Leh in my memory...

As we are entering the new era, where nations are becoming one community, I, as well as my PTI 27th session’s member friends have the mutual vision that we, and other friends of the Asia-Pacific nations, will become closer than ever.
ยินดีต้อนรับสู่โลกใบเล็กของผม โลกของคนทำงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ชีวิตในวัยเด็กผมเคยใฝ่ฝันอยากจะเป็นสถาปนิก แต่เมื่อยามต้องเลือกทางเดินของชีวิต ผมกลับเลือกที่จะสวมเครื่องแบบสีกากี โดยสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารเหล่าตำรวจ หลังสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ผมเลือกลงบรรจุรับราชการในตำแหน่งพนักงานสอบสวนที่อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี ชีวิตราชการวนเวียนโยกย้ายอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตลอดมา ถึงแม้จะอยู่ห่างไกลจากศูนย์อำนาจรัฐ และการทำงานในหลายโอกาสอาจพบพานกับอุปสรรคภยันตรายต่าง ๆ บ้าง แต่ที่นี่คือ “บ้าน” ผมจึงยังทำงานอยู่ที่นี่ ทุกวันนี้ผมมีความสุขกับงานที่ทำอยู่เสมอ...

Friday, December 25, 2009

เรื่องตื่นเต้นเล็ก ๆ ในคืนธรรมดา...

กลับมาแล้วครับ กลับมารายงานตัว...^^

หลังจากที่ห่างหายไปนาน อันเนื่องมาจากงานเข้าบ้าง ออกบ้าง ^^
ล่า สุดเมื่อระหว่าง 20 ธ.ค. 2552 ที่ผ่านมา ผมได้รับมอบหมายให้เดินทางไปรับเสื้อเกราะกันกระสุนจากบริษัทพีทีทีโพลิ เมอร์ฯ ที่ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ กรุงเทพฯ หรือเอ็มเทค (Mtec) ขับรถยนต์ไปคนเดียวครับ เดินทางกลับถึง อ.เมือง จ.ยะลา พร้อมเสื้อเกราะกันกระสุน 30 ชุด เมื่อคืนนี้ (23 ธ.ค. 2552) ราวห้าทุ่ม ในสภาพทุกลักทุเล ^^

เหตุการณ์เมื่อวานนี้ ผมขับรถยนต์ออกจากกรุงเทพฯ ด้วยความเร็วสูงตลอดเส้นทาง  ห้อตะบึงมาซะเต็มเหยียด  ตลอดระยะทางกว่า 1,000 กม. ไปคนเดียวขับคนเดียว แวะพักเติมน้ำมันบ้างล้างหน้าล้างตาบ้าง  รับประทานอาหารบ้าง  ทุกครั้งใช้เวลาไม่นานนัก เพราะอยากกลับถึงบ้านเร็ว ๆ จนลืมนึกไปว่ารถยนต์ก็มีหัวใจ มีลิมิตของมัน


ผมขับรวดเดียว จากกรุงเทพฯ จนกระทั่งถึงแยกดอนยาง เขต อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ซึ่งเดิมเคยเป็นสามแยก หากเลี้ยวซ้ายก็ไป จ.ปัตตานี กับ จ.นราธิวาส  ถ้าเลี้ยวขวาก็ไป จ.ยะลา  แต่บัดนี้มีเส้นทางสายใหม่ เพิ่มเป็นสี่แยกขับตรงไปมีสี่ช่องทางจราจร  คือทางหลวงสาย 418 สร้างเสร็จเมื่อไม่นานมานี้เพิ่งเปิดให้ใช้สัญจร  ในใจก็พลันคิดลังเลว่า จะไปทางไหนดี ระหว่างสายเก่าเลี้ยวขวา  หรือสายใหม่ขับตรงไป

ถ้า ไปสายเก่า ใช้เวลาประมาณ 40 นาที เป็นเส้นทางสองช่องทางจราจรขับสวนทางกัน แต่ก็อุ่นใจ เพราะถนนตัดผ่านชุมชนใหญ่ ๆ มีบ้านเรือนประชาชน หน่วยทหารตำรวจ รวมทั้งมีแสงสว่างตลอดเส้นทาง ส่วนสายใหม่ ใช้เวลาเพียง 25 นาที เนื่องจากเป็นถนนใหญ่สี่ช่องทางจราจร รถราวิ่งน้อยมาก ยังไม่มีไฟฟ้า และแทบจะไม่มีบ้านเรือนประชาชนอยู่สองข้างทางเลย เนื่องจากตัดผ่านทุ่งนาเป็นส่วนใหญ่ และประการที่สำคัญตัดผ่านพื้นทีสีแดงเถือก หลายหมู่บ้านตามเส้นทางเป็นพื้นที่ในเขตงานที่สำคัญของฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบ ทางหลวงสาย 418 ยังไม่เปิดใช้อย่างเป็นทางการ
จะไปทางไหนดี...?

ขณะ นั้นเวลาประมาณ 22.00 น. มือไวกว่าความคิด  ชั่วเสี้ยววินาทีตัดสินใจไม่หักพวงมาลัยรถเลี้ยวขวาไปทางสายเก่า  กลับคิดลองดีขับตรงไปทางสายใหม่ ที่แทบจะไม่มีใครกล้าไป  เมื่อเลือกมาสายใหม่แล้ว ในใจก็ยังนึกหวั่น ๆ งง ๆ อยู่เลยว่า  “ตูขับมาทางนี้ไมวะเนี่ย...? แทบจะไม่มีรถขับสวนทางมาเลย...บ้านคนก็ไม่มีเลย”   แต่ช่างเถอะ ยังไงก็ขับมาแล้ว  ก็ไปให้ตลอด  ด้วยความที่เป็นเส้นทางเปลี่ยว ไม่มีแสงไฟข้างถนน  ผมก็เลยขับรถคร่อมเลน ด้วยความเร็วสูง เปิดไฟสูงมาตลอดทาง...

เมื่อขับไปจนถึงพื้นที่รอยต่อ ม.4 ต.ยุโป อ.เมืองยะลา ซึ่งเพิ่งมีการยิงปะทะ และวิสามัญฆาตกรรมคนร้ายไป 2 ศพ เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว  สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น   มีเสียงดังซ่าที่ห้องเครื่องยนต์แล้วเครื่องก็ดับทันที ควันโขมงคลุ้งเต็มไปหมด  “ซวยแล้ว!” ผมอุทานในใจ  “ตายห่....ทำไงดี”  หัวใจแทบหยุดเต้น  จะเสียที่ไหนไม่เสีย ดันมาเสียที่นี่..??

ขณะ ที่กำลังวิตกจริตต่อชะตากรรมที่กำลังประสบอยู่นั้น  โชคดีที่มีรถยนต์ฮัมวี่ของ จนท.ทหาร ที่ออกลาดตระเวนสวนทางมา 3 คัน ผมโบกมือขอความช่วยเหลือ ก็เลยได้ จนท.ทหารกลุ่มนั้น เข้ามาอยู่เป็นเพื่อน คอยอำนวยความสะดวกส่องไฟให้ จากนั้นผมรีบโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนนายทหารที่ทำงานอยู่ด้วยกัน เพื่อนก็รีบจัดการสั่งให้ลูกน้องซึ่งคุ้นเคยกันกับผมดีส่งรถมาลาก   ในที่สุดก็กลับถึงที่พักในสภาพทุกลักทุเลเต็มที...


ตอนนี้ผมอยู่ที่ จ.ยะลา แล้วครับ  ด้วยความปลอดภัย....

เข็ดแล้ววววว^^ เส้นทางสายเปลี่ยว ไปคนเดียว ไม่เอาอีกแล้วววว 5555 

Friday, December 11, 2009

อาณาจักรอันยิ่งใหญ่

นทน.ร.ร.เสนาธิการทหารบก หลักสูตรหลักประจำชุดที่ 86
IMG_3620


















นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2545 เป็นต้นมา เหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ นับวันมีแต่เพิ่มความรุนแรงมากยิ่งขึ้นตามลำดับ เริ่มต้นด้วยการปล้นอาวุธปืนของหน่วยราชการต่าง ๆ ทั้งของกรมป่าไม้ นาวิกโยธิน หน่วยทหารพราน  การลอบยิงตำรวจสายตรวจตามแผนไบไม้ร่วง การลอบฆ่าครูไทยพุทธ ตามแผนดับแสงเทียน จนกระทั่งเกิดเหตุปล้นอาวุธปืนกองพันทหารพัฒนาที่ 4 (ค่ายปิเหล็ง) เมื่อ 4 มกราคม 2547 อันเป็นสัญลักษณ์ของการจุดดอกไม้ไฟแห่งการปฏิวัติของขบวนการก่อความไม่สงบ ซึ่งถือเป็นการเปิดศักราชแห่งความรุนแรงนับตั้งแต่นั้นมา
สถานการณ์ได้พัฒนาการไปจนอยู่ในขั้นที่ประชาชนทั้งสองกลุ่ม (ไทยพุทธ และมุสลิม) ต่างมีความหวาดระแวงแคลงใจต่อกัน อาณาจักรแห่งความกลัวเริ่มขยายอาณาเขตจนน่าพรั่นพรึง

แม้แต่ละฝ่ายจะวิเคราะห์ถึงสาเหตุปัจจัยการเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบไปต่าง ๆ นานา  รวมทั้งผู้ก่อเหตุอาจมีที่มาจากหลายกลุ่ม  แต่ประการที่สำคัญที่สุดคือ การกระทำของผู้ที่เรียกตนเองว่า นักรบกอบกู้เอกราชรัฐปัตตานี  หรือเหล่านักรบอิสลามแห่งปัตตานี  นักรบมูญาฮิดีนปัตตานี  ตามแต่ที่จะเรียกขานกัน พวกเขาเหล่านี้แสดงตนเป็นมุสลิม เป็นผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม ผู้ซึ่งยอมตนต่อเอกภาพของพระเจ้า   โดยอ้างว่านับถือศรัทธาในอัลลอฮฺ (ซบ.) และเดินตามแนวทางของบรรดาศาสนทูตของพระองค์  แต่จากพฤติกรรมอันเหี้ยมโหด  ไร้ซึ่งความกรุณาปราณี  พวกเขากลับเดินตามแบบอย่างของอนารยชน

ผู้ก่อความไม่สงบบิดเบือนหลักคำสอนของศาสนาอิสลามอันบริสุทธิ์ได้อย่างไร...?


มองไปที่กลยุทธ์ของผู้ก่อความไม่สงบ

ผู้ก่อความไม่สงบปรับกลยุทธ์จากรูปแบบสงครามแบ่งแยกดินแดนเป็นยุทธศาสตร์แบ่งแยกประชาชน แล้วจึงแบ่งแยกดินแดนในภายหลัง หรือทำไปพร้อมเพรียงกัน โดยใช้มาตรการทางการเมือง สังคมจิตวิทยา  และมาตรการทางทหารเพื่อทำสงครามแย่งชิงประชาชน  ผลการปฏิบัติการเป็นไปตามขั้นตอนที่กำหนดไว้  โดยบิดเบือนหลักคำสอนศาสนาอิสลามใช้เงื่อนไขเชื้อชาติ (มลายู) เงื่อนไขศาสนา (อิสลาม) และเงื่อนไขมาตุภูมิ (แผ่นดินรัฐปัตตานี) เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการปลุกระดม เพื่อให้เป็นไปตามแนวความคิดในการแบ่งแยกดินแดน  ซึ่งมีข้อบิดเบือนบางประการที่สำคัญซึ่งผู้ก่อความไม่สงบได้กระทำปลุกระดมมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน

หนึ่ง  บิดเบือนว่า การที่มุสลิมจะเรียนภาษาไทยเป็นบาป  โดยการปลูกฝังต่อ ๆ กันมาว่า  “ไทย” กับ “พุทธ” เป็นคำที่มีความหมายเดียวกัน  ภาษาไทย จึงเป็นเรื่องของศาสนาพุทธ

สอง  บิดเบือนว่า มุสลิมย่อมไม่อยู่ในการปกครองของคนนอกศาสนา

สาม บิดเบือนว่า คนมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ใช่คนไทย แต่เป็นคนมลายูมุสลิม

สี่   เงื่อนไข รัฐปัตตานีถูกสยามยึดครอง


การบิดเบือนดังกล่าว เป็นผลให้มุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ยอมเรียนภาษาไทย และไม่ยอมให้บุตรหลานเล่าเรียนภาษาไทย  ราษฎร์มีอาชีพ ทำนา ทำสวนมีฐานะยากจน ง่ายต่อการชักนำ ชักจูง ในทางที่ผิด และหลงเข้าใจผิด  ศาสนาอิสลามนั้นถือว่าผู้นำทางศาสนา เป็นผู้นำทางการเมืองเป็นผู้นำทางสังคม  และ เป็นผู้นำตามธรรมชาติ อยู่ในคน ๆ เดียวกัน และหากใช้ผู้นำทางศาสนามาเป็นเครื่องมือ ทางด้านการเมือง ทางด้านสังคมจิตวิทยา ย่อมก่อให้เกิดความสำเร็จในงานนั้น ๆ
หลักคำสอนของศาสนาอิสลามนั้น  ส่วนหนึ่งมีที่มาจากคัมภีร์อัลกรุอาน ซึ่งเป็นพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า  และอีกส่วนหนึ่งมีที่มาจากแบบอย่างจริยวัตรอันงดงามของท่านนบีมุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ที่เรียกว่า “ซุนนะฮ์”

จากพระมหาคัมภีร์อัลกรุอาน  อัลลอฮ์ทรงตรัสไว้ ความว่า

“...โอ้มนุษยชาติทั้งหลาย แท้จริงเราได้สร้างพวกเจ้าจากเพศชายและเพศหญิง และเราได้ให้พวกเจ้าแยกเป็นเผ่าและตระกูล เพื่อจะได้รู้จักกัน...” (อัลฮุจญรอต: 13)
จากหลักฐานดังกล่าวยืนยันได้อย่างชัดแจ้งว่า  อัลลอฮ์ได้ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาเป็นเผ่าพันธุ์  ชาติพันธุ์ต่าง ๆ มีสีผิวแตกต่างกันนั้น ก็เพื่อมนุษย์จะได้ไปมาหาสู่กัน ทำความรู้จักกัน เป็นมิตรกัน  ในขณะที่ผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ กลับกระทำการรุนแรงต่าง ๆ สารพัดเพื่อขับไล่คนต่างศาสนิกออกนอกพื้นที่  โดยอ้างอิงศาสนาอิสลาม   แผ่นดินปัตตานี เป็นแผนดินที่บริสุทธิ์  จะต้องไม่มีศาสนาอื่น  ทั้งยังไม่สามารถอยู่ร่วมกับศาสนาอื่น ๆ ได้ คนเหล่านี้ยึดเอามาตรฐานทางสติปัญญาซึ่งอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ของคนใน กลุ่มตัวเอง มาสั่งสอน และชี้นำกันว่า เป็นหลักคำสอนของอิสลาม  พวกเขาอ้างถึงการสถาปนารัฐอิสลาม และอาณาจักรอิสลาม  โดยสงวนไว้เฉพาะสำหรับคนบางตระกูลในการขึ้นมามีอำนาจปกครอง  แต่ลืมไปว่า  เอกภพทั้งมวลเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์ ไม่จำเป็นต้องสถาปนาอาณาจักรอื่นใดอีก โลกนี้ คืออาณาจักรของอัลลอฮ์ เป็นสมบัติของพระผู้เป็นเจ้า มนุษย์เป็นเพียงผู้อยู่อาศัยชั่วคราว  ชีวิตหลังความตายเป็นชีวิตที่เป็นนิรันดร์   ฉะนั้น  ถึงแม้มนุษย์จะมีเอกสารสิทธิ์แสดงกรรมสิทธิ์ยืนยันความเป็นเจ้าของ  แต่ในความเป็นจริง  ทุกสรรพสิ่งในสากลจักรวาลล้วนเป็นของเอกองค์อัลลอฮ์อย่างบริบูรณ์

ครั้งหนึ่งท่านนบีมุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ได้กล่าวไว้ว่า  “...ไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของประชาชาติของฉันสำหรับผู้ที่เรียกร้องบนฐานแนวคิดของการคลั่งไคล้ในชาติพันธุ์  ไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของประชาชาติของฉันสำหรับผู้ที่ทำสงครามบนฐานแนวคิดของ การคลั่งไคล้ในชาติพันธุ์ และไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของประชาชาติของฉันสำหรับผู้ที่เสียชีวิตเนื่องจาก การต่อสู้ในการปกป้องและพิทักษ์รักษาแนวคิดของการคลั่งไคล้ในชาติพันธุ์...”
ฉะนั้น  ไม่ต้องไปสถาปนารัฐอิสลามอิสระที่ไหนหรอก และไม่ต้องสถาปนารัฐอิสลามเพื่อเฉพาะคนมลายู  ไม่ต้องสถาปนารัฐอิสลามโดยสังเวยชีวิตประชาชนผู้บริสุทธิ์ไปศพแล้วศพเล่า  หน้าที่ของมุสลิมผู้ศรัทธาคือ  สถาปนาอาณาจักรอิสลามขึ้นมาในหัวใจของตนเองให้ได้อย่างมั่นคงเท่านั้นพอ และมีหน้าที่ช่วยกันทำนุบำรุงรักษาบ้านเมืองของเราให้สงบสุข   เมื่อนั้น “อาณาจักรของมุสลิม” ก็จะไม่จำกัดขอบเขตเฉพาะเพียงแค่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น แต่อาณาจักรของเราจะมีขอบเขตกว้างใหญ่ไพศาล   เราสามารถที่จะเดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระเสรีและมีความสุขในอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ของเรา

“วะฮาบียะฮ” เป็นลัทธิก่อการร้าย จริงหรือ....?

นทน.ร.ร.เสนาธิการทหารบก หลักสูตรหลักประจำชุดที่ 86


wahbee
 
กล่าวนำ

จากเหตุการณ์ช็อกโลกในวันที่ 11 กันยายน 2544 เมื่อผู้ก่อการร้ายชาวอาหรับได้จี้บังคับเครื่องบินพาณิชย์พุ่งเข้าชนอาคาร ตึกเวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์ ณ มหานครนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา จนถล่มลง  ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 3,000 คน ซึ่ง ต่อมาได้มีการพาดพิงถึง “วะฮาบียะฮ” ว่าเป็นลัทธิก่อการร้ายใหม่ในอิสลาม และกำลังเป็นภัยคุกคามความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของประชาคมโลก โดยถูกนำไปเชื่อมโยงกับกลุ่มอัลกออีดะฮของนายอูซามะฮ  บินลาเด็น และอีกหลาย ๆ กลุ่มที่ถูกใส่ร้ายป้ายสีว่าเป็นกลุ่มก่อการร้าย  สื่อตะวันตก โดยเฉพาะสื่อของสหรัฐฯ พยายามสร้างภาพลักษณ์ของ “วะฮาบียะฮ” ให้เป็นลัทธิก่อการร้ายมุสลิมหัวรุนแรง  และต่อต้านทุนนิยมตะวันตก โดยพยายามโยงใยเข้ากับเหตุการณ์ก่อการร้ายต่าง ๆ ในประเทศซาอุดีอาระเบียและประเทศใกล้เคียง   ต่อมาก็สร้างข่าวว่าลัทธินี้ได้แพร่หลายเข้าไปในภูมิภาคอื่น ๆ ของโลก รวมทั้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศไทย  การกระทำดังที่ได้กล่าวมานั้นเป็นการบิดเบือนอย่างไร้จรรยาบรรณ และโกหกลวงโลกอย่างไม่มีมูลความจริง

ความมุ่งหมาย

บทความนี้ ต้องการจะอธิบายถึง “วะฮาบียะฮ” ว่าเป็น เพียงแนวความคิดหนึ่งเพื่อให้ผู้ศรัทธาต่ออิสลามกลับไปยึดแนวทางปฏิบัติที่ ถูกต้อง ตามที่เป็นพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน และจริยวัตรอันงดงามตามแบบฉบับของท่านนบีมุฮัมมัด ซ็อลฯ โดยไม่มีสิ่งอื่นแปลกปลอมเข้ามาเจือปน
 
เนื้อหา
 
ในบรรดาถ้อยคำต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลามที่มีการพูดถึงและเข้าใจผิดกันอยู่เสมอ ๆ นั้น  คำว่า “วะฮาบียะฮ” ดูเหมือนจะเป็นคำหนึ่ง ที่มีการกล่าวถึงกันบ่อยครั้ง ชื่อนี้บางคนเรียกเพี้ยนเป็น “วะฮ์บีย์” ซึ่งไม่ถูกต้อง  ที่ถูกต้องคือ “วะฮาบียะฮ”  หมายถึงขบวนการฟื้นฟูอิสลาม   “วะฮาบียะฮ” หรือ “วะฮาบีย์” หมายถึงผู้มีแนวคิดและแนวปฏิบัติตามขบวนการดังกล่าว   อย่างไรก็ตาม  ชื่อนี้ไม่เป็นที่ชื่นชอบของกลุ่มวะฮาบียะฮเอง  เนื่องจากเป็นชื่อที่ถูกตั้งขึ้นโดยฝ่ายต่อต้าน และมักถูกนำมาใช้ในเชิงลบเป็นส่วนใหญ่  กลุ่มวะฮาบียะฮ เอง จึงไม่ใช้ชื่อนี้เรียกกลุ่มของตน  แต่จะเรียกตัวเองว่า “สะละฟียะห์” (Salafiah) หรือ “สะละฟียูน” (Salafiyoon)  แปลว่า กลุ่มที่ยึดมั่นในแนวคิดดั้งเดิมของอิสลาม  หรือบางครั้งก็เรียกกลุ่มของตนว่า “มุวะหิดูน” (Muwahidoon) แปลว่า  กลุ่มผู้ยึดมั่นในเอกภาพของอัลลอฮ์   “วะฮาบีย์”  เป็นเพียงขบวนการฟื้นฟูอิสลามขบวนการหนึ่งในศตวรรษที่ 18 ที่ ถือกำเนิดขึ้นมาท่ามกลางความเหลวแหลกทางศีลธรรม และความเชื่อความศรัทธาที่ผิดเพี้ยนไปของมุสลิมในอาระเบีย ผู้ที่เป็นแนวหน้าของขบวนการนี้คือนักปฏิรูปคนหนึ่งที่ชื่อ มุฮัมมัด อิบนุ อับดุล วะฮาบ
 
แนวคิดที่สำคัญของวะฮาบียะฮ สรุปได้ดังนี้
  1. ยึดแนวของอิมามอะฮมัด อิบนฺ ฮัมบัล (มัซฮับฮัมบาลีย์) ในเรื่องปลีกย่อยต่างๆ แต่ไม่ยึดแนวของอิหม่ามคนใดเป็นเกณฑ์แน่นอนในเรื่องหลักพื้นฐานทั่วไป
  2. เรียกร้องให้เปิดประตูการอิจติฮาด (หมายถึงการวิเคราะห์และวินิจฉัยหลักฐานต่างๆ ทางศาสนาเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อบัญญัติของปัญหาต่าง ๆ) หลังจากที่ได้ถูกปิดมานานตั้งแต่กรุงแบกแดดแตกจากการโจมตีของพวกมองโกลในปี ค.ศ. 1235
  3. ยืนยันในความจำเป็นที่จะต้องยึดถือคัมภีร์อัลกุรอานและสุนนะฮ (แบบฉบับของท่านศาสดามูฮัมมัด)
  4. ยึดมั่นในแนวทางของอะฮลิสสุนนะฮวัลญะมาอะฮ (นิกายซุนนีย์)
  5. เรียกร้องสู่หลักเตาฮีด (การให้เอกภาพต่อพระผู้เป็นเจ้า) อันบริสุทธิ์ตามแนวทางของกัลญานชนมุสลิมในยุคแรกของอิสลาม
  6. เน้นหลักเตาฮีดอูลูฮียะฮ (การให้เอกภาพต่อพระผู้เป็นเจ้าในด้านการเคารพสักการะ) และหลักเตาฮีดอัสมาอ วัศศิฟาต (การให้เอกภาพต่อพระผู้เป็นเจ้าด้านนามชื่อ และคุณลักษณะของพระองค์)
  7. ต่อต้านสิ่งเหลวไหลและอุตริกรรมทางศาสนาที่แพร่หลายในสังคมอันเนื่องจากความโง่งมงายของผู้คน
  8. คัดค้านกลุ่มฏอรีเกาะฮซูฟีย์และกลุ่มมุตะกัลลีมีน และสิ่งอุตริทางศาสนาที่กลุ่มเหล่านี้สร้างขึ้นมา
  9. ต่อต้านการทำชีริก (การตั้งภาคี) ต่ออัลลอฮทุกประเภท
  10. ต่อต้านการตักลีด (การตามอย่างคนตาบอด) และเรียกร้องสู่การให้ความรู้และการค้นคว้าหาหลักฐาน

แก่นคำสอนของวะฮาบีย์ในภาพรวมก็คือ การเรียกร้องให้มุสลิมกลับไปสู่หลักคำสอนอิสลามแบบดั้งเดิมที่บริสุทธ์ ผุดผ่อง หรือคำสอนที่ไม่มีอะไรมาแต่งเติมเสริมขึ้น จากสิ่งที่มีอยู่ในอัล-กุรอาน และแบบฉบับของศาสนทูตมุฮัมมัด เพราะหลักศรัทธาและแนวทางการปฏิบัติทางศาสนาของชาวมุสลิมไม่สามารถจะเอาไป รวมเข้ากับวัฒนธรรมความเชื่อของศาสนาอื่นได้  

ทั้งนี้มิได้หมายความว่า มุสลิมจะต้องแยกตัวไปอยู่ต่างหาก โดยไม่สามารถอยู่ร่วมกับประชาคมอื่น ๆ ได้ เพียงแต่ว่าจะต้องแยกแยะระหว่างเรื่อง “ศาสนา” ที่ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้ และไม่สามารถเอาไปปะปนกับใครได้ กับเรื่อง “สังคม” ที่ มุสลิมสามารถอยู่ร่วมกับศาสนิกชนอื่นได้ ร่วมงานกันได้ ฯลฯ แต่ต้องเป็นการอยู่ร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ บนพื้นฐานความดีงามตามที่ศาสนากำหนดขอบเขต  หากมองในแง่นี้ วะฮาบีย์ ก็ไม่ใช่ลัทธิแปลกประหลาดอะไร หรือมิใช่ลัทธิที่นิยมความรุนแรงสุดโต่งอย่างที่หลายฝ่ายเข้าใจแต่อย่างใด ในทางกลับกัน คำสอนที่ว่ามานี้ จริง ๆ แล้ว ก็คือมาตรฐานสากลที่สังคมมุสลิมทั่วไปควรให้การยอมรับ
 
สรุป
 
ประชาคมส่วนใหญ่มอง “วะฮาบียะฮฺ” ว่า  เป็น “นิกายใหม่”  หรือ “ลัทธิใหม่” ในอิสลาม และนิยมความรุนแรงเป็นพื้นฐาน   แต่นั่นเป็นความเข้าใจผิดอย่างมหันต์ เพราะในวะฮาบียะฮฺไม่มีคำสอนใดที่อุตริออกนอกไปจากหลักการของศาสนาอิสลามอันงดงาม  ตรงกันข้ามวะฮาบียะฮฺ มุ่งเรียกร้องผู้คนให้กลับไปสู่หลักคำสอนดั้งเดิมอันบริสุทธิ์ของศาสนาอิสลาม  “วะฮาบียะฮ” ไม่ส่งเสริมให้ผู้คนแบ่งแยกเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ และเป็นแนวทางแห่งสันติ

ขบวนการวะฮาบียะฮฺจึงไม่แตกต่างไปจากขบวนการฟื้นฟูอิสลามอื่น ๆ (ซุนนีย์) ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าแต่อย่างใด  การกล่าวหาว่าขบวนการวะฮาบียะฮฺเป็นขบวนการก่อการร้ายเท่ากับเป็นการกล่าวหา คำสอนของอิสลามอันบริสุทธิ์ว่าเป็นคำสอนที่ต้องการให้ผู้ปฏิบัติมีความคิด หรือ มีพฤติกรรมเป็นผู้ก่อการร้าย  ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรงและไม่อาจยอมรับได้

Sunday, December 6, 2009

ฟ้ากลางคืนจะมืดมิดที่สุดก่อนรุ่งอรุณ...

IMG_7729

เมื่อเราหม่นเศร้าที่สุด อดทนเพียงครู่แล้วจะพบกับความสว่างไสวเช่นกันหรือไม่....?


ผมเคยประสบปัญหาและพบพานกับอุปสรรคในชีวิตราชการมาหลายครั้ง บางครั้งการปฏิบัติหน้าที่ไปกระทบกระทั่งกับผู้มีอำนาจอิทธิพล หรือถูกฟ้องกลับจากผู้ต้องหา แต่ทุก ๆ คร้้งสามารถแก้ปัญหาเอาตัวรอดผ่านวิกฤติการณ์นั้นมาได้...

ขณะที่เกิดปัญหาวิกฤติ ผมเคยท้อแท้แทบจะสิ้นหวัง... แต่ในใจคิดอยู่เสมอว่าต้องสู้ แล้วใช้สติค่อย ๆ แก้ปัญหา ผู้บังคับบัญชาและพี่ ๆ ที่เคารพรักของผมสอนว่า "ปัญหามีไว้แก้ ไม่ใช่มีไว้กลุ้ม" ปัญหาทุกปัญหาย่อมมีทางแก้ไข เพียงแต่ผู้ประสบปัญหาจะต้องค้นหาวิธีการนั้นให้พบ ความแตกต่างของวิธีแก้ปัญหานั้น มีเพียง "ยาก ง่าย" หรือ "ช้า เร็ว" แค่ไหน..

เฉกเช่นเดียวกันกับความมืดมนแห่งรัตติกาลที่คืบคลานเยื้องย่างเข้ามา สีดำทมึนของมันแผ่ปกคลุมเสียจนกระทั่งทุกสรรพสิ่งตกอยู่ในความมืดมนอนธกาลที่สุด แต่อีกไม่นาน..เมื่อแสงสีทองแห่งรุ่งอรุณอันอำไพเยื้องกรายมาถึง แสงสว่างอันเรืองรองแห่งดวงตะวันทาบทาไปทั่วทั้งผืนฟ้า... เป็นสัญญาณให้สรรพชีวิตได้เริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้งหนึ่ง

ชีวิตใหม่ในวันใหม่ย่อมสดใสและมีความหวังที่เจิดจรัสกว่าในคืนอันหม่นหมองที่ผ่านมา เราจึงควรมีความหวังในการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ในวันใหม่ที่สดใสงดงามกว่าเดิมเสมอ...

RevolverMap