค้นเพื่อหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม ในช่วงเช้าของวันเกิดเหตุ เมื่อไปปิดล้อมบ้าน มีผู้ต้องสงสัย ได้กระโดดออกจากบ้านเพื่อหลบหนี จนท.สามารถจับกุมตัวได้ ทราบชื่อที่หลังว่าเป็นนายบาสรี ไม่มีนามสกุล เพราะเป็นชาวอินโดนีเซีย และเป็นพ่อของนายสะบือรี ด้วย จึงได้ควบคุมตัวไปสอบสวน พบว่าไม่มีหลักการเข้ามาในประเทศไทย จึงนำส่งให้กับ ตำรวจตรวจคนข้าเมือง ที่ปัตตานี เพื่อดำเนินการตามกฎหมายกันต่อไป ในระหว่างควบคุมตัว ตนได้อนุญาตให้ ตำรวจพาไปร่วมในพิธีอาบน้ำศพที่บ้านก่อนที่จะนำไปประกอบพิธีฝังศพ ที่สุสานด้วย.